โครงการเพื่อสังคมประชาธิปไตยโน้มน้าวประชาชนให้เห็นว่าการประท้วงไม่มีความหมายอีกแล้วในประเทศไทย โดยหากต้องการเปลี่ยนแปลงต้องเข้าร่วมกับโครงการฯ เพื่อสนับสนุนพรรคซ้ายกลางเท่านั้น
ผมชื่ออธิพงศ์ พัฒนเศรษฐพงษ์ และผมเป็นโฆษกของโครงการเพื่อสังคมประชาธิปไตย คุณอาจเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนในโครงการของผมที่ชื่อจอห์น เดรเปอร์ นักศึกษาปริญญาเอก สาขาการจัดการบริการสาธารณะ ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อเร็วๆ นี้ จอห์นได้เสนอให้มีการมอบตัวหมู่ในโทษฐานที่เข้าร่วมงานประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนักวิชาการและนักศึกษาห้าคนที่ถูกจับกุมในงานด้วยข้อหาว่าทำการชุมนุมทางการเมือง
หลายต่อหลายคนพร้อมจะให้ความช่วยเหลือจอห์นในการจัดการเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครเลยที่จะร่วมมอบตัวกับเขา การที่นักศึกษาต่างชาติหนึ่งคนจะเข้ามอบตัวคงไม่สามารถถือว่าเป็นการมอบตัวหมู่เป็นแน่ ดังนั้นจอห์นจึงพิจารณายกเลิกการมอบตัวในครั้งนี้
มีเหตุผลที่เป็นไปได้อยู่สองประการที่ทำให้สิ่งนี้ล้มเหลว เหตุผลแรกก็คือแนวทางนี้มันอาจจะดูไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก แต่ก็มีคนจำนวนมากที่บอกกับจอห์นว่านี่เป็นการแสดงออกที่เหมาะสมและเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะทำ และในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันตกนั้นการมอบตัวหมู่เพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้ที่ถูกจับกุมด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมนั้นเป็นวิธีที่ทรงพลังและสามารถดึงดูดความสนใจจากสื่อและภาคการเมืองได้ ดังนั้นเหตุผลนี้อาจจะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์
เหตุผลที่เป็นไปได้อย่างที่สองก็คือรัฐทหารนั้นประสบชัยชนะแล้ว และการประท้วงนั้นไม่มีความหมายใดๆ ในขณะนี้ เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในรัฐที่ค่อยๆ คืบคลานไปสู่สถานการณ์ในนิยายเรื่อง 1984 ของจอร์จ ออร์เวลล์ องค์กรทางสิทธิมนุษยชนอย่าง เช่น ฮิวแมนไรท์วอทช์ องค์การนิรโทษกรรมสากล และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ก็ล้วนแต่ถูกเพิกเฉยโดยรัฐทหาร ผู้ที่เป็นศัตรูของรัฐถูกจับกุมและไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันอีก ในรัฐแบบนี้นั้นการประท้วงไม่ได้ทำให้อะไรเกิดขึ้น และหลักการต่างๆ ก็หมดความหมาย อำนาจจะยังคงอยู่ในมือของผู้มีอำนาจต่อไปรึเปล่า?
ในประเทศไทยนั้นอำนาจมาจากสี่แหล่งด้วยกัน มีมาแต่เกิด ได้มาผ่านความร่ำรวย ได้มาผ่านการเมือง หรือได้มาด้วยการประท้วง และในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาผู้ที่อยู่ฝ่ายซ้ายและฝ่ายกลางในสังคมไทยก็ไม่มีหนทางในการได้อำนาจมานอกจากการประท้วง
ถ้าจอห์นคิดถูกที่เชื่อว่าการประท้วงในประเทศไทยนั้นไม่มีความหมายอะไร ก็ย่อมแปลว่าเราไม่มีทางออกอื่นนอกจากการสร้างระบบการเมืองที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ และแม้ว่าระบบการเมืองในอดีตที่ผ่านมานั้นจะมีปัญหา แต่เราเชื่อว่าประเทศไทยสามารถมีการเมืองที่ดีกว่าการแบ่งข้างเหลือง-แดงหรือรูปแบบความคิดว่า “ไม่ใช่พวกเราก็คือพวกมัน”
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้นการพัฒนาพรรคการเมืองที่นำด้วยหลักการและอุดมคตินั้นเกิดการชะงักงัน แต่เราเชื่อว่าประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากการเมืองที่พรรคต่างๆ ถูกนำด้วยหลักการและอุดมคติทางการเมือง ระบบการเมืองที่มีสี่พรรคกระจายไปตามเฉดสีของแนวคิดทางการเมืองนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างมาก นั่นคือมีพรรคขวาจัดซึ่งประกอบด้วยผู้มีแนวคิดชาตินิยมและนิยมชมชอบการทหาร พรรคขวากลางซึ่งประกอบด้วยคนส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และผู้มีแนวคิดอนุรักษนิยมทั่วไป พรรคซ้ายกลาง และสุดท้ายคือพรรคซ้ายจัด พรรคการเมืองเหล่านี้ต้องเป็นพรรคที่นำด้วยแนวคิดและดึงฐานเสียงมาจากทั้งประเทศ เพราะประเทศไทยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากพรรคการเมืองอำนาจท้องถิ่นที่ภูมิใจกับการบอกว่าตัวเองไม่มีหลักการใดๆ นำทาง และประสงค์เพียงแค่จะเอาฐานเสียงท้องถิ่นไปเสริมพรรคที่ต้องการจะเป็นรัฐบาลเพื่อแลกกับผลประโยชน์
ในสามทศวรรษที่ผ่านมานั้นฝ่ายซ้ายในประเทศไทยค่อนข้างจะประสบปัญหามาก พรรคเพื่อไทยนั้นอาจจะพอถือได้ว่าเป็นพรรคแนวสังคม นั่นคือพรรคมีแนวทางให้รัฐบาลมีบทบาทสำคัญในประเทศผ่านนโยบายประชานิยม แต่เพื่อไทยก็ไม่ได้ถูกนำด้วยวาระเพื่อสิทธิมนุษยชน แต่ถูกนำด้วยแนวคิดเศรษฐกิจแบบชาตินิยม และอาจมีทุนนิยมเสรีในบางแง่ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ฟังเสียงจากสมัชชาคนจนหรือกลุ่มอื่นๆ ที่คล้ายๆ กัน และยังไม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกด้วยการปฏิเสธฮิวแมนไรท์วอทช์และองค์การนิรโทษกรรมสากล ดังเช่นที่ทักษิณบอกว่ายูเอ็นไม่ใช่พ่อ
ดังนั้นแล้วสิ่งที่ขาดไปจากฝ่ายซ้ายก็คือพรรคการเมืองที่ขับดันด้วยวาระทางสิทธิมนุษยชนและประสงค์จะเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกอย่างแท้จริง พรรคการเมืองนี้จะมุ่งเน้นการปฏิบัติตามสนธิสัญญาของสหประชาชาติและเข้าร่วมกับนานาชาติเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยทางตรง สร้างมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อมขั้นต่ำ และมุ่งเน้นที่จะร่วมมือกับประเทศที่มีอำนาจและคอยให้ความช่วยเหลือประเทศอื่นๆ
ในช่วงที่ผ่านมานั้นฝ่ายซ้ายทั่วโลกกำลังสูญเสียอำนาจเป็นอย่างมากดังจะเห็นได้ผ่านการเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์และเบร็กซิท แต่ฝ่ายขวาก็ยังไม่ได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดดังจะเห็นได้จากการที่ฝ่ายขวายังไม่สามารถควบคุมประเทศต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ และในปัจจุบันทรัมป์และเบร็กซิทก็ถูกมองว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ เป็นตัวอย่างที่ฉาวโฉ่ของการล่อหลอกและหลอกหลวงทางการเมือง ดังจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันผู้มีสิทธิออกเสียงของสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่ต้องการกลับเข้าไปอยู่ในอียู ด้วยเหตุนี้ฝ่ายซ้ายจึงน่าจะกลับมารุ่งเรืองได้อีกในไม่ช้า
ความเป็นนานาชาติ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ สิทธิมนุษยชน และการเพิ่มคุณค่าให้งานและผลผลิต สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดของจุดยืนแบบซ้ายกลาง เราไม่ได้แค่ฝัน พวกเราที่โครงการเพื่อสังคมประชาธิปไตยกำลังใช้คำพูดและการกระทำเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่อก่อตั้งมูลนิธิเพื่อสังคมประชาธิปไตย เพราะมูลนิธินี้จะเป็นพื้นที่ให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของจุดยืนซ้ายกลางที่มีความโปร่งใส
ถ้าการประท้วงไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว มูลนิธินี้ก็จะเห็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอำนาจผ่านทางระบบการเมืองโดยใช้จุดยืนทางซ้ายกลางเป็นตัวนำ ถ้าผู้คนในฝ่ายซ้ายและฝ่ายกลางสามารถสร้างมูลนิธินี้ได้สำเร็จมันก็จะเป็นการแสดงให้ทหารและฝ่ายขวาได้เห็นว่านี่เป็นกระบวนการที่เป็นระบบระเบียบของผู้มีการศึกษา โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนโยบายประชานิยม และจะเป็นจุดร่วมให้องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่เคยทำงานแยกส่วนมาเข้าร่วมกันและผลักดันการเมืองที่มีอุดมคติและจุดยืนทางการเมืองเป็นตัวนำ
แนวทางที่เราต้องทำคือรวบรวมเอาผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้ที่เชื่อในแนวทางสังคม และผู้สนใจแนวคิดประชาธิปไตยทางตรงจากชุมชนเข้าด้วยกัน กล่าวคือรวมเอาฝ่ายซ้ายทั้งหมดเข้าด้วยกันในลักษณะที่อาจจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จุดนี้เราก็จะเสนอให้เกิดการประนีประนอมครั้งใหญ่ในสังคม ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับที่สหราชอาณาจักรและประเทศสแกนดิเนเวียเคยทำในศตวรรษที่ยี่สิบ นั่นคือการรับประกันเสถียรภาพทางการเมืองและการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยแลกกับรัฐสวัสดิการ การกระจายความมั่งคั่ง การจัดตั้งสหภาพแรงงาน และการยอมรับสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นแนวทางที่ยั่งยืนและสร้างความเติบโตได้มากกว่าการทำรัฐประหารซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่เคยเป็นมาในประเทศไทย สิ่งนี้จะทำให้พรรคสังคมประชาธิปไตยไทยสามารถก้าวไปสู่จุดที่จะเป็นพรรคการเมืองระดับชาติได้
เราก็จะดำเนินการระดมทุนเพื่อผลักดันพรรคการเมืองนี้ โดยเป้าหมายคือหากพรรคได้รับเสียงประมาณ 5-8% แล้วก็จะสามารถเบิกทางไปสู่การร่วมจัดตั้งรัฐบาลแลกกับการให้พรรคใหญ่ที่ชนะการเลือกตั้งดำเนินนโยบายของพรรค
เราไม่ได้ขอให้ทุกคนหยุดการประท้วง คุณอาจไม่คิดว่ามันไร้ความหมาย ซึ่งก็ไม่เป็นไร เราเพียงแต่ขอให้คุณเริ่มมีบทบาททางการเมืองโดยการร่วมผลักดันมูลนิธิเพื่อสังคมประชาธิปไตยก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก่อนที่ประเทศไทยจะร่วงหล่นสู่การเลือกตั้งที่มีสองพรรคซึ่งแตกต่างกันอย่างสุดขั้วประหัตประหารกันโดยมีพรรคการเมืองอำนาจท้องถิ่นรอกินผลประโยชน์ และมีอำนาจทหารควบคุมทุกอย่างอยู่อีกขั้นหนึ่ง ร่วมกับเราได้ที่ prosocdem@gmail.com
อธิพงศ์ พัฒนเศรษฐพงษ์ เป็นโฆษกของโครงการเพื่อสังคมประชาธิปไตย และปฏิบัติงานประจำเป็นวิสัญญีแพทย์ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น