โดยมัจฉา พรอินทร์
ตอนที่ 2 — บทเรียนจากในห้องและนอกห้องเรียน
ตลอดระยะ 21 วัน ฉันเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่ทั้งในห้องและนอกห้อง ได้สร้างเครือข่ายและได้รณรงค์โดยเฉพาะสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง สิทธิผู้หญิง และสิทธิของคนที่ถูกผลักให้เป็นชายขอบ
และที่สำคัญคือ เรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศ เรียกได้ว่า ธงสีรุ้งอยู่ข้างกายฉันตลอดฉัน ซึ่งฉันและเพื่อนๆ หลายคนพากันรณรงค์และให้ข้อมูลกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่อาจซิยังบ่เข้าใจเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศ
การสร้างพื้นที่ปลอดภัย (safe space)
ด้วยความที่ในห้องเรียนย่อยขนาด 15 คน ที่ฉันอยู่ด้วย มีความหลากหลายทั้งเรื่องสีผิว อายุ ประสบการณ์ เพศและรสนิยมทางเพศ มีศาสนาและไม่มีศาสนา ภาษาและเชื้อชาติและภูมิภาค ฯลฯ การที่ซิให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกับ โดยบ่มีช่องว่างและความวิตกกังวล หรือหวาดกลัว กะคือ ต้องเฮ็ดให้ทุกคนมั่นใจ ปลอดภัย เปิดใจและรับฟังทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน
เรื่องใหญ่ที่ทุกคนกังวลใจกะคือเรื่องภาษาเพราะ 100% ในห้องนี่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2, 3 หรือ 4 และเนื่องด้วยกระบวนกรเป็นคนมีประสบการณ์และความสามารถที่รอบด้าน บอกแต่ตอนแรกเลยว่า ภาษาอังกฤษบ่แมนภาษาแม่ของใผสักคนในห้องนี่ เพราะฉะนั้นเฮามาม่วนกับการเว่าผิดกันให้เติมที่ไปเลย หลายคนรวมทั้งฉันกะเลยสบายใจจนรู้สึกได้เลยว่า ภาษาบ่แม่นช่องว่างอีกต่อไป
ในมิติทางเพศเนื่องการอบรมนี้ให้ความสำคัญสูงสุด นี่เองเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นวิธีการรับมือ การการคุกคามทางเพศ (sexual harassment) อย่างเป็นระบบ คือ มีคู่มือนิยาม อธิบาย และมีกระบวนการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพคือ เมื่อมีใผถูกคุกคาม สามารถแจ้งไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งเป็นคนภายนอกการอบรมทั้งหมด ซึ่งซิเข้ามาสืบสวน สอบสวนและให้ความคุ้มครอง ปกป้องและเป็นธรรมกับคนที่ถูกคุกคาม เพราะการคุกคามทางเพศบ่ได้ส่งผลเฉพาะคนที่ถูกคุกคามทางเพศเท่านั้น แต่ส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของทุกคน
เรื่องใหญ่สำหรับการอยู่ร่วมกันตลอด 3 อาทิตย์คือเฮ็ดจั่งใดให้ทุกคนเคารพซึ่งกันและกัน และบ่รุกล้ำพื้นที่และความเป็นส่วนตัวและมีพื้นที่กลางให้ทุกคนได้เข้าไปใช้ร่วมกันอย่างเติมที่เพื่อสร้างการเรียนรู้ ข้อตกลงร่วมกันที่เฮาวางกันเป็นพื้นฐานกะคือ การเคารพเวลา การฟัง การบ่ตัดสิน การสะท้อนอย่างสร้างสรรค์ การเป็นผู้กระตือรือร้นที่ซิเฮียนฮู้ (active learner) ไม่ใช้เครื่องมือสื่อสาร การใช้โอกาสอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม การเคารพเรื่องราวส่วนตัวและการปิดเป็นความลับ การถ่ายภาพที่ต้องขออนุญาตเจ้าตัวหากมีการโพสต์บนพื้นที่ออนไลน์ ฯลฯ
ทั้งหมดที่เล่ามาในส่วนของการสร้างพื้นที่ปลอดภัยนี่เองที่เฮ็ดให้ฉันและเพื่อนๆ ทั้ง 15 คน รู้สึกว่า ม่วนคักและกะพร้อมที่ซิเฮียนแล้ว
การมีส่วนร่วม (participatory approach)
หลักสูตรนี้สอนเรื่องการศึกษาสิทธิมนุษยชน (human rights education) โดยใช้ฐานคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน แบบการมีส่วนร่วมและมีฐานคิดในมิติเรื่องความเป็นธรรมทางเพศ พอเว่าเรื่องการมีส่วนร่วม ฉันเองคึดว่ามันกะน่าซิเหมือนกับที่ฉันเข้าใจและปฏิบัติมาโดยตลอด กะคือ พยายามให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมคิด ร่วมเฮ็ดและกะร่วมสรุป แต่ฉันพบว่ามันก็บ่แม่นเสียทีเดียว
ได้มาเรียนรู้ว่ามันกว้างขวางกว่า “การมีส่วนร่วม” ที่เคยเฮ็ดมา นั่นก็คือเอาปัญหา เอาประเด็นของเฮาเป็นตัวตั้ง แล้วพยายามดึงคนอื่นมาร่วม แต่อีหลีแล้วต้องเอาประสบการณ์ของแต่ละคนเป็นตัวตั้ง แล้วกะซิเห็นความเหมือน ความต่าง
อันนี้เองการมากำหนดประเด็นปัญหาจึงบ่ได้มาก่อน แต่มาหลังจากที่คนได้เว่าประสบการณ์ของเจ้าของก่อน
ตัวอย่างของการใช้การมีส่วนร่วมแบบนี้ ในการอบรมเฮ็ดให้ฉันเห้นว่า เอ้า ข้อยเป็นคนไทย มีปัญหาเรื่องชาติพันธุ์ มีปัญหาเรื่องเพศ มีปัญหาเรื่องการบ่เป็นประชาธิปไตย มีปัญหาเรื่องคอนฟลิกต์ในเขตชายแดนภาคใต้ บัดนี้ขะเจ้ามาจากซูดาน ก็ซิเห็นว่าสงครามในซูดานส่งผลกระทบให้เด็กบ่ได้เรียนหนังสือ หรือพวกหมู่จากเอเชียใต้ เด็กน้อยผู้ญิงจำนวนมากถ้าบ่ได้เรียนหนังสือ และก็ซิถืกจับแต่งงานเลย พวกมาจากจอร์แดน ขะเจ้าก็เว้าให้ฟัง เฮาก็ได้เห็นว่า ถึงแม้นว่าบริบทซิต่างกัน แต่ก็มีการกดขี่ชนเผ่าคือๆ กัน มีปัญหาความขัดแย้ง มีความรุนแรงเรื่องเพศ และความหลากหลายทางเพศ อันนี่เองเฮ็ดให้เฮาเห็น common issues แม้นบริบทซิแตกต่างกัน
มันกะได้เห็นความเป็นสากลของปัญหา แต่ก็มีพื้นที่ให้เห็นความต่าง ตามบริบทของประเทศนั้นๆ เฮ็ดให้เพื่อนๆ และฉันได้เห็นว่าปัญหาของพวกเฮาเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้
เมื่อแชร์กันออกมาแล้ว แล้วจากนั้นค่อยวิเคราะห์ว่าข้อมูล และชุดความรู้ใด ที่จำเป็นที่ซิเติมเต็มบนฐานของประสบการณ์เหล่านั้น แล้วจึงออกแบบวางยุทธศาสตร์ ว่าซิแก้ปัญหาจั่งใด๋ อันสุดท้ายก็คือ Action เฮ็ดมันเลยทีนี้ พอเฮ็ดนำกันแล้วก็เบิ่งนำกันว่ามันแก้ปัญหาได้หรือบ่
เหล่านี่คือตัวอย่างของกระบวนการเรียนรู้ที่นั่น เข้าใจบริบทของเจ้าของ บริบทของผู้อื่น และเป็นบริบทโลก เฮ็ดให้เฮามองไปที่เป้าหมายคือการสร้าง “วัฒนธรรมสิทธิมนุษยชน” (human rights culture) โดยเริ่มจากการใช้จินตนาการถึงคุณค่าร่วมเพื่อที่ซิอยู่ร่วมกันแบบเท่าเทียม เป็นธรรมและเคารพกัน จากวิธีคิดแบบนี่ จึงนำไปสู่การปฏิบัติ
แลกเปลี่ยนนอกห้องเรียน
ถือว่าฉันโชคดีที่สามารถ come out (เปิดเผยตัว) ว่าเป็นนักเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิความหลากหลายทางเพศในพื้นที่สาธารณะได้ ฉันมีคามปลอดภัยมากพอที่ซิบอกเล่าประเด็น LGBTIQ ในขณะที่เพื่อนๆ LGBTIQ หลายๆ คนที่มาจากแอฟริกาหรือแถบใกล้ๆ รัสเซีย บ่สามารถ come out ได้ เพราะอาจหมายถึงชีวิต ฉันจึงเป็นคนแรก นับเป็นคนที่แอ็คทีฟที่ซิเว่าเรื่องนี้มากที่สุดในบรรดาผู้เข้าร่วมเกือบร้อยคน
ฉันมีประเด็นสำคัญที่อยากเล่าสู่ฟังในเรื่องความหลากหลายทางเพศ ว่าด้วยเรื่องรูมเมทของฉันซึ่งเป็นหญิงรักหญิงมาจากประเทศหนึ่งในแถบแอฟริกา ซึ่งการเป็นคนที่ความหลากหลายทางเพศถือว่าผิดกฎหมาย
เธอได้ถูกติดตามและคุกคามอย่างหนักในประเทศของเธอก่อนที่ซิได้มาอบรมที่แคนาดา เพราะเธอถูกขโมยและถูกขายข้อมูลความเป็นส่วนตัวเรื่องรสนิยมทางเพศให้กับสื่อต่างๆ จนเป็นข่าวดังทั่วประเทศ ครอบครัวของเธอถูกรังควาน ในพื้นที่ออนไลน์หาก search ชื่อเธอก็ซิพบว่ามีคอมเม้นจำนวนมากที่แสดงความความเกลียดชังและข่มขู่คุกคามสารพัด
ซึ่งเป็นเหตุให้เธอไม่มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะกลับไปใช้ชีวิตในบ้านของตัวเอง ปัจจุบันเธอกำลังดำเนินการขอสถานะผู้หลี้ภัย (ลี้ภัย) ในแคนาดา
ถึงแม้แคนาดาจะเป็นประเทศที่เปิดกว้างเรื่องผู้หลี้ภัย แต่การที่คนคนหนึ่งต้องหนีออกจากบ้าน เพราะถูกข่มขู่ คุกคามด้วยเหตุแห่งอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) รสนิยมทางเพศ (sexual orientation) และการแสดงออกทางเพศ (sex expression) สำหรับฉันมันเป็นสิ่งที่เจ็บปวดจนอธิบายบ่ถืก เพราะฉันเองกะเคยผ่านประสบการณ์แบบนั้น เพียงแต่ว่าฉันบ่ถึงขนาดต้องขอหลี้ภัย ฉันยังสามารถกลับบ้านไปหาลูก หาเมียได้
ฉันเคยทำให้หวาดกลัว ถูกข่มขู่ คุกคาม ทำลายความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ด้วยเหตุเพราะฉันเป็นหญิงรักหญิง และฉันบ่ได้รับการปกป้องในทางกฎหมาย คือ เมื่อเดือนเมษายน 2559 ฉันถูกลักลอบเผารอบๆ บ้านกลางดึก 5 เทื่อ ในระยะเวลา 10 วัน ซึ่งฉันบ่ได้มีความขัดแย้งใดๆ หรือฮู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวด้วยซ้ำ ฉันจึงตระหนักดีว่ายังมีคนบางคนที่มีความเกลียดกลัวการรักเพศเดียวกัน (homophobia) และโดยที่บ่ได้ฮู้จักกัน เขาสามารถเฮ็ดหยังกับชีวิตและความปลอดภัยของเฮาได้
ฉันจึงพยายามพูดสะท้อนสถานการณ์ที่ LGBTIQ เผชิญอยู่ เพราะเพื่อนๆ ที่มีความหลากหลายทางเพศในหลายประเทศบ่ได้มีความปลอดภัยที่ซิเคลื่อนไหว และนี่เองเป็นเรื่องสิทธิมนุษชน คือกัน และเพื่อนๆ 90 กว่าคนของฉัน น่าซิตระหนักว่า เขาทุกคนสามารถทำงานเรื่องนี่ได้ไปพร้อมๆกับประเด็นสิทธิมิติอื่นๆ
และฉันกะมีเรื่องประทับใจอยากเล่าสู่ฟัง ว่าฉันสามารถเฮ็ดให้เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นภาครัฐจากเคนย่า (คนที่มาอบรมไม่ได้มีแต่ NGOs เท่านั้น แต่มีหลากหลาย) มีความเข้าใจและเปลี่ยนแปลงวิธีคิดต่อ LGBTIQ จนสามารถทำงานอย่างเป็นรูปธรรมต่อ LGBTIQ ได้ ฉันใช้การพูดคุยทั้งหมด 3 ครั้ง
ครั้งแรกฉันถามถึงสถานการณ์และมุมมองที่เขาและของสังคมในประทศนั้นที่มีต่อ LGBTIQ เขากะเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ความรุนแรงรูปแบบต่างๆที่ LGBTIQ ในเคนย่าเผชิญอยู่ รวมถึงการเป็น LGBTIQ ถือว่าผิดกฎหมาย และฉันกะเริ่มให้ข้อมูลอีกด้านที่เขาบ่เคยได้ยิน ฉันใช้ storytelling โดยบอกเล่าผ่านชีวิตและการทำงานของฉันเอง บทสนทนามื้อนั้น ดูเหมือนว่าเพื่อนของฉันซิเริ่มเข้าใจ ฉันทิ้งใจความสำคัญไว้ว่า
“คุณซิยอมรับได้บ่ ถ้าวันนึง คุณลืมตาขึ้นมาแล้วการมีผิวสีดำ เป็นเรื่องผิดกฎหมาย, ให้จินตนาการต่อว่า พ่อ – แม่และครอบครัวบ่เคยยอมรับคุณแต่พยายามจะเปลี่ยนแปลง และผลักไสคุณตลอดเวลา ไปโรงเรียนแม่แต่ซิเข้าห้องน้ำกะบ่ได้ ถูกเพื่อนๆ กลั่นแกล้ง รังแก ละเมิดและคุกคามทางเพศ ไปสมัครงานที่ไหนกะบ่มีคนรับให้เข้าทำงาน มีความรักสังคมกะบ่ยอมรับ แต่งงานกันกะบ่ได้ มีลูกกฎหมายกะบ่คุ้มครอง ถ้าเป็นคุณ คุณซิฮู้สึกจั่งใด และนั่นแหละที่ฉันและเพื่อนๆ LGBTIQ ของฉันฮู้สึกและกำลังเผชิญอยู่”
ครั้งที่ 2 ฉันให้เพื่อนลงลึกไปถึงในรายละเอียดว่างานที่เพื่อนเฮ็ดอยู่นั่น คือ เรื่องหยัง เพื่อนเล่าให้ฟังว่า เขาทำงานพัฒนาระบบเรือนจำ เพื่อนมีความพยายามยามที่จะใช้วิธีคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ได้เรียนมา เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบเรือนจำให้เคารพสิทธิผู้ต้องขัง
แต่ในขณะเดียวกันเพื่อนกะทิ้งท้ายไว้ว่า แม้ซิมีความเข้าใจเรื่องสิทธิ และมีความต้องการที่ซิสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องขัง แต่กะมองบ่เห็นทางว่า จะทำงานประเด็น LGBTIQ ได้ จึงเป็นที่มาของการพูดคุยครั้งที่ 3
ครั้งที่ 3 ฉันพยายามให้เพื่อนเข้าใจว่า ในเรือนจำกะมีผู้ต้องขังที่เป็น LGBTIQ อยู่ และได้ยกสภาพปัญหาที่เขาเผชิญในขณะที่อยู่ในเรืองจำ เช่น การที่เกย์ กะเทย หรือผู้หญิงข้ามเพศ ถูกข่มขืนในเรือนจำ การที่ LGBTIQ มีปัญหาทางด้านสุขภาพ เช่น การบ่สามารถรับฮอร์โมนต่อเนื่อง หรือหากรับยาต้าน HIV อยู่ ในระบบเรือนจำกะบ่เอื้อหรือบ่ตระหนักว่ามีความจำเป็นที่ต้องได้รับยาต้านฯ ต่อเนื่องและต้องมีความเป็นส่วนตัว (right to privacy) ที่จะเปิดเผยผลเลือด หรือไม่ ฯลฯ
ตรงนี้เองที่เพื่อนฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า จากงานที่เขาทำ ซึ่งเป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนนั้น จะสามารถครอบคลุมสิทธิคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ได้จั่งใดแหน่
ฉันตบท้ายด้าน Good Practice ที่ในไทยเองกะได้เฮ็ดไว้ ที่เรือนจำพัทยา คือ เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ ได้ร่วมลงพื้นที่เรือนจำพร้อมกับกรมคุ้มครองสิทธิ เพื่อสำรวจสภาพปัญหาตลอดจนพยายามที่แก้ไขการละเมิดสิทธิผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศ เพียงการคุยกัน 3 ครั้งนี้ กะสามารถให้เพื่อนของฉันเกิดการยอมรับ เข้าใจ และมีความอยากและพร้อมที่ซิกลับไปทำงานได้แล้ว
ยังบ่จบท่อนั้น หลังการอบรม IHRTP ปรากฏว่าเพื่อนชาวเคนย่าผู้นี่กะได้สมัครมาอบรมเรื่องว่าด้วยเรื่องการพัฒนาสิทธิของผู้ต้องขังโดยใช้ Nelson Mandela Rules ซึ่งจัดในประเทศไทย โดย (International Commission of Jurists – ICJ) เพื่อนตั้งใจไว้ว่า จะได้กลับไปพัฒนาระบบเรือนจำให้มีความเป็นธรรมต่อผู้ต้องขังจริงซึ่งรวมถึงผู้ต้องขัง LGBTIQ นำ