โดย ดานุชัช บุญอรัญ
มหาสารคาม – แอมเนสตี้ อินเตอร์ฯ ฉายภาพยนตร์เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยและตั้งวงเสวนาเพื่อสร้างความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงทัศนคติลบ ด้านตัวแทนองค์กรส่งเสริมสิทธิมนุษยชนเรียกร้องรัฐบาลไทยเข้าร่วมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด
เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2560 ที่ห้อง MU 300 วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) จ.มหาสารคาม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ (Amnesty International Thailand) ร่วมกับ วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มมส. จัดกิจกรรมส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ในหัวข้อผู้ลี้ภัย ผ่านการชมภาพยนตร์เรื่อง THE GOOD LIE (หลอกโลกให้รู้จักรัก)
ภาพยนตร์ที่จัดฉายเป็นเรื่องราวการเดินทางของผู้อพยพชาวซูดานกลุ่มหนึ่งที่ในวัยเด็กต้องเผชิญกับภัยสงครามกลางเมือง ทำให้ต้องหลบหนีการไล่ล่าของกลุ่มทหารไปยังค่ายผู้อพยพในประเทศเคนย่า ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจากองค์การสหประชาชาติ และได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะผู้ลี้ภัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยฝีมือการกำกับของนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ รีส วิทเธอร์สปูน โดยมี 3 นักแสดงชาวซูดานซึ่งเป็นบุตรหลานผู้อพยพชาวซูดานที่ผ่านเหตุการณ์สงครามกลางเมืองและการไล่ล่าในอดีตร่วมแสดงด้วย ได้แก่ อาร์โนลด์ โอแซง, คูโอธ วีล และ เอมมานูเอล จาล
ผู้เข้าชมภาพยนตร์มีทั้งนิสิตและประชาชนทั่วไป ประมาณ 170 คน ความเศร้าสะเทือนใจของภาพยนตร์เรื่องหลอกโลกให้รู้จักรักทำให้ผู้ชมหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
กิจกรรมปิดท้ายด้วยวงเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีวิทยากรรับเชิญจากองค์กรส่งเสริมสิทธิมนุษยชนซึ่งทำงานด้านผู้ลี้ภัย ได้แก่ นายชวรัตน์ ชวรางกูล จาก อะไซลัม แอคเซส ไทยแลนด์ (Asylum Access Thailand) และ น.ส.เพชรรัตน์ ศักดิ์ศิริเวทย์กุล เจ้าหน้าที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ ร่วมบอกเล่าประสบการณ์และตอบข้อซักถามในวงเสวนา
ผู้ลี้ภัยในไทยไม่มีสถานะบุคคล
นายชวรัตน์กล่าวว่า ปัญหาของผู้ลี้ภัยในประเทศไทยคือ รัฐไทยยังไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ ปี 2494 และไม่มีกฎหมายรับรองสถานภาพของผู้อพยพ กรณีที่บุคคลเหล่านั้นถูกจับกุม พวกเขามักจะถูกคุมขังเป็นระยะเวลานานกว่าจะได้รับการยินยอมให้สามารถเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย หรือถูกส่งกลับไปยังประเทศของเขา ที่ผ่านมาการให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยของประเทศไทยจึงเป็นเพียงนโยบายในระยะสั้นที่จำเป็นต้องทำอย่างเสียมิได้
นายชวรัตน์กล่าวอีกว่า แม้ในระยะ 1-2 ปีมา รัฐบาลจะเริ่มพูดถึงแนวคิดที่จะบริหารจัดการปัญหาเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยให้เป็นระบบมากขึ้น แต่แนวคิดดังกล่าวยังคงอยู่ในขั้นตอนของการริเริ่ม และยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด
ผู้ลี้ภัยในทัศนคติของสังคมไทย
น.ส.เพชรรัตน์กล่าวว่า จากการทำแบบสำรวจเรื่องทัศนคติของคนไทยต่อผู้ลี้ภัยที่ได้จัดทำขึ้นในการฉายหนังของแอมเนสตี้ครั้งก่อนหน้านี้ พบว่า คนส่วนใหญ่มีทัศนคติเชิงลบต่อผู้ลี้ภัย โดยหวั่นเกรงผลกระทบด้านทรัพยากรหากประเทศไทยหากเปิดรับผู้ลี้ภัยเข้ามา
น.ส.เพชรรัตน์ตั้งประเด็นว่า ทัศนคติเชิงลบของคนไทยที่มีต่อผู้ลี้ภัย ล้วนเป็นมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดชาตินิยม ดังนั้น จึงควรทำให้คนไทยเข้าใจถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์และยอมรับสิทธิในการมีชีวิตอยู่ของผู้ลี้ภัยได้อย่างแท้จริง
ข้อสงสัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย
นายยุทธนา ลุนสำโรง ผู้ประสานงานฝ่ายนักกิจกรรมประจำภาคอีสาน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์ ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ได้ชักชวนให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมถามคำถามในประเด็นเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยที่สนใจ โดยมีวิทยากรทั้งสองคนคอยตอบคำถามและร่วมวิเคราะห์ไปพร้อมกัน ดังนี้
ผู้ลี้ภัยที่ได้รับสถานะพลเมืองของต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา หากกระทำความผิดสามารถถูกเนรเทศกลับไปยังประเทศเดิมได้หรือไม่
นายชวรัตน์ – ตามระบบคัดกรองผู้ลี้ภัยของสหรัฐอเมริกา ในระยะ 6 ปีแรก หากผู้ลี้ภัยได้กระทำความผิดร้ายแรงก็อาจจะถูกส่งตัวออกนอกประเทศได้เช่นกัน ทว่าตามหลักการ Non-refoulement (นอนรีฟูลมอน) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นห้ามการส่งกลับผู้ลี้ภัยไปยังรัฐที่ไม่ปลอดภัยสำหรับชีวิตหรือเสรีภาพซึ่งอาจถูกคุกคาม
ผู้ลี้ภัยจำเป็นต้องเสียภาษีหรือไม่
น.ส.เพชรรัตน์ – ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับประเทศปลายทางที่ขอลี้ภัย เช่นประเทศนอร์เวย์ได้กำหนดอัตรารายได้ขั้นต่ำที่ผู้ลี้ภัยไม่ต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐจนกว่าจะสามารถมีรายได้เกินกว่าอัตราที่กำหนด จึงจะต้องจ่ายภาษีตามปกติเช่นเดียวกับพลเมืองทั่วไป
ตามกฎหมายไทย เด็กทุกคนในราชอาณาจักรต้องได้รับการศึกษา รวมถึงผู้ลี้ภัยหรือไม่อย่างไร
นายชวรัตน์ – ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เด็กผู้ลี้ภัยทั้งที่อาศัยอยู่ในที่คุมขังและที่ครอบครัวอยู่อาศัยในเขตเมืองมีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาจากสถานศึกษานอกที่คุมขัง หากแต่ด้วยนโยบายของรัฐที่เน้นปราบปรามมากกว่าปกป้อง ทำให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่เลือกที่จะเก็บลูกไว้กับตัว แทนที่จะส่งออกไปรับการศึกษา
การสร้างอาชีพให้กับผู้ลี้ภัยมีแนวทางเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร
นายชวรัตน์ – แนวทางคือการพัฒนาศักยภาพบุคคลให้คนกลุ่มนี้สามารถพึ่งพาตนเองและเข้าสู่ระบบภาษีได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยปฏิเสธ
น.ส.เพชรรัตน์ – เนื่องจากผู้ลี้ภัยในไทยไม่มีสถานะ ดังนั้น ผู้ลี้ภัยจึงไม่มีสิทธิทำงาน น่าเสียดายบุคลากรเหล่านี้ ซึ่งหลายคนมีความรู้ทางวิชาชีพที่มีประโยชน์ติดตัวมาจากประเทศต้นทาง แต่ไม่มีโอกาสได้นำออกมาใช้
ถ้าหากเราจำเป็นต้องเป็นผู้ลี้ภัย ควรไปอยู่ประเทศใดและสามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง ?
นายชวรัตน์ – การขอลี้ภัยนั้นมีความซับซ้อนพอสมควร การให้ลี้ภัยนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์ที่ตัวผู้ลี้ภัยประสบ ส่วนประเทศที่มีระบบคัดกรองและสามารถให้สถานะแก่ผู้ลี้ภัยได้จะต้องเป็นประเทศที่ร่วมในสมาชิกของภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 144 ประเทศ
น.ส.เพชรรัตน์ – จริงๆ แล้ว เราเลือกไม่ได้ว่าจะลี้ภัยไปประเทศไหน เพราะแต่ละประเทศมีโควตาที่จำกัด ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและความหนักเบาของกรณี
เมื่อต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยของประเทศไทย อาหารและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันจะได้รับการช่วยเหลือจากองค์กรใด
นายชวรัตน์ – โดยมากเป็นหน้าที่ของภาคประชาสังคมกลุ่มต่างๆ ร่วมกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในความเป็นจริง สิ่งที่ผู้ลี้ภัยจะได้รับคือ ข้าว น้ำมันพืช น้ำตาล เกลือ ถั่ว ไม่กี่อย่างเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องพึ่งพาตนเอง จุดนี้ทำให้ผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยต้องหลบหนีออกจากค่ายกักกันมาทำงานในเมืองเพื่อส่งเงินให้ครอบครัวใช้อยู่อาศัยภายในค่าย ทำให้เกิดปัญหาแรงงานผิดกฎหมายในเวลาต่อมา
ในปัจจุบันมีคนไทยขอลี้ภัยจำนวนมากเท่าใด เรื่องอะไร และส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศไหน
น.ส.เพชรรัตน์ – ส่วนใหญ่เป็นผู้ลี้ภัยการเมือง โดยมากลี้ภัยอยู่ในประเทศแถบยุโรป สำหรับตัวเลขยังไม่แน่ชัด
เราขอลี้ภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศกัมพูชา ได้หรือไม่
นายชวรัตน์ – กัมพูชาเป็นสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ แต่ยังมีปัญหาในเรื่องระบบบริหารจัดการผู้ลี้ภัย ที่ผ่านมามีกรณีตัวอย่างผู้ลี้ภัยจากประเทศออสเตรเลีย 5 คน หนีจากประเทศกัมพูชากลับประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากทนระบบในประเทศกัมพูชาไม่ไหว
รัฐบาลไทยควรมีวิธีการบริหารจัดการปัญหาผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา อย่างไร
นายชวรัตน์- ที่ผ่านมารัฐบาลไทยแก้ปัญหากลุ่มผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาโดยมองว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ทั้งหมด ดังนั้น แทนที่จะใช้หลักปฏิบัติของผู้ลี้ภัยดำเนินการในเรื่องนี้ รัฐบาลไทยกลับใช้กฎหมายว่าด้วยการปราบปรามการค้ามนุษย์เข้าไปจัดการ ทำให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่ได้
วิธีการที่เหมาะสมคือ รัฐบาลควรร่วมมือกับภาคประชาสังคมเพื่อดูแลผู้ลี้ภัย และควรพิจารณาเข้าร่วมเป็นประเทศในภาคีอนุสัญญาว่าด้วยผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ เพื่อแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยทั้งชาวโรฮิงญาและคนชาติอื่นๆ อย่างตรงจุด แทนที่จะตามจับกุมคุมขังและผลักดันให้ออกนอกประเทศ แล้วก็มีคนย้อนกลับเข้ามาใหม่อย่างเช่นในปัจจุบัน
หมายเหตุ ดานุชัช บุญอรัญ เป็นผู้เข้าอบรมโครงการนักข่าวภาคอีสานของเดอะอีสานเรคคอร์ด ประจำปี 2560