ขอนแก่น – พยานโจทก์คดีขอนแก่นโมเดลระบุว่า ไม่เคยเห็นจำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์คันที่เจ้าหน้าที่ทหารตรวจพบอาวุธปืน ระหว่างการจับกุมจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 23 พ.ค. 57
เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 (มทบ. 23) จ.ขอนแก่น นัดสืบพยานโจทก์คดีขอนแก่นโมเดล เป็นปากที่ 4 คือ ส.อ.สังวร บุญราษฎร์ อายุ 61 ปี อดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ธนาคารแห่งประเทศไทย สาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น ผู้อยู่ในเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ทหารบุกเข้าจับกุม จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ อดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ธนาคารแห่งเดียวกัน จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ปี 2557

จ.ส.ต.ประธิน จันทร์เกศ (คนแรก) จำเลยที่1 คดีขอนแก่นโมเดล ภาพจาก : PPTVHD36
คดีนี้อัยการศาล มทบ. 23 เป็นโจทก์ฟ้อง จ.ส.ต.ประธิน จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 26 คน ฐานความผิดร่วมกันฝ่าฝืนประกาศ คสช. ฉบับที่ 7/2557 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมือง ร่วมกันตระเตรียมก่อการร้าย และความผิดอื่นๆ
ส.อ.สังวร ขึ้นเบิกความต่อศาลว่า เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 23 พ.ค. ปี 2557 ขณะที่ตนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริเวณประตูทางเข้า – ออก ส่วนหน้าของธนาคารฯ ว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารต้องการพบตน ตนจึงออกไปพบเจ้าหน้าที่ทหาร ทราบชื่อคือ พ.ท.พยัคฆพล ชุมแสง หัวหน้าชุดจับกุม จำเลยที่1 (ยศในขณะนั้น – ผู้เขียน) โดยพ.ท.พยัคฆพลแจ้งให้ตนทราบว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนเกี่ยวกับการกระทำผิดในคดีความมั่นคง
หลังจากนั้นตนจึงพาเจ้าหน้าที่ทหารไปพบจำเลยที่ 1 เจ้าหน้าที่ตรวจค้นตัวจำเลยที่ 1 แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย
ส.อ.สังวร กล่าวด้วยว่า จำเลยที่ 1 ได้พาเจ้าหน้าที่ทหารไปตรวจค้นตู้เก็บของแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทหารตรวจค้นรถจักรยานยนต์ที่อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารตรวจค้น ตนยืนอยู่ห่างจากเจ้าหน้าที่ทหารจึงไม่เห็นการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบกระสุนปืนขนาด 9 มม. กระสุนปืนลูกซอง กระสุนปืน 11 มม.จำนวน 4 กล่อง กุญแจมือ ซองปืนพก 1 ซอง อยู่ใต้เบาะรถจักรยานยนต์ มีค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ซึ่งวางอยู่บนตะแกงหน้ารถและถุงบรรจุผ้าสีแดงลักษณะคล้ายผ้าพันคอซึ่งแขวนอยู่บริเวณคันเร่งรถจักรยานยนต์ สิ่งของที่ตรวจพบทั้งหมดเจ้าหน้าที่ทหารได้อายัดไว้
ส.อ.สังวร กล่าวอีกศาลว่า ปกติจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเพื่อเดินทางมาทำงาน ซึ่งตนไม่เคยเห็นจำเลยที่ 1 ขับขี่รถจักรยานยนต์สีเหลืองคันดังกล่าวมาทำงาน
พยานปากที่ 4 กล่าวอีกว่า จากนั้นพนักงานสอบสวนสภ.เมืองขอนแก่น ทราบชื่อคือ ร.ต.อ.นพดล (จำนามสกุลไม่ได้) โทรศัพท์แจ้งมายังตนว่า มีกระเป๋าหนังสีดำของจำเลยที่ 1 อยู่ที่ธนาคารฯ ตนจึงเก็บกระเป๋าไว้เพื่อจะให้ภรรยาจำเลยที่ 1 แต่ร.ต.อ.นพดลเดินทางมายังธนาคารฯ และเปิดกระเป๋าใบดังกล่าวให้ตนดูต่อหน้า จึงพบว่ามีอาวุธปืนขนาด 9 มม. ซองกระสุนปืน 1 ซอง สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร และหนังสือเดินทาง ส่วนสิ่งของชิ้นอื่นตนจำไม่ได้ แต่ตนจำได้ว่ากระเป๋าใบดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1
อัยการทหารได้ถามถึงกฎระเบียบของการรักษาความปลอดภัยธนาคารฯ ว่าเป็นอย่างไร ส.อ.สังวร ตอบว่า ธนาคารฯ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรวมถึงตน 14 นาย ซึ่งธนาคารฯ มีกฎระเบียบการใช้อาวุธปืนในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ คือเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องใช้อาวุธปืนที่ทางธนาคารฯ จัดเตรียมไว้ให้โดยมีอาวุธปืนขนาด .38 อาวุธปืนลูกซอง รวมถึงวิทยุสื่อสาร ซึ่งการจะนำอาวุธปืน เครื่องกระสุน และวิทยุสื่อสารไปใช้นั้น ต้องมีการลงลายมือชื่อผู้ใช้ทุกครั้ง แล้วหลังจากเลิกใช้งานต้องส่งคืน
ส.อ.สังวร กล่าวว่า กฎระเบียบการใช้อาวุธปืนของธนาคารฯ ไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนำอาวุธปืนจากภายนอกเข้ามาใช้ภายในธนาคารฯ หากใครมีอาวุธประจำตัวต้องเก็บไว้ที่ตู้เก็บของของตัวเอง แล้วนำอาวุธปืนที่ธนาคารฯ จัดให้มาใช้ปฏิบัติหน้าที่ จากนั้น ส.อ.สังวรได้อธิบายรายละเอียดของกฎระเบียบของธนาคารฯ
หลังจากส.อ.สังวรเบิกความเสร็จ ทนายจำเลยแถลงขอถามค้านพยานปากที่ 4 ในนัดหน้าพร้อมกับพยานปากที่ 2 และ พยานปากที่ 3 ที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกันตามหลักการพยานคู่ เพื่อไม่ให้จำเลยเสียประโยชน์ ศาลจึงนัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 26 พ.ค.นี้