หมาในมหาวิทยาลัย
คุณจะเลือกชื่นชมสัตว์ชนิดใดระหว่างสุนัขจรจัดที่ยืนตรงและเห่าหอนเวลาได้ยินเสียงเพลงชาติและกระรอกตัวน้อยที่มีอิสระจากเสียงเพลงปลุกใจ เรื่องสั้น “หมาในมหาวิทยาลัย” ชายคาเรื่องสั้นชวนตั้งคำถาม
เขียนโดย พีระ ส่องคืนอธรรม
จารุนันท์ วงศ์เพลินจิต หรือ “ป้านัน” แม่ค้าขายขนมปังปิ้งเวียดนาม ย่านหลังมอ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เข้าถึงสัจธรรมในนิกายพยานพระยะโฮวา อันเป็นนิกายในคริสตศาสนาที่เธอเชื่อถือเพราะเน้นการอ่าน “พระคำของพระเจ้า” โดยตรง
“ป้าเป็นคนชอบอ่าน แต่ว่าแต่ก่อนมันไม่มีอะไรให้อ่าน” แม่ค้าขายขนมปังเวียดนามและเครื่องดื่มบอก พร้อมหยิบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลภาษาไทยสองฉบับออกมาจากชั้นไม้ใต้โต๊ะวางขวดเฮลซ์บลูบอยและกระปุกผงโอวัลติน-กาแฟ
จารุนันท์ วงศ์เพลินจิต หรือ “ป้านัน” ขายขนมปังเวียดนามชิ้นละ 9 บาท ในร้านซึ่งเป็นเพิงเล็กๆ ไม่ไกลจากวงเวียนแรกเข้ามาย่านหลังมอ ม.ขอนแก่น
หลังเป็นลูกค้าขาประจำมาหลายเดือน เช้าวันหนึ่งฉันจึงได้รู้ว่าป้านันมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นสรณะ เคี้ยวๆ ขนมปังไปอยู่ ป้านันก็หยิบเอาหนังสือเล่มบางให้ “เธอรู้จัก JW ไหม?”
คำว่า JW ไม่คุ้นหู แต่เมื่อกราดตาดูหนังสือสี่สีแบบที่คุ้นตา ฉันจึงรวบรวมคำตอบ “รู้จักฮะ พยานพระยะโฮวา ป้าเป็นพยานพระยะโฮวาเหรอฮะ”
(JW ย่อมาจาก Jehovah’s Witnesses หรือพยานพระยะโฮวา)
ป้าพยักหน้า
“พีรู้จักนิกายนี้เพราะว่าแนวคิดเรื่องการต้านเกณฑ์ทหารของเขา หลายๆ ประเทศเลยที่พยานพระยะโฮวาเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ปฏิเสธการเป็นทหารแบบไม่มีข้อแม้”
“โอ้ รู้เยอะนะ” ว่าแล้วป้านันก็เล่าให้ฉันฟังเรื่องพระคำของพระเจ้า บทที่เธอชื่นชอบ ซึ่งกล่าวถึงโลกของพระยะโฮวาที่ไม่มีสงคราม ไม่มีการฝึกอาวุธ
“อยากให้เธอศึกษา JW พระเจ้าคงจะพอใจเธอมาก”
ฉันขอสัมภาษณ์ป้านันในบ่ายวันนั้น
ป้านันเปิดคัมภีร์หน้านั้นรอฉันอยู่แล้วเมื่อถึงเวลานัด
และพระองค์จะทรงวินิจฉัยความระหว่างประชาชาติ, และจะทรงตัดสินเรื่องของมหาชน: และเขาทั้งหลายจะเอาดาบของเขาตีเป็นผาลไถนา, และเอาหอกตีเป็นขอสำหรับลิดแขนง; ประเทศต่อประเทศจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กัน, และเขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป (ยะซะยา 2:4)
ป้านันบอกว่าเพิ่งได้อ่านข้อความนี้ในพระคัมภีร์อีกครั้งเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ด้วยความหนาสองพันสามร้อยกว่าหน้า เธอก็ใช้เวลาพอควรกว่าจะเจอข้อความนั้น
“อ่านจบสองรอบแล้ว ปีละรอบ” ป้านันเล่า “เรียนอาทิตย์ละสี่ห้าหน้า” การเรียนคัมภีร์แต่ละครั้งมีทั้งการฟังบรรยายเป็นกลุ่มและการอ่านด้วยตนเอง
ป้านันเชื่อในสันติภาพของโลกยุคพระยะโฮวาที่จะไม่มีใครสู้รบกันต่อไป สำหรับสงครามที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ ป้านันก็เคยคิดสงสัยเรื่องนี้อยู่ จนกระทั่งไปอ่านเจอพระคำตอนที่กษัตริย์อัสซีเรียผู้กระหายสงครามพยายามล้อมตีเมืองฮิศคียาห์ของชาวยิว แล้วปรากฏว่าฝ่ายเมืองฮิศคียาห์ซึ่งมีกำลังน้อยกลับสามารถเอาชนะกษัตริย์ซันเฮริบแห่งอัสซีเรียได้ด้วยการอธิษฐานและวางใจในพระเจ้า เมื่อทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้สังหารทหารอัสซีเรียกว่าแสนคนให้แทน
เมื่อฉันถามเธอว่าพระคัมภีร์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหม “ไม่ได้ว่าจะกราบ แต่ขอให้อ่าน ไม่ใช่จะเอาไว้บนหิ้งอย่างเดียว ก็คือให้อ่านแล้วก็ให้ทำตาม” คือคำตอบของป้านัน ผู้เก็บรักษาหนังสือไว้ในซองหนังที่พี่น้องมอบให้ แต่ในหน้าหนังสือก็มีการไฮไลต์และเขียนกำกับอยู่ทั้งเล่ม ป้านันบอกว่าปกติที่พกมาอ่านที่ร้านก็ได้วันละประมาณครึ่งชั่วโมง
ป้านันชอบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า (เล่มซ้าย) มากกว่าฉบับแปลโลกใหม่ (เล่มขวา) ที่แปลให้เข้าใกล้คนรุ่นใหม่ ลดทอนคำราชาศัพท์ลง แทนที่สาวกจะแทนตนว่า ‘ข้าพระองค์’ ก็ใช้คำว่า ‘ผม’ อย่างง่ายๆ “เหมือนให้ความรู้สึกว่าเป็นพ่อลูกกันเลย” ป้านันกล่าวถึงพระคัมภีร์ฉบับแปลใหม่ “คือคนรุ่นเก่าชอบคำสละสลวยละมั้ง เราถือว่าพระเจ้าสูงส่ง”
“ป้าเป็นคนเดียวในครอบครัวนะที่เป็นพยานฯ แต่ก่อนพ่อแม่ก็นับถือศาสนาอยู่ แต่เป็นพุทธแบบมัวแต่ทำมาหากิน”
ป้านันเกิดที่เมืองอุดรธานี เป็นลูกของชาวเวียดนามผู้อพยพจากภัยสงครามมาอยู่ที่เมืองอุดรธานี ป้านันอ่านเขียนภาษาไทยได้พร้อมๆ กับที่อ่านเขียนภาษาเวียดนามได้ เพราะสมัยนั้นมีครูสอนภาษาเวียดนามที่เข้ามาสอนในชุมชนอย่างปิดลับ เพราะกลัวตำรวจไทยจับกุมข้อหาก่อการร้ายเนื่องจากเรียนภาษาของ “คอมมะนิด”
“ตอนนั้นพ่อแม่ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะอยู่หรือจะกลับ” ป้านันเล่า
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับ ป้านันกลายเป็นคนไทยอีสานที่ยึดอาชีพค้าขายเลี้ยงตัวมาอย่างพออยู่ได้ แต่งงานกับชายเชื้อสายญวนเช่นเดียวกัน ขายก๋วยจั๊บอยู่หลังมหาวิทยาลัยขอนแก่นมาสิบห้าปี จนทุกวันนี้เริ่มแก่ตัวลง ก็หันมาขายขนมปังเวียดนาม ซาลาเปา และเครื่องดื่มมาได้สามปีแล้ว
ก่อนหน้าที่จารุนันท์จะมีสถานะเป็นพลเมืองไทย การจะเดินทางข้ามจังหวัดในฐานะ “ผู้อพยพ” เป็นเรื่องยุ่งยาก ต้องขออนุญาตทางราชการก่อน กว่าป้านันจะมีบัตรประชาชนก็ปาเข้าไปอายุสามสิบกว่าปี หลังจากแต่งงานมีลูกได้หลายปีแล้ว
ป้านันไม่เคยมีวัยแสวงหาในวัยแรกรุ่น การทำมาหากินเป็นความจำเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่สมัยช่วยแม่ค้าขาย เส้นทางสู่พระศาสนาของป้านันเพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมานี้เอง
ในตอนแรก ป้านันส่งลูกทั้งสองคนเข้าโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น เพราะกลัวกระแสสังคมจะพาลูกชายคนโตและลูกสาวคนเล็กออกนอกลู่นอกทางที่ดีงาม “เห็นคนไปโบสถ์ เราก็ส่งลูกไป ศาสนาไหนก็ได้ ฝากเขาไปเหอะ” ป้านันเล่า “อบรมให้เป็นเด็กดี โลกมันน่ากลัว”
แต่สองสามปีผ่านไป เมื่อวันหนึ่งเกิดความระหองระแหงกับสามี ป้านันก็เริ่มแสวงหาที่พึ่งทางใจ “เคยคิดว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า เหมือนอยู่ตัวคนเดียว” ป้านันเริ่มไปเข้าโบสถ์พร้อมกับลูกที่ตนส่งไปทุกวันอาทิตย์
เมื่อได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ป้านันก็เกิดคำถาม
“อ่านไปแล้วสงสัยว่าเยซูเป็นบุตรหรือเป็นพระเจ้า” โบสถ์แห่งนั้นไม่ได้ให้คำตอบตรงตามที่ป้านันเข้าใจจากการอ่านด้วยตนเอง เธอได้ค้นพบสัจธรรมเมื่อได้พบกับพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งซึ่งขณะนั้นเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ถึงตอนนี้ก็เข้าปีที่หกแล้วที่ป้านันเข้าบัพติสเป็นพยานฯ
“อันนี้จะเน้นอ่าน เปิดคัมภีร์อ่านเลย ไม่มีการกินเลี้ยง เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณอย่างเดียว” ป้านันเล่าถึงความเรียบง่าย ไม่ค่อยมีพิธีรีตองของเหล่าผู้นับถือ ซึ่งเรียกชุมชนตนเองว่า ‘ประชาคม’ แทนคำว่า ‘โบสถ์’
จารุนันท์เป็นหนึ่งในสมาชิกหลายสิบคนของประชาคมขอนแก่นเหนือ ซึ่งมีคนทุกสีผิวอยู่รวมกัน ปัจจุบัน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีผู้นับถือนิกายพยานพระยะโฮวาราว 600-700 คน และกว่า 8 ล้านคนทั่วโลก
“ทุกวันนี้เหมือนมีป้อมปราการ” ป้านันเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงด้านบวกในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความงกที่น้อยลง และความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีขึ้น “นำหลักการพระเจ้ามาใช้ ก็ช่วยได้เยอะ แต่ก่อนถ้าไม่ถูกใจสามีเราก็โป้งๆ ไป ส่วนตอนนี้ถ้าไม่ถูกใจสามี ก็นิ่งซะ”
ป้านันเป็นเสาหลักของครอบครัว อาชีพค้าขายช่วงนี้ลำบากกว่าแต่ก่อน ป้านันต้องดิ้นรนหาเงินจำนวน 15,000 บาทต่อเดือนเพื่อเลี้ยงสมาชิกทั้งสี่คน
“เธอไม่น่าออกจากงานเลย มีเงินเดือนแล้วตั้งสองหมื่นห้า” ป้านันบอกฉัน “ทุกวันนี้อยู่ยาก หาเงินยาก ยังพะงาบๆ อยู่เหมือนกัน ขายวันนึงได้กำไรสามสี่ร้อยเอง”
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ป้านันก็ไม่อยากขึ้นราคาสินค้า “สงสารเด็กๆ ถ้าขายถูก เค้าก็มาซื้อกินทุกวันได้ แต่ถ้าขายแพงก็กินทุกวันไม่ได้”
เศรษฐกิจที่ซบเซาและฝืดเคืองเป็นปัญหาในชีวิตของป้านัน เมื่อฉันถามว่าอะไรเป็นเหตุ ป้านันบอกว่าคงไม่เห็นสาเหตุหากมองด้วยสายตาของมนุษย์ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเพราะนี่คือยุคสุดท้าย เป็นวิกฤตกาลที่ยากจะรับมือได้ ว่าแล้วเธอก็เปิดพระคัมภีร์อีกบทหนึ่ง
(2 ติโมเธียว 3) ในสมัยสุดท้ายจะเกิดวิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้ เพราะว่าคนจะรักตัวเอง รักเงิน อวดดี เย่อหยิ่ง หมิ่นประมาท ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ไม่ภักดี ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ* ไม่ยอมประนีประนอม เป็นคนใส่ร้าย ไม่มีการควบคุมตนเอง ดุร้าย ไม่รักความดี
อ่านมาถึงตรงนี้ คนที่ไม่มีความรักใคร่ตามลู่ทางของสังคมอย่างฉันก็สะดุด “ป้านัน พีเป็นพวกเพศหลากหลาย ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ แบบนี้พีจะเป็นทูตที่ดีให้พระเจ้าได้ไงอะ”
“จะเป็นแบบนั้นไม่ได้เลยไง พระเจ้านี่ห้ามเลยไง” ป้านันบอก “แต่เมื่อเรารักพระเจ้าอะไรเราก็ทำได้หมดแหละ เปลี่ยนได้ ถ้าเรารักพระเจ้า ป้าก็รู้จักพี่น้องหลายคน เค้าก็เป็นแบบเธอนี่แหละ”
“อยากให้เธออ่านข้อความตอนนึงเรื่องเป็นทูตให้พระเจ้า” ป้านันพยายามพลิกพระคัมภีร์หา “เพราะเธอมีศักยภาพที่จะเป็นทูตของพระเจ้า พระเจ้าคงจะพอใจเธอมาก เธอยังไม่ต้องรับบัพติสมาเป็นพยานหรอก ไปฟังประชุม แล้วก็อ่านคัมภีร์ก่อนก็ได้”
ฉันสงสัยว่าฉันเหมาะจะเป็นทูตผู้ประกาศพระคำของพระเจ้าอย่างไร
“เห็นมะ ความรู้ป้าก็ไม่มี เธอสามารถเป็นกระบอกเสียงให้พระเจ้าได้ ป้าน่ะเป็นแค่แม่ค้า ไม่มีความรู้เด๊ะ นอกจากที่ได้จากการอ่านนี่แหละ”
ป้านันบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่กลัวตายแล้ว “ตายแล้วก็เป็นดิน คนไม่มีวิญญาณ ดับสูญไป” โดยอ้างแนวคิดเรื่องตายแล้วสูญจากพระคัมภีร์ ป้านันยังเล่าอีกถึงประสบการณ์การถูกดมยาสลบเพื่อผ่าตัดเนื้องอก บอกว่าความตายก็เป็นเช่นนั้นแหละ
จารุนันท์หวังว่าทั้งลูกทั้งสองจะได้รู้จักพระเจ้าจริงๆ ดังเช่นตัวเธอบ้าง คาดหวังให้พวกเขาเดินอยู่ในทางของพระเจ้า
ลูกชายของเธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย วิชาเอกบริหารธุรกิจ เขามาช่วยขายของบ้างในบางเช้า ผ่านมาระยะหนึ่งแล้วก็ยังหางานทำไม่ได้ ตอนนี้เขาจะไปเกณฑ์ทหาร แม้จะกลัวลำบากเขาก็คิดว่าจะต้องไปเพื่อรายได้
ฉันถามป้านันว่าเธอจะว่าสนับสนุนให้ลูกชายปฏิเสธการเป็นทหารตามคำสอนของพระคัมภีร์หรือเปล่า ป้านันตอบว่า “ถ้าไม่ฝืนเรื่องเป็นพยานฯ จริงๆ ก็ไปโลด ไปฝึกวินัย … ก็แล้วแต่สถานการณ์ เพราะเค้ายังไม่ได้เป็นพยานฯ ถ้าเขาเป็นพยานฯ เองเขาค่อยปฏิเสธ”
ปัจจุบัน ในประเทศไทยมีพยานพระยะโฮวาวัยเกณฑ์ทหารอยู่ราว 70 คน ทุกคนจะรายงานตัวต่อทางการ แต่จะไม่มีใครยอมจับใบดำ-ใบแดง
คงเพราะฉันซักเรื่องแนวคิดต้านสงครามของพยานพระยะโฮวาอยู่ตลอด ป้านันจึงแสดงความกังวลเล็กน้อยว่าฉันจะไปเขียนอะไรที่สุ่มเสี่ยงหรือเปล่า ฉันยืนยันว่าฉันจะเขียนไปตามคำสอนจริง มันไม่น่าใช่เรื่องเสียหายอะไร
ฉันขอตัวกลับ บอกเธอว่าจนกว่าเราจะได้พบกันอีก เธอคงจะหาพระคำเรื่องทูตของพระเจ้าเจอแล้วว่าอยู่หน้าไหน ก็อย่าลืมเปิดให้ฉันอ่านก็แล้วกัน.