โดย ศรายุทธ ฤทธิพิน
ชัยภูมิ – ศาลจังหวัดภูเขียวเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดี อ.อ.ป. ฟ้องขับไล่ชาวชุมชนบ่อแก้ว อ.คอนสาร เนื่องจากทายาทจำเลยที่เสียชีวิตไม่มารับการไต่สวนเพื่อรับมรดกความ

ศาลจังหวัดภูเขียวเลื่อนอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดี อ.อ.ป. ฟ้องขับไล่ชาวชุมชนบ่อแก้ว เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2561
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2561 ศาลจังหวัดภูเขียว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ นัดไต่สวน นัดฟังคำสั่ง และนัดฟังคำพากษาศาลฎีกา คดีแพ่ง กรณีองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เป็นโจทก์ ฟ้องขับไล่นายนิด ต่อทุน จำเลยที่ 1 พร้อมพวกรวม 31 คน จากการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม จังหวัดชัยภูมิ ซึ่ง อ.อ.ป.ได้รับสัมปทานปลูกป่าจำนวนกว่า 1,400 ไร่ แต่มีการนำต้นยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกในพื้นที่ทับซ้อนกับที่ดินทำกินของประชาชน
เมื่อถึงเวลานัดหมายปรากฎว่า นางสวย ปลื้มวงษ์ ทายาทนายตา ปลื้มวงษ์ จำเลยที่ 3 ที่เสียชีวิตระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2558 ไม่ได้มารับการไต่สวน ศาลจึงมีคำสั่งเลื่อนการไต่สวนออกไปเป็นวันที่ 2 มีนาคม 2561 พร้อมให้ทนายโจทก์ไปตามหาทายาทของจำเลยที่ 3 มารับการไต่สวน เหตุที่ต้องนำตัวทายาทมารับการไต่สวนเนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง จึงต้องมีทายาทเป็นผู้รับมรดกความของผู้เสียชีวิต

นายนิด ต่อทุน ประธานโฉนดชุมชนบ่อแก้ว จำเลยที่ 1
นายนิด ต่อทุน ประธานโฉนดชุมชนบ่อแก้ว อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ กล่าวว่า แม้ผลคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร แต่ชาวชุมชนบ่อแก้วยังคงยืนยันในสิทธิของชุมชน ชาวชุมชนมีหลักฐานการถือครองและการใช้ประโยชน์ในที่ดินก่อนมีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม
“ชาวบ้านก็มีหลักฐานสามารถยืนยันได้ว่า มีประวัติศาสตร์การตั้งชุมชนมาอย่างยาวนาน ซึ่งหากศาลพิจารณาตรงจุดนี้ ชาวบ้านก็จะได้รับความเป็นธรรม” นายนิดกล่าว
นางสุภาพ คำแหล้ ภรรยานายเด่น คำแหล้ ประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ จำเลยที่ 29 ที่สูญหายไปตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. 2559 ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกาด้วย
นางสุภาพบอกว่า สามีถูกฟ้องด้วย เนื่องจากพื้นที่ของชุมชนโคกยาวและชุมชนบ่อแก้วถูกประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนามเหมือนกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2552 นายเด่นจึงไปช่วยชาวชุมชนบ่อแก้วยึดที่ดินทำกินกลับคืนมา ทำให้ถูกดำเนินคดีไปด้วย
ลำดับการดำเนินคดี
วันที่ 27 ส.ค. 2552 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องขับไล่นายนิด ต่อทุนและพวกรวม 31 คน ข้อกล่าวหาว่าจำเลยและบริวารได้บุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูซำผักหนาม จึงขอให้ศาลได้มีคำสั่งขับไล่ออกจากพื้นที่ พร้อมกับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง และไม้ผลไม้ยืนต้นที่ปลูกไว้
วันที่ 28 เม.ย. 2553 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลย ที่ 1 ถึง 31 และบริวารออกจากพื้นที่พิพาทสวนป่าคอนสาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ ที่ได้ปลูกไว้ในพื้นที่พิพาท
วันที่ 21 ธ.ค. 2554 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน ต่อมาในวันที่ 21 มีนาคม 2555 จำเลยได้ฎีกา
วันที่ 2 พฤษภาคม 2560 ศาลจังหวัดภูเขียวนัดจำเลยทั้ง 31 คน มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา แต่ศาลไม่สามารถอ่านคำพิพากษาได้ เนื่องจากจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 13 เสียชีวิต ทนายจำเลยจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกให้ทายาทของผู้เสียชีวิตมารับมรดกความ ศาลอนุญาตตามที่ทนายจำเลยขอ โดยมีคำสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาออกไป และมีคำสั่งเรียกให้ทายาทของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 13 มายื่นคำร้องขอรับมรดกความภายใน 15 วัน คือวันที่ 16 พ.ค. 2560 แต่กรณีดังกล่าวก็ยังไม่สิ้นสุด
ศรายุทธ ฤทธิพิน เป็นผู้เข้าอบรมโครงการอบรมนักข่าวภาคอีสานประจำปี 2559