เขียนโดย สรรค์ชัย เกริกชัยวิภาส

เจ้าอาวาสที่พักสงฆ์กลางป่า จ.อุดรธานี เผยถูกผู้มีอิทธิพลใช้สารพัดวิธีข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่เพื่อเปิดทางตัดไม้ขนาดใหญ่โดยรอบ-ด้านผญบ.ปฎิเสธเสียงแข็งว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

หลังจากผู้สื่อข่าวได้รับเบาะแสเรื่องความขัดแย้งระหว่างพระสงฆ์รูปหนึ่งที่อาศัยอยู่ในที่พักสงฆ์รูปแห่งหนึ่งใน อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จากเฟสบุ๊กของบุคคลใช้ชื่อว่า “หลวงพี่สาธุ พญาธรรมมิกราช” ในโพสต์ความว่า ตนถูกข่มขู่เอาชีวิตหลายครั้ง เนื่องจากผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ร่วมมือกับนายทุน ต้องการที่จะตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ในบริเวณที่พักสงฆ์ดังกล่าว

เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางลงพื้นที่เพื่อค้นหาความจริง ก่อนจะพบว่าพระสงฆ์ที่โพสต์ข้อความดังกล่าวในโซเชียลมีเดีย ก็คือพระโย กันหาเวียง พระสงฆ์รูปเดียวซึ่งจำพรรษาอยู่ที่พักสงฆ์บ้านข่า ต.จอมศรี อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ตั้งแต่ปี 2554 ทั้งนี้จากการสังเกตพบว่า สภาพป่าโดยรอบที่พักสงฆ์บ้านข่าซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินสาธารณะประโยชน์ มีเนื้อที่ประมาน 80ไร่ เป็นป่าไม้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีต้นยางนาขนาดหลายคนโอบจำนวนมาก

พระโย กันหาเวียง ยืนด้านหน้าต้นยางนาขนาดยักษ์รอบพื้นที่วัดบ้านข่า ต.จอมศรี อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี

พระโย กันหาเวียง ยืนเยื้องหน้าต้นยางนาขนาดยักษ์รอบพื้นที่วัดบ้านข่า ต.จอมศรี อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ที่ไม่สามารถตัดไม้ได้เว้นแต่ได้รับอนุญาต ตามประกาศของอำเภอเพ็ญเมื่อ 1 เม.ย. 2559 โดยพระโยอ้างว่าตนถูกข่มขู่ให้ออกจากวัดในหลายทาง ได้แก่ ตัดไฟฟ้า ลักถอดมิเตอร์ไฟฟ้า ยิงและวางยาสุนัขจนตายหลายตัว และมีจดหมายเสนอเงินให้ครั้งแรก 200,000 และครั้งที่สอง 500,000 บาทตามลำดับเพื่อแลกกับการให้ออกไปจากวัด

พระโยกล่าวว่า ก่อนหน้านั้นเคยถูกคนเข้ามาข่มขู่และกลั่นแกล้งหลายครั้ง ทั้งการตัดไฟฟ้า ลักถอดมิเตอร์ไฟฟ้า วางยาสุนัขที่เลี้ยงไว้จนตายหลายตัวทั้งหมด กระทั่งเคยมีการส่งจดหมายมาเสนอเงินจำนวน 2 แสนบาทและ 5 แสนบาท แลกกับการขอให้ออกจากพื้นที่ ซึ่งแรงจูงใจหลักน่าจะมาจากต้นไม้ที่อยู่บริเวณรอบที่พักสงฆ์ และส่วนตัวเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวมีผู้มีอิทธิพลรายหนึ่งอยู่เบื้องหลัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันถัดมา (21 มิถุนายน 2559) ปรากฎว่านายณรงค์เดช คำภูนอก ปลัดอำเภอเพ็ญ และนายกองมี ยาตาล ผู้ใหญ่บ้านบ้านข่า พร้อมด้วยตัวแทนฝ่ายทหาร และพระสงฆ์ รวมกว่า 30 คนได้เดินทางมาที่พักสงฆ์บ้านข่าเพื่อเจรจากับพระโยเรื่องการตัดไม้นำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (เผาศพ) ก่อนหน้านั้นจนมีปัญหา แต่บรรยากาศการเจรจาค่อนข้างตึงเครียดเนื่องจากตัวแทนชาวบ้านที่เดินทางมาพร้อมกับนายณรงค์เดช ยืนยันว่าจะขอให้พระโยออกจากพื้นที่นี้โดยทันที กระทั่งมีตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนตำบลจอมศรีรายหนึ่ง พูดขึ้นว่า “ถ้าพระโยอยู่ต่อก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ซึ่งที่เตือนเพราะความหวังดี เนื่องจากกลัวว่าจะมีมือที่สามเข้ามาก่อเหตุ”

ทั้งนี้ เมื่อสอบถามกับนายกองมี ผู้ใหญ่บ้านบ้านข่า ซึ่งพระโยอ้างว่าเป็นผู้เบื้องหลังการขับไล่พระโยออกจากพื้นที่ เนื่องจากต้องการตัดไม้บริเวณที่พักสงฆ์บ้านข่าไปใช้ประโยชน์ ผลปรากฎว่านายกองมีปฎิเสธ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการข่มขู่หรือการขับไล่พระโย

IMG_0419

นายกองมี ยาตาล ผู้ใหญ่บ้านบ้านข่า ต.จอมศรี อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการข่มขู่พระโยให้ออกจากหมู่บ้าน พร้อมอ้างว่าการใช้ที่สาธารณประโยชน์เป็นสิทธิของชาวบ้าน พระโย กันหาเวียง ไม่มีสิทธิ การที่พระโยไม่อนุญาตให้ตัดไม้เพื่อฌาปนกิจศพจึงทำให้ชาวบ้านแตกแยก นายกองมีกล่าว

นายกองมียังพูดเสริมอีกว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่วัด แต่เป็นที่สาธารณะ เป็นศาลาจัดงานศพ ตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อนตัดไม้เล็กมาเผาศพก็ไม่ได้ แล้วยังมีกระถางต้นกีดขวางสถานที่ จนตนเองได้ร้องเรียนนายอำเภอเพ็ญเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2559 เหตุชาวบ้านอยากให้พระโยออกจากวัด

ด้านนายณรงค์เดชกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางอำเภอเพ็ญได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 เรื่อง “ห้ามบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์และ ตัดไม้ในที่สาธารณประโยชน์เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลตามกฎหมายผู้ใดฝ่าฝืนมีความผิดทั้งอาญาและแพ่ง” แต่ปรากฏว่าก็ยังมีการลักลอบตัดไม้ในที่ดินสาธารณประโยชน์ในบ้านข่าอยู่ ส่วนตัวก็สงสัยว่านายกองมีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ จึงไปยื่นขอให้ศาลออกหมายค้นบ้านของนายกองมี แต่ผลปรากฏว่าศาลไม่อนุญาตเนื่องจากมีพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ

เมื่อถามว่า นายกองมีค่อนข้างมีอิทธิพลในนี้ใช่หรือไม่ นายณรงค์เดชตอบเพียงว่า “ครับ ประมาณนั้น”

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลยืนยันจากคนในพื้นที่ว่า ระหว่างปี  2555-2558 เคยมีการลักลอบตัดต้นไม้ขนาดใหญ่ในที่ดินสาธารณะประโยชน์ของบ้านข่าอยู่บ่อยครั้ง โดยเมื่อผู้สื่อข่าวเข้าไปสำรวจก็ยังเห็นตอไม้ที่ถูกตัดไปแล้วหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ ยังมีการนำป้ายชื่อเครือญาติของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เข้าไปปักจับจองที่ดินสาธารณประโยชน์อย่างโจ่งแจ้งโดยที่ยังไม่มีหน่วยงานรัฐใดที่เกี่ยวข้องเข้าไปจัดการ

 

สรรค์ชัย เกริกชัยวิภาส เป็นผู้เข้าร่วมอบรมนักข่าวภาคอีสานรุ่นที่ 1 (The Isaan Journalism Network Project) เป้าหมาย คือ เพื่อสร้างเครือข่ายคนทำงานด้านสื่อมวลชนในภาคอีสานให้กับเดอะอีสานเรคคอร์ด  โดยเริ่มดำเนินการอบรมตั้งแต่เดือน มิถุนายน ถึงเดือนธันวาคม 2559

image_pdfimage_print