โดย วิทยากร โสวัตร

ภาพกรณีเจ้าหน้าที่ทหารของสยามควบคุมผู้มีบุญไว้ ณ ทุ่งศรีเมือง เมืองอุบลราชธานี พ.ศ. ๒๔๔๔  ภาพจากหนังสือ ประวัติศาสตร์อีสาน โดย เติม วิภาคย์พจนกิจ

ในประวัติศาสตร์อีสาน กรณีผีบุญหรือขบถผู้มีบุญ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุด เพราะการที่ราษฎรอีสานลุกฮือขึ้นมาสู้กับอำนาจรัฐจากกรุงเทพฯ แล้วสุดท้ายถูกล้อมฆ่าในวันที่ 4 เมษายน 2444 นับเฉพาะที่เมืองอุบลนั้น (เท่าที่เจ้าหน้าที่รัฐบันทึกไว้) มีคนตายมากกว่า 200 คน บาดเจ็บอีก 500 คนเศษ และถูกจับเป็นอีก 120 คน และหลังจากนั้นตลอด 3 เดือน ก็มีการกวาดล้างกลุ่มขบถทั่วภาคอีสาน (มณฑลอีสานและมณฑลอุดร) จับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 400 คนเศษ (ไม่มีบันทึกว่ามีคนบาดเจ็บหรือคนตาย ซึ่งความเป็นจริงน่าจะมี)

ผมอยากเอาข้อเขียนเกี่ยวกับการลุกฮือครั้งนี้จาก “ผู้เชี่ยวชาญ” หลายๆ คนมาเรียงกันให้ท่านเห็นดูว่า แต่ละคนมีน้ำเสียงอย่างไร เมื่อเทียบกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งสังกัดอยู่กับสถาบันศาสนาที่นักคิดในปัจจุบันมักละเลย ด้วยการตั้งป้อมไปว่า “ล้าหลัง” ตั้งแต่ยังไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจัง

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยทรงเห็นว่ากรณีผีบุญ “นี่ไม่ใช่พงศาวดาร” และเป็นได้แต่เพียง “เกร็ดนอกพงศาวดาร” เท่านั้น ดังที่บรรจุเรื่องผีบุญนี้ไว้ในพระนิพนธ์เรื่องนิทานโบราณคดี และทรงชี้ระดับคุณค่าที่ว่านี้ไว้ในคำนำ

และนี่อาจเป็นเหตุผลของการเขียนถึงเรื่องนี้ในยุคหลังๆ ที่ไม่ค่อยยุติธรรมกับราษฎรอีสานนัก คือมีน้ำเสียงเอนเอียงไปแบบน้ำเสียงของรัฐส่วนกลาง (กรุงเทพฯ) กระทั่งหมิ่นแคลนขบวนการนี้ เช่น ใน ประวัติศาสตร์อีสาน, 2449-2514 ของ เติม วิภาคย์พจนกิจ (ชาวเมืองอุบลราชธานี) ใช้เอกสารของทางการและคำบอกเล่าของพ่อตัวเองซึ่งทำงานใกล้ชิดพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์  สำเร็จราชการมณฑลอีสานเป็นส่วนใหญ่และพงศาวดารเมืองยโสธร  “…ประชาชนผู้เป็นผีบาป (ผีบ้า) จึงได้ไปกระทำพิธีเซ่นสรวงขึ้น…”

เห็นได้ว่า มีการเรียกกบฏผีบุญที่พงศาวดารเมืองยโสธรว่า “ผีบ้า” ซึ่งไม่ตรงความหมายของคำว่า “ผี” ในคติชนลาว ที่ผีมี 2 แบบคือ ผีให้คุณกับผีให้โทษ ในกรณีผีบุญมีคำว่าบุญต่อท้ายหมายถึงผีให้คุณ  ซึ่งก็คือพญาธรรมิกราช

หรือตอนชาวฝรั่งเศสถามถึงความชอบธรรมของคำสั่งประหารชีวิต  ซึ่งเข้าใจว่าผู้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อหาความชอบธรรมสำหรับการนี้แทนที่จะมองว่านี่เป็นคำท้วงติงด้านสิทธิมนุษยชนจากปากของคนประเทศที่มีความศิวิไลซ์

เนื่องในการประหารชีวิตพวกผีบาปผีบุญครั้งนี้  เมอสิเออร์ลอร์เรน  ชาวฝรั่งเศสซึ่งทางการเราจ้างมาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ณ เมืองอุบลราชธานีได้ทูลถามเสด็จในกรมฯ ว่า  “พระองค์มีอำนาจอย่างไรในการรับสั่งให้ประหารชีวิตคนก่อนได้รับพระบรมราชานุญาต” เสด็จในกรมฯ ทรงรับสั่งตอบว่า  “ให้นำความกราบบังคมทูลดู” เมอสิเออร์ลอร์เรนเลยเงียบไป…

หรือแม้แต่นักเขียนลูกอีสานผู้ยิ่งยงอย่าง คำพูน บุญทวี  ก็ยังเขียนไว้ในหนังสือ สารคดี เกร็ดประวัติศาสตร์อีสาน : ผีบ้า ผีบุญ  ว่า

ผีบ้า ผีบุญ คือคนธรรมดาสามัญ  แต่อวดอุตริเป็นผู้วิเศษ มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นานา  ประวัติศาสตร์ไทยกล่าวไว้ว่า มีผีบ้า ผีบุญ เกิดขึ้นทางภาคอีสานหลายคน แต่ถูกทางการบ้านเมืองปราบปรามราบคาบทุกคน… เพื่อลูกหลานไทยอีสานรุ่นหลังจะได้รู้บ้างว่า แผ่นดินอันแห้งแล้งของเขาแห่งนี้ เคยมีการรบราฆ่าฟันกัน  เพราะคำเล่าลืออันพิลึกกึกกือแท้ๆ เรื่องนี้ผมสอบถามจากผู้เฒ่าผู้แก่  ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์เมื่อ ๕ ปีก่อน  และค้นคว้าจากหนังสือมาประมวลกันเข้าให้อ่านเพลินๆ  หากมีประโยชน์แก่นักเรียนนักศึกษาและประชาชน   ผมขออุทิศความดีของหนังสือเล่มนี้ให้แก่ดวงวิญญาณวีรชนและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผู้มีส่วนปราบผีบ้าผีบุญครั้งนี้ด้วยความคารวะ

แต่กลับมีรายงานบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้จากพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งอยู่ในเหตุการณ์จริง (ซึ่งไม่ถูกอ้างถึงเลยในงานเขียนยุคหลัง 2 เล่มดังกล่าว) ถูกเก็บเงียบอยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติเป็นเวลายาวนาน ที่น่าสนใจคือผู้บันทึกนั้นคือ “พระญาณรักขิต” (จันทร์ สิริจนฺโท ซึ่งต่อมาได้รับสมณศักดิ์เป็น พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ และเป็นที่ยอมรับนับถือของพระสงฆ์ทางอีสานทั้งสายปริยัติและปฏิบัติว่าเป็นอาจารย์ใหญ่) แม้จะเป็นคนอีสาน (เกิดที่บ้านหนองไหล อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี) แต่ก็บวชเรียนในสายธรรมยุติ ซึ่งเป็นนิกายที่ถูกก่อตั้งขึ้นจากศูนย์กลางสยามโดยรัชกาลที่ ๔ นิกายนี้แม้จะเป็นนิกายของคนส่วนน้อย แต่ก็กุมอำนาจการปกครองคณะสงฆ์ของประเทศนี้มาตลอด ต่อมาในยุคสร้างชาติก็ถูกใช้เพื่อการเผยแพร่อุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ผ่านการกระจายการศึกษาของพระซึ่งสมัยนั้นถือเป็นสถาบันหลักในทางการศึกษาที่กระจายไปถึงญาติโยมหรือประชาชนส่วนใหญ่ด้วย อีกทั้งการปกครองศาสนจักรก็เกิดการรวมเข้าสู่ส่วนกลางแบบเดียวกันกับการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๐๐-๒๔๗๕

ในขณะนั้น ท่านพระญานรักขิตทำหน้าที่เป็นเจ้าคณะมณฑลอีสานและผู้อำนวยการศึกษาอีสาน พูดง่ายๆ ก็คือเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในฝ่ายศาสนจักรนั้นเอง ท่านได้เที่ยวออกตรวจราชการประจำปี พ.ศ. ๒๔๔๔ (ร.ศ.๑๒๐) ตามหัวเมืองต่างๆ และบันทึกนี้ก็เป็นรายงานแก่ราชสำนักกรุงเทพฯ

แต่น้ำเสียงของบันทึกรายงานชิ้นนี้ค่อนข้างเข้าใจราษฎรอีสานและมีความกล้าหาญที่จะชี้ความผิดปกติ บกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งจากส่วนกลางที่มาปกครองและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เคยมีอำนาจอยู่เดิม และสภาพความเป็นจริงของชีวิตราษฎรอีสานที่จำต้องลุกขึ้นมาก่อกบฏ ดังที่ท่านเขียนไว้ว่า

…ราษฎรมีความคับแค้น  เพราะขาดทางเจริญแห่งทรัพย์  ทำไร่  นา สวน  ถ้าได้ผลมากก็ไม่มีราคา  ถ้าทำไม่ได้ต้องอด… ในการค้าขายสัตว์พาหนะมีความลำบากหลายประการ  ผู้ซื้อผู้ขายก็อยากซื้ออยากขาย  แต่พิมพ์ไม่มี  ครั้นช้างม้าพลัดหนีไป  ถ้ามีผู้จับนำส่งศาลกลาง  ต้องริบเป็นของหลวง  ถึงจะติดตามได้ก็ไม่ได้โดยมาก  ราษฎรไม่มีทางหาเงินในถิ่นฐานภูมิลำเนาของตน  เพราะจ้างกันทำงานราคาถูกเหลือเกิน  เป็นต้นว่า ทำนา ๑ ปี  ได้เงินเพียง ๕ บาท  หรือ ๒ บาทเท่านั้น  อีกอย่างหนึ่ง  ตามหัวเมืองข้าหลวงมักมีผู้โกงเรียกเงินส่วยแก่ราษฎรก่อน  แต่ยังไม่มีปี้จะให้  เมื่อทางการฝ่ายโจทก์ฟ้องจำเลยไม่มีหลักฐาน ก็ปรับเป็นแพ้… เป็นขึ้นเพราะความคับแค้นสับสนนั่นเอง

และเป็นที่น่ายินดีว่าภายหลังก็มีการนำเอกสารชิ้นนี้มาใช้ในการวิเคราะห์กรณีผีบุญในภาคอีสาน แม้น้ำเสียงหลายๆ คนยังโน้มนำไปสู่ความเห็นพ้องกับทางราชสำนักกรุงเทพฯ และไม่กล้าวิจารณ์นโยบายจากส่วนกลางอย่างตรงไปตรงมาตามหลักฐาน แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีหนังสือที่ระลึก อุบลราชธานี ๒๐๐ ปี (ปรากฏอยู่ในตอนที่ ๑ ประวัติเมืองอุบลราชธานี บทที่ ๓ ขบถผู้มีบุญ หน้า ๔๕-๔๗ เรียบเรียงโดย นายชุมพล แนวจำปา ศึกษานิเทศก์กรมสามัญ จังหวัดอุบลราชธานี จัดพิมพ์เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๕ โดยธนาคารกรุงเทพ) ที่ได้นำเอกสารชั้นต้นชิ้นนี้และของเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปราบปรามมาใช้ในการวิเคราะห์อย่างซื่อตรงด้วย

ดังนั้นผมจึงเห็นว่า ข้อเขียนในเล่มดังกล่าวเป็นเรื่องของขบถผู้มีบุญที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยการใช้เอกสารชั้นต้น (บันทึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์) ถือเป็นการให้ความยุติธรรมกับราษฎรอีสานอย่างมีหลักฐานอ้างอิง ไม่เพียงแต่เอาความรู้สึกฝักฝ่าย ภูมิภาคนิยมเป็นฐานการวิเคราะห์

บันทึกรายงานของ พระญาณรักขิต ทำให้เห็นสาเหตุของการขบถว่าเกิดจากความขัดแย้งภายในระหว่างผู้ปกครองส่วนกลางกับผู้ปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่อยไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับราษฎรอีสานอันมีสาเหตุจากความขัดสนทางเศรษฐกิจ ความกดดันทางจิตใจ

แต่ในขณะเดียวกันบันทึกของเจ้าหน้าที่รัฐจากส่วนกลางก็สะท้อนถึงสายตาของคนนอกหรือจากผู้ปกครองจากส่วนกลางต่อคนอีสานได้เป็นอย่างดี และมันได้สะท้อนออกมาเป็นความโหดร้ายเลือดเย็นดังบันทึกที่ว่า

กำลังส่วนใหญ่ของฝ่ายขบถเป็นชาวบ้านธรรมดา เมื่อกองทัพฝ่ายรัฐบาลเข้าประชิดแล้ว ปรากฏว่าพวกเขาเตือนกันว่า ใครอย่ายิงอย่าทำอะไรหมด ให้นั่งลงภาวนา “ฝ่ายเราก็ยิงแต่ข้างเดียว”

และดีที่ พระญาณรักขิต ได้เป็นผู้สอบสวนหมู่พระที่ร่วมขบวนการขบถด้วยตัวเอง โดยเฉพาะแกนนำพระที่เมืองยโสธร ไม่อย่างนั้น ก็ไม่แน่ว่าพระเหล่านั้นจะมีชีวิตรอด

แต่น่าเสียดายว่า การปฏิบัติงานส่วนนี้ไม่มีปรากฏในชีวประวัติของท่านเลย ไม่ว่าจะเป็นสำนวนที่ท่านเขียนขึ้นเอง หรือที่คณะศิษยานุศิษย์และผู้สนใจศึกษา บางทีผมก็อยากจะรู้ว่าทำไม? แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าจะมีการรวบรวมบันทึกรายงานชิ้นนี้พิมพ์เป็นเล่มอย่างเป็นกิจจะลักษณะและแจกจ่ายไปสู่ประชาชนทุกคนในภาคอีสานก็คงจะดี

เช่นเดียวกับมิติการเมืองสองฝั่งโขงของท่านที่ไม่เคยมีปรากฏ แต่เรื่องนี้กลับปรากฏเค้าอยู่ในหนังสือ ຊີວິດຜູ່ຂ້າ (อัตชีวประวัติของข้าพเจ้า, ปราโมทย์  ในจิต แปล) ของ มหาสิลา วีระวงส์ มหาปราชญ์ของลาว ซึ่งกำเนิดนั้นเป็นคนบ้านหนองหมื่นถ่าน อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้บวชศึกษาเล่าเรียนในสายธรรมยุติ จนได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค ก่อนจะไปได้ดิบได้ดีในประเทศลาว ถือว่าเป็นศิษย์สายตรงของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ความตอนที่เผยถึงมิติการเมืองสองฝั่งโขงมีอยู่ว่า

“เวลานั้น ได้อ่านหนังสือพิมพ์ลาวที่ออกในเวียงจันซึ่งกลุ่มพระจากเมืองโขงเอาไปให้อ่าน จึ่งมีความต้องการแรงกล้าที่จะได้เห็นเมืองเวียงจันที่สุด พร้อมกันนั้นก็ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งแจกในงานทอดกฐินหลวงชื่อว่า “ปราบกบฏไอ้อนุเวียงจันท์” ในหนังสือเล่มนั้นเรียกเจ้าอนุว่า “ไอ้อนุ” และเรียกเจ้าหญิงคำป้อง พระมเหสีว่า “อี่คำป้อง” เมื่ออ่านตลอดเรื่องแล้วรู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด จึงมีความคิดเรื่องการกู้ชาติเกิดขึ้น และแรงกล้า อย่างเคืองแค้นตั้งแต่ขณะนั้นเป็นต้นมา จึงได้ชักชวนเพื่อนนักบวชที่สอบมหาเปรียญรวมกลุ่มกันขึ้น เพื่อหาทางกู้ชาติ โดยไม่มีกองกำลังและความรู้ในด้านการเมืองแต่อย่างใด มีแต่ความคั่งแค้นแต่อย่างเดียว ดังนั้นในช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้าจึ่งได้เที่ยวไปเทศน์โจทย์โต้วาทีทั่วทุกแห่งหน เป็นการแสวงหาพรรคพวก และสอนหนังสือบาลีตามแต่โอกาสอำนวย แต่แล้วความคิดเรื่องการกู้ชาติก็ค่อยๆ จืดจางไป เมื่อได้รับคำอธิบายจากเจ้าคุณอุบาลี (ก็คือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ – จันทร์ สิริจนฺโท) ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของพระสงฆ์ภาคอีสาน โดยท่านกรุณาชี้แนะว่า ท่านเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้หรอก...”

ข้อเขียนนี้ทำให้ข้อกล่าวหาจากรัฐส่วนกลางที่ว่าคนอีสานมีแนวคิดหรือขบวนการที่จะแบ่งแยกดินแดนนั้นดูมีมูลความจริงขึ้นมา ไม่ใช่เพียงการปรักปรำลอยๆ นั่นคือมีคนจำนวนมากในภูมิภาคนี้สำนึกว่าตัวเองไม่ใช่ชาวสยาม/ชาวไทยอยู่จริง แม้จะยอมรับว่าแผ่นดินที่ตัวเองอยู่นั้นเป็นอาณาเขตปกครองของสยาม/ไทย ขณะเดียวกันกับที่สำนึกของคนไทยภาคกลางเองก็เหมือนจะยอมรับเอาแต่ดินแดนอีสานว่าอยู่ในสิทธิ์ของตัว แต่ก็ไม่นับว่าคนอีสานเป็นคนไทยร่วมกับตน

(ส่วนเรื่องที่คนบนแผ่นดินที่ราบสูงเกิดมีสำนึกหรือยอมรับความเป็นคนไทยอีสานตั้งแต่ตอนไหน ด้วยเงื่อนไขอะไรนั้น คงเอาไว้อภิปรายกันในโอกาสต่อไป)

จึงน่าสนใจว่า “คำอธิบาย” จากพระญานรักขิตที่ว่านั้น รายละเอียดเป็นอย่างไร? และการที่ท่านบอกกับมหาสิลา วีระวงส์ ว่า “ท่านเองก็เคยคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้หรอก…” นั้น ท่านเคยทำอะไรถึงขั้นไหนบ้างหนอ ถึงได้มีคำอธิบายแบบนี้

 

(โปรดติดตามตอนต่อไป ว่าด้วย “การเมืองระดับโลก” ของพระสงฆ์อีสานรูปนี้)

image_pdfimage_print