โดย บูรพา เล็กล้วนงาม

การเกาะกระแสสืบสานความเป็นไทยผ่านละครบุพเพสันนิวาส นอกจากสะท้อนว่า นายกรัฐมนตรีควรเข้าใจก่อนว่า ความเป็นไทยต้องมีความหลากหลาย และภาคอีสานมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ยังแสดงให้เห๋็นถึงความนิยมที่ตกต่ำของรายการทุกคืนวันศุกร์ที่แทบไม่มีผู้ชม ทั้งที่บังคับให้ทีวีทุกช่องถ่ายทอด

ทุกวันอังคารมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยก่อนการประชุม ครม. มีธรรมเนียมการนำบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และมีการจัดนิทรรศการเพื่อให้นายกรัฐมนตรีเข้าเยี่ยมชม

คณะนักแสดงและผู้จัดละครบุพเพสันนิวาสเข้าพบนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2561 ภาพจากเว็บไซต์รัฐบาลไทย

การประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ 3 เม.ย. 2561 ก็เช่นกัน นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำคณะนักแสดงและผู้จัด ละครบุพเพสันนิวาส เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เนื่องในกิจกรรมรณรงค์ส่งเสริมภาพยนตร์และละครไทยเพื่อร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์และสืบสานความเป็นไทย

หัวหน้า คสช. ที่ได้อำนาจจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 กล่าวชื่นชมคณะละครบุพเพสันนิวาส ที่มีคุณภาพและมีเนื้อหาและประเพณีอันดีงามของไทยในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งรัฐบาลจัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์และละครไทย

การที่นักแสดงละครช่อง 3 เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ พร้อมพบปะพูดคุยทำให้เกิดคำถามว่า สมควรหรือไม่ที่หัวหน้า คสช. ใช้เวลาราชการไปพูดคุยกับดารานักแสดง ทำไมไม่เอาเวลาที่มีอยู่ไปแก้ไขปัญหาด้านอื่น และเหตุใดจึงต้องให้นักแสดงเรื่องบุพเพสันนิวาสเข้าพบ

ถ้าจะตอบว่าบุพเพสันนิวาสเป็นละครที่สืบสานความเป็นไทย ก็จะมีคำถามตามมาว่า ละครเรื่องอื่นๆ ในปี 2560 มีละครย้อนยุคอยู่หลายเรื่องเช่นกัน แต่ทำไมนักแสดงและผู้จัดถึงไม่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ยังมีข้อสงสัยอีกว่า ความเป็นไทยคืออะไรกันแน่ โดยเฉพาะความเป็นไทยของพล.อ.ประยุทธ์ที่เกิดที่จ.นครราชสีมา ซึ่งมีความเชื่อว่า คนไทยมาจากเทือกเขาอัลไต ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ไม่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันแล้ว

คำตอบที่น่าจะมีความเป็นไปได้ของการเข้าพบครั้งนี้ คือ ละครเรื่องบุพเพสันนิวาสเป็นละครที่ได้รับความนิยมอย่างสูง พิจารณาได้จากเรตติ้งของรายการโทรทัศน์จากการประมวลข้อมูลโดยเวปไซต์ TV Digital Watch เมื่อวันที่ 4 เม.ย. 2561 พบว่า เรตติ้งเฉลี่ยละครบุพเพสันนิวาสทั้ง 12 ตอน ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. – 29 มี.ค. 2561 ของทั้งประเทศอยู่ที่ 12.175    

เมื่อเปรียบเทียบกับละครหลังข่าวเรื่องอื่นอีก 5 เรื่อง ของช่อง 3 และ ช่อง 7 ในสัปดาห์ล่าสุด ระหว่างวันที่ 26 มี.ค. – 1 เม.ย. 2561 พบว่า บุพเพสันนิวาสมีเรตติ้งสูงสุด คือ 17.437 ส่วนละครที่มีเรตติ่้งรองลงมาคือ “คมแฝก” มีเรตติ้ง 5.831 ซึ่งห่างกันเกิน 3 เท่า

วิธีคำนวณเรตติ้งทำได้ดังนี้ เรตติ้งคือร้อยละของประชากรไทยที่ดูทีวีอยู่

เรตติ้ง 100 คือคนไทยทุกคน หรือ ประมาณ 68 ล้านคนดูทีวีอยู่ ส่วนเรตติ้ง 1 คือมีคนไทย ร้อยละ 1 ดูทีวี ดังนั้น เรตติ้งบุพเพสันนิวาส คือ 17.437 เท่ากับคนไทย 68 ล้านคนดูละครเรื่องนี้อยู่ ร้อยละ 17.437 คน หรือคิดเป็นจำนวน 11,857,160 คน

จำนวนคนไทยกว่า 11 ล้านคนถือเป็นคนจำนวนมาก จึงเป็นไปได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องการสร้างความนิยมเพื่อหวังผลถึงการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงเปิดโอกาสให้นักแสดงละครเข้าพบ

แล้วเหตุใดหัวหน้า คสช. จึงต้องเกาะกระแสบุพเพสันนิวาส คำตอบที่เป็นรูปธรรมคือ รายการโทรทัศน์ที่พล.อ.ประยุทธ์ออกอากาศทุกคืนวันศุกร์ เวลา 20.15 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ชมมากที่สุด กลับมีผู้ชมน้อยมาก

ทั้งที่มีการบังคับให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องเผยแพร่รายการของพล.อ.ประยุทธ์

บทความ ‘ลุงตู่’ ขาลงเรตติงตก คนรอบข้าง ‘เป็นพิษ’ ของเว็บไซต์ไทยโพสต์ เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2561 ระบุว่า เรตติ้งรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ รายการที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้จัด ทุก 2 ทุ่มคืนวันศุกร์ และรายการของ คสช. ทุก 6 โมงเย็นของทุกวันศุกร์ เรตติ้งดิ่งเกือบจะแตะ 0 แล้ว

นั่นหมายความว่า รายการทีวีที่พล.อ.ประยุทธ์จัด แล้วบังคับให้คนทั้งประเทศรับชมมีเรตติ้งอย่างมากก็แค่ 1 หรือ ร้อยละ 1 หรือมีผู้ชมอย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 680,000 คน

เมื่อนำจำนวนผู้ชมรายการของหัวหน้าคณะรัฐประหารมาเปรียบเทียบกับผู้ชมละครบุพเพสันนิวาส พบว่า รายการของพล.อ.ประยุทธ์มีผู้ชมน้อยกว่าถึงกว่า 17 เท่า ทั้งที่สถานทีโทรทัศน์ทุกช่องต้องถ่ายทอดรายการ นี่จึงเป็นที่มาของการเกาะกระแสละคร เพราะรายการของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีคนสนใจ

ในจุดนี้ หัวหน้า คสช. ควรคิดให้ตกผลึกว่า หมดเวลาบริหารประเทศแล้วหรือยัง

แต่ก็ใช่ว่าการเกาะกระแสบุพเพสันนิวาสจะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค เพราะเมื่อพิจารณาเรตติ้งเฉลี่ย ละครบุพเพสันนิวาสทั้ง 12 ตอน ในภาคอีสาน ภาคที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศแล้ว กลับพบว่ามีเรตติ้งเพียง 9.418 ขณะที่กรุงเทพฯ มีเรตติ้งมากที่สุด ถึง 17.535

ปรากฏการณ์เรตติ้งภาคอีสานน้อยกว่ากรุงเทพฯ เกือบเท่าตัว สะท้อนถึงสิ่งใดกำพล จำปาพันธ์ อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มรภ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ภาคอีสานเป็นดินแดนที่อยุธยาเข้าไม่ถึงหรือขยายอิทธิพลเข้าไปได้ไม่ครอบคลุม ภาคอีสานเป็นดินแดนที่มีความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์กับล้านช้าง อีสานเป็นลาวไม่ใช่ไทย โดยพบความไม่ลงรอยระหว่างอยุธยากับอีสาน “คนอีสานไม่อินกับละครจึงไม่แปลก”

กำพลระบุอีกว่า ความสัมพันธ์กับศูนย์กลางที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาบางช่วงในประวัติศาสตร์ไม่มีความสุข ภาคอีสานเหมือนเป็นดินแดนที่ถูกฟันแล้วทิ้ง และเกิดกบฏในภาคอีสานจนอยุธยาต้องส่งกองทัพไปปราบปราม ทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรและผู้คน เทียบเท่ากับการทำสงครามกับพม่า

อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ผู้นี้ยังบอกว่า เนื้อเรื่องของบุพเพสันนิวาสมุ่งเน้นเรื่องราวเหตุการณ์และภาพชีวิตของคนศรีอยุธยาและลพบุรี ไม่มีภาพของภาคอีสานและพื้นที่อื่นๆ แต่เป็นภาพเฉพาะของส่วนกลาง แม้จะมีเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ต่างชาติต่างภาษา แต่ไม่มีลาวไม่มีเขมร ทั้งที่ในสมัยอยุธยา ลาว เขมร เป็นกลุ่มที่มีบทบาท

“เมื่อเทียบกับ “นาคี” (ละครช่อง 3 ปี 2559) ถึงแม้ว่าบุพเพสันนิวาสจะประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่ก็ไปไม่ได้ไกลเหมือนนาคีที่ไปฮิตข้ามชาติที่ สปป.ลาว ไปที่กัมพูชาด้วย”

กำพลทิ้งท้ายว่า การผูกติดกับการเสนอภาพความเป็นไทยจึงเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของละครบุพเพสันนิวาส

จึงมีคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ทราบข้อมูลเหล่านี้หรือไม่ว่า ความเป็นไทยไม่ได้มีแค่เฉพาะคนภาคกลางที่อยู่ในศูนย์กลางอำนาจเท่านั้น แต่คนไทยยังมีอยู่ทุกภูมิภาค หากนับเฉพาะการแต่งกายคนไทยภาคอื่นรวมถึงภาคอีสาน ผู้คนก็ล้วนแต่มีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ใช่คนไทยในอดีตทุกคนจะแต่งกายเช่นเดียวกับตัวละครบุพเพสันนิวาส

สุดท้ายพล.อ.ประยุทธ์จะตอบได้หรือไม่ว่า ความเป็นไทยคืออะไรกันแน่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะคนไทยไม่ได้เลือกพล.อ.ประยุทธ์เข้าไปเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่แรก ส่วนทางออกของหัวหน้าคณะรัฐประหารน่าจะคือการจัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด

แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่แน่ว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562 ตามโร้ดแมป เพราะพล.อ.ประยุทธ์เลื่อนการเลือกตั้งมาแล้ว 5 ครั้ง และระหว่างการพูดคุยกับนักแสดงเรื่องบุพเพสันนิวาส พล.อ.ประยุทธ์ยังบอกให้นำ นักแสดง (ขุนเรือง) ที่อยากเลือกตั้งไปตัดหัว

แล้วแบบนี้จะมีความน่าเชื่อถืออะไรล่ะออเจ้า

 

image_pdfimage_print