“น้องกาหลงอารมณ์ดี” หญิงร่างผอมผมสีทองท่าทางอารมณ์ดี วัย 64 ปี เธอพำนักอยู่ที่ชุมชนเทพารักษ์ 3 ในจังหวัดขอนแก่น มาตั้งแต่ พ.ศ. 2550 หรือเมื่อ 11 ปีก่อน
ผมทวนถามชื่ออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “เรียกฉันว่า สาวหล่วง” เธอหัวเราะ ซึ่งคำว่า “หล่วง” ในภาษาอีสานหมายถึง การเดินทางไปเรื่อยๆ ไปจนสุด แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นชื่อของเธอ จนกระทั่งเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ติดกัน เดินมาและเรียกเธอว่า “ยายต้อย”
อันที่จริงแล้ว เธอมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “นางศิลธรรม น้อยบุตรดี” เพื่อนบ้านต่างเรียกเธอว่า “ต้อย” เธอเป็นคนอารมณ์ดี โอบอ้อมอารีย์ แถมมีบุคลิกภาพท่าทางตลก ด้วยสีผมประกายทองดูโดดเด่น บวกกับฟันทั้งสามสิบสองซีกที่หลุดร่วงเกือบหมดปากทำให้การพูดการจาไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นักกลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
เธอเป็นคนอัธยาศัยดีและมีเมตตาต่อเพื่อนบ้าน เวลาทำกับข้าวอร่อยๆ ก็มักจะนำไปแจกเพื่อนบ้านให้ได้ทาน จนหลายคนไปไหนมาไหนก็เรียกหาแต่เธอ สมกับฉายานาม “น้องกาหลงอารมณ์ดี” อย่างที่หลายคนในชุมชนเทพารักษ์ 3 นิยามชื่อเรียกเธอ
เมื่อปี 2515 ต้อยแต่งงานมีครอบครัว และมีลูกสามคน คนโตเป็นผู้ชายมีครอบครัว ไม่ได้มาเยี่ยมเยือนหลายปีแล้ว คนกลางและคนสุดท้องเป็นผู้หญิงมีครอบครัวแล้วเช่นกัน โดยลูกทุกคนมีหลานให้เธอแล้ว
เธอเล่าว่า ตอนนั้นครอบครัวของเธอปักหลักอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ชีวิตสุขสบายดี มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือหน้าที่การงาน ซึ่งก่อนที่จะมีเงินเก็บเธอได้ไปทำงานที่ร้านสุกียากี้ชื่อดังแห่งหนึ่งย่านถนนกำแพงเพชร 2 ในกรุงเทพฯ
จากนั้น เธอเล่าความประทับใจระหว่างเธอกับสามีผู้เป็นที่รักให้ผมฟังอยู่ราวๆ สามรอบ ว่า
“ฉันมีสามีที่หล่อที่สุดในจังหวัดอุดร” เธอลุกขึ้นเดินไปยังที่เก็บของ พร้อมกับพูดถึงเรื่องเธอกับสามีครั้นยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“สามียังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ” ผมถามเธอ
“ตอนนี้ท่านบวชเป็นพระอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่ลาสิกขาเลย” เธอตอบเรื่องของสามี
หลังจากย้ายมาอาศัยอยู่ที่ขอนแก่น เธอมีสิ่งยึดเหนียวทางใจ คือ พระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านคือผู้นำทางจิตวิญญาณทางศาสนาของเธอ เธอสมัครใจเข้าร่วมกับคริสตจักรเมื่อสิบปีก่อน เธอบอกผมว่า ทุกวันนี้เธอมีความสุข เข้าโบสถ์ สวดมนต์ และร้องเพลง
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ท่านสอนให้ฉันอดทน อดกลั้น ให้หนีห่างความโกรธ เวลาเราโกรธใครให้เดินหนีออกไปจากบ้านเขาสิบเมตร แต่ฉันเดินไปหน้าบ้านเขาเลย” เธอกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
หลังจากพูดจบ เธอถือสมุดโฟโต้ (สมุดภาพ) ทำมือ เล่มขนาดกระดาษเอสี่ (A4) ที่รวบรวมภาพความทรงจำที่ผ่านมาในช่วงชีวิตของเธอ พลางเดินเข้ามาหน้ากล้องของผม เธอเล่าที่มาที่ไปในช่วงชีวิตของเธอผ่านภาพถ่ายที่ถูกปะติปะต่อเรียงร้อยเรื่องราวทุกช่วงวัย สมุดโฟโต้มีทั้งหมดสี่เล่ม ทุกภาพถูกเรียบเรียงไว้เป็นอย่างดี มีภาพแม่ ครอบครัว ลูกๆ รวมถึงภาพความทรงจำของเธอกับเพื่อนๆ ในวัยสาวสุดเฟี้ยว ตลอดจนภาพชีวิตทางศาสนาของเธอ
ปัจจุบันต้อยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยสังกะสีเก่าสีส้มอมสนิม พร้อมกับสุนัขอีกสองตัวนามว่า “เจ้า กะปู” และ “เจ้า ฮวก” ทั้งสองเป็นสุนัขที่แสนฉลาดและสุดเชื่อง
เธออนุญาตให้ผมเข้าเยี่ยมชมบ้านที่อาศัยอยู่ พร้อมกับสัมภาษณ์และถ่ายทำวีดีโอภายในบ้านของเธอ บันไดทางขึ้นบ้านสร้างจากไม้ยูคาลิปตัสแห้ง พื้นบ้านปูด้วยไม้แผ่นบางๆ เว้นระยะช่องลมพอถุยน้ำลาย หรือทำกิจภารกิจส่วนตัวลงไปได้ยามน้ำหลาก ข้างผนังติดกับทางขึ้นบ้านมีรูปภาพลูกทั้งสามใส่กรอบไม้สีน้ำตาลอ่อนไว้คอยย้ำเตือนถึงลูก ถัดจากนั้นมีตุ๊กตาหมีขี้เซาตาละอ่อนหูสีดำตัวพอกอดอุ่นยามหน้าหนาวแขวนอยู่อย่างโดดเดียวไม่ต่างจากเจ้าของของมัน
จากข้อตกลงเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างรางรถไฟระบบทางคู่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ผู้รับผิดชอบหลักได้ขอคืนพื้นที่บริเวณริมรางรถไฟ แต่เดิมการรถไฟฯ ขอพื้นที่ทั้งหมด 40 เมตร โดยวัดจากกึ่งกลางราง แต่ในทางปฏิบัติการรถไฟฯ ขอพื้นที่เพียงแค่ 20 เมตร โดยสิ่งปลูกสร้างในรัศมี 20 เมตรจากกึ่งกลางรางจะต้องถูกรื้อถอน ส่งผลให้บ้านของเธอต้องถูกรื้อถอนเพื่อขยับออกห่างจากระยะ 20 เมตร
เธอเล่าอีกว่า คนงานได้ใช้รถแบคโฮขยับบ้านของเธอออกมาให้ห่างจากรางรถไฟตามระยะที่กำหนดตามประกาศของการรถไฟฯ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการก่อสร้างทางรถไฟเส้นใหม่ โดยบ้านของเธอถูกย้ายเพื่อมาปลูกไว้ใกล้กับท่ออุจจาระของเพื่อนบ้าน และติดกับทางระบายน้ำเสียที่ไหลมาจากในเมือง
เธอเล่าว่า “ตอนฉันมาอยู่ที่นี่แรกๆ บ้านฉันของฉันมีเพียงสังกะสีไม่กี่แผ่นและอาศัยเขานอน จากนั้นก็มีคนใจบุญ บริจาคเสาบ้านและสังกะสีให้ ก็ต่อเติมมาเรื่อยๆ จนมีอย่างที่เห็น”
ข้อมูลจากเทศบาลนครขอนแก่นระบุว่า มีผู้บุกรุกที่ดินของการรถไฟฯ แล้วไปอาศัยอยู่บริเวณริมทางรถไฟได้รับผลกระทบจำนวน 179 ครอบครัว โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในชุมชนเทพารักษ์ 1 – 5 ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น
คนในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพแรงงานนอกระบบ เช่น แรงงานก่อสร้าง หาบเร่ขายอาหาร แรงงานรายวัน แรงงานรับจ้างเฝ้าหน้าห้องน้ำ เก็บขยะ กวาดถนนและขายพวงมาลัย ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน โดยร้อยละ 90 คือผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินของการรถไฟฯ
งานภาพเรียงความชุดนี้พยายามทำความเข้าใจเบื้องหลังเสี้ยวชีวิตของต้อย หญิงวัยกลางคนที่พำนักอาศัยอยู่ในชุมชนเทพารักษ์ 3 ชุมชนริมทางรถไฟจังหวัดขอนแก่น ผมถามเธอว่า “เพราะอะไรเราต้องเป็นผู้เสียสละให้กับการพัฒนาประเทศมาโดยตลอด ‘วาทกรรมผู้เสียสละ’ เคยได้ยินไหม” เธอหัวเราะและส่ายหน้า