IMG_0837

สรัสนันท์ อรรณนพพร อาจเป็นคนหน้าใหม่สำหรับผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยในจังหวัดขอนแก่น แต่เรื่องการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับเธอ แม่ของเธอเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสามสมัย และจนถึงปัจจุบันนี้ สรัสนันท์กล่าวว่า แม่ของเธอก็ยังอยู่ในโหมดหาเสียงในอำเภอพลที่ครอบครัวอยู่อาศัยอย่างไม่หยุดหย่อน

สรัสนันท์เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในสามผู้สมัครส.ส.จังหวัดขอนแก่น และยังเป็นผู้สมัครที่อายุน้อยที่สุดอีกด้วย ผู้สมัครอายุเพียง 30 ปีรายนี้ดูทันสมัยและมุ่งมั่นในอาชีพ  พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว แถมยังจบการศึกษาปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากประเทศเกาหลีใต้และกำลังศึกษาต่อปริญญาเอกในสาขารัฐประสาสนศาสตร์อยู่ แต่ชื่อเล่นของเธอ “ข้าวฟ่าง” ก็ทำให้เธอดูมีความเชื่อมโยงกับรากเหง้าที่จังหวัดขอนแก่นตอนใต้นั้นอยู่

ด้วยเป็นลูกในจำนวนพี่น้องห้าคน เธอคือคนที่จะรับไม้ต่อจากครอบครัว เธอยอมรับว่าเธอ “ไม่มีประสบการณ์” แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมองงานเรื่องการเมืองที่จะต้องทำนั้นเป็นสิ่งสวยงามแต่อย่างใด “การเป็นนักการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตนักการเมืองชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย” เธอไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เธอตัดสินใจที่จะลงสมัครเลือกตั้งโดยได้แรงบันดาลใจมาจาก “การที่ได้เห็นพ่อแม่ทุ่มเททำงานให้กับบ้านเกิดและประชาชนมาตลอดชีวิต” หลังจากเสร็จจากการหาเสียงอย่างหนักมาทั้งวันเมื่อสัปดาห์ก่อน สรัสนันท์ได้ให้สัมภาษณ์ เดอะ อีสาน เรคคอร์ด และบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเธอให้ฟังนิดหน่อย

The Isaan Record: นโยบายหรือแนวคิดของคุณคืออะไร ความหวังต่ออนาคตของพรรคและของประเทศไทยคืออะไร

สรัสนันท์: เราแค่อยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้า แล้วก็ก้าวข้ามเรื่องเอา-ไม่เอาทักษิณ หรือความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองเสื้อแดง นักการเมืองรุ่นเก่ามักจะเต็มไปด้วยเรื่องความขัดแย้งระหว่างกันที่ผ่านมา แต่คนรุ่นใหม่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้ว

เราต้องการก้าวไปข้างหน้า อยากลงมือทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ นี่ก็เป็นประเทศของเราเช่นกัน เราเชื่อว่าคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมากคิดแบบเดียวกัน หยุดความขัดแย้งแล้วลงมือทำงาน เราอาสาเข้ามาทำงานการเมืองด้วยความตั้งใจจริง เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศไทยเสียเวลาและโอกาสไปอย่างมากหลังเกิดรัฐประหารมาตลอดระยะเวลา 12 ปี เราเป็นคนหนึ่งที่ต้องการอนาคตที่สดใสสำหรับลูกของตัวเอง ในประเทศที่ประชาชนมีความอยู่ดีกินดีและมีความสุข

IR: คุณแม่เป็นนักการเมืองของครอบครัว ตอนนี้ก็กลายเป็นคุณแล้วที่รับช่วงต่อ ทำไมถึงเป็นคุณ

สรัสนันท์: ก่อนหน้านี้คุณแม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่คราวนี้ สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ เราก็ลงสมัครแทน เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ พรรคเพื่อไทยก็ดูสถานการณ์แล้วก็อยากให้เด็กๆ ได้ลงเลือกตั้งเพื่อพิสูจน์ตัวเองเพราะว่าน่าจะตอบคำถามที่สำคัญได้ดีกว่าด้วย

การเคลื่อนไหวต่างๆ เปลี่ยนไปเยอะ สภาพแวดล้อมต่างๆ ก็เปลี่ยน โลกเปลี่ยนไป สำหรับพรรคเพื่อไทยเอง ความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะมาก เนื่องจากสี่ห้าปีที่ผ่านมา ความไม่พอใจ (จากรัฐประหารและรัฐบาลทหารที่เข้ากุมอำนาจ) ทำให้คนอยากไปเลือกตั้งมากขึ้น เขามีพรรคการเมืองอยู่ในใจอยู่แล้ว เพียงแค่รอให้มีการเลือกตั้งเท่านั้น

สำหรับผู้สมัครฯ​ หน้าใหม่ ก็ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี ในการเปลี่ยนผ่านจากอีกรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่น จากแม่สู่ลูก

“เราแค่อยากให้ประเทศเดินไปข้างหน้าแล้วก็ก้าวข้ามเรื่องเอา-ไม่เอาทักษิณหรือความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลืองเสื้อแดง” ผู้สมัครฯ พรรคเพื่อไทยวัย 30 ปี สรัสนันท์ อรรณนพพร กล่าว เธอลงรับสมัครในจังหวัดขอนแก่น เขต 8 ได้แก่พื้นที่ อ.พล อ.แวงน้อย อ.แวงใหญ่ อ.โคกโพธิ์ไชย

IR: คุณเห็นระหว่างหาเสียงวันนี้ว่า คนที่มาฟังส่วนใหญ่ค่อนข้างเป็นคนแก่และเป็นชาวบ้าน ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่ก็เป็นพรรคที่มีผู้สมัครฯ อายุน้อยเยอะ คุณจะเข้าถึงประชาชนในชนบทและประชาชนในรุ่นเดียวกันได้อย่างไร การที่คุณอายุน้อยเป็นอุปสรรคหรือไม่

สรัสนันท์: จริงๆ แล้ว การที่เราอายุน้อยไม่ได้เป็นอุปสรรคเลย และก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี จริงๆ แล้วทำให้เราได้เปรียบผู้สมัครฯ คนอื่นๆ ด้วยซ้ำ สำหรับชาวบ้าน เขาต้องการคนที่จะมาเป็นปากเสียงให้พวกเขา การมีคนอายุน้อยหน้าใหม่เข้ามาก็เป็นความหวังให้กับพวกเขา และหลังจากที่เราได้คุยกับชาวบ้าน แล้วเขาเห็นว่าเราทำอะไรได้ เขาก็มองในแง่ดีมากขึ้น

ผู้สมัครฯ ท่านอื่นก็มักจะอายุมากกว่ามาก และหลายคนเกษียณอายุแล้ว การลงสมัคร ส.ส. แบบนี้ก็เป็นทางเลือกของหลายคนที่เกษียณ และสำหรับคนส่วนมาก เวลาออกไปหาเสียงก็ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความสนใจ “เราควรจะเลือกคนนู้นหรือคนนี้ดี” เพราะว่าในสถานการณ์บีบบังคับแบบนี้ ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งเขาต้องการคนที่พึ่งพาได้ แล้วพอเขาเห็นเราวิ่งไปนู่นมานี่ ทำนั่นทำนี่ เขาก็ชอบเรา นี่ก็เป็นข้อดีอีกอย่างของการเป็นเด็ก

บางทีเราอาจจะเห็นมาจากพ่อแม่เราตลอดเวลา แล้วเราก็รู้สึกผูกพันกับชาวบ้านไปด้วย ก็คือคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง แล้วเราอายุน้อยเราก็เป็นธรรมชาติ เราไม่ได้ยกย่องตัวเอง แต่เรารู้จักวิธีพูดกับเขา มันก็อยู่ในสัญชาตญาณของเราที่จะออกไปพบปะ แล้วก็ถามชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง ชาวบ้านชอบแบบนี้มากนะ

IR: พรรคได้เลือกเราลงสมัครได้อย่างไร อะไรที่พรรคเห็นในตัวเรา พรรคได้ส่งคนมาทาบทามหรือไม่

สรัสนันท์: เราเป็นคนเสนอตัวเข้าไปเอง เราเคยเป็นผู้ช่วยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็อยากช่วยพรรคด้วยการทำงานในกรุงเทพฯ​ พรรคเพื่อไทยก็อยากจะผลิตคนรุ่นใหม่ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจากตระกูลเดิมๆ พรรคอยากให้ประเทศชาติมีบุคลากร เพื่อที่จะให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมทางการเมือง ในหลายๆ เขตก็มีความเปลี่ยนแปลงเยอะ พรรคก็เลยสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่เข้าไปมีโอกาสตรงนี้ พรรคให้โอกาสพวกเราให้มีส่วนร่วมทางการเมือง และได้แสดงความคิดเห็น สิ่งที่สำคัญคือพรรคหวังว่ากลุ่มเลือดใหม่นี้จะได้ทำงานให้พรรคได้ดีมากขึ้นและทำงานในสภาผู้แทนราษฎรได้ดีมากขึ้นด้วย

IR: มีความลังเลบ้างไหมก่อนที่จะรับความท้าทายตรงนี้

สรัสนันท์: ด้วยใจจริง ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาอยู่ที่นี่ในฐานะผู้สมัครฯ พอเราได้ไปทำงานกับคุณหญิงสุดารัตน์อยู่สองปี เราก็เห็นว่างานเป็นอย่างไร แล้วก็ชอบ แล้วก็หลังจากที่ได้ฟังข่าวสาร สถานการณ์ต่างๆ รอบๆ ตัวเรา เราก็เลยคิดว่าถ้าเรามีโอกาสเราน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตของเราได้

IR: รู้ครั้งแรกตอนไหนว่าควรลงสมัครรับเลือกตั้ง

สรัสนันท์: ครั้งแรกเลยคือสามปีที่แล้ว มาพร้อมกับโอกาส คือตอนแรกเป็นคุณแม่ที่เป็นนักการเมืองมาตลอด แต่พอเราได้ไปทำงานกับพรรคแล้วเราได้เห็นว่าเราทำอะไรได้บ้าง พรรคก็ถามคุณแม่ว่า “จะเป็นไปได้ไหมถ้าเกิดเราจะเลือกคนรุ่นใหม่ลงบ้าง” พรรคก็สนใจว่าเราอาจจะเป็นผู้สมัครได้ แล้วแม่ก็ยิ่งดีใจมากกว่าเราอีกเพราะว่ามีคนรุ่นใหม่มารับช่วงต่อ

เราคิดว่ามันอยู่ในสายเลือดค่ะ แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นนักการเมืองจริงๆ เพราะว่าไม่เห็นโอกาสว่ามันจะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อสามปีที่แล้วที่เราได้มาทำงานส่วนนี้เป็นเวลานานเลยที่เมืองพล ที่เป็นอำเภอของเรา กิจการที่บ้านมีพนักงานอยู่ประมาณ 60-70 คน แล้วก็ได้คุยกับพนักงานเยอะมาก คือพนักงานเขาก็เป็นชาวบ้านธรรมดานี่เอง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ เราก็เลยคิดว่าถ้าเราพอมีส่วนช่วยได้แม้จะน้อยนิด ก็จะเป็นโอกาสที่ดีมากๆ แค่นั้นจริงๆ

IR: เคยฝันอยากเป็นนักการเมืองหรือไม่

สรัสนันท์: ความฝันตลอดมาคืออยากเป็นครู เป็นอาจารย์ แต่ความฝันมันก็เป็นได้หลายอย่าง ก็ยังอยากสอนหนังสืออยู่ แต่ตอนนี้มีโอกาสตรงนี้เข้ามา ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ยังคิดว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตที่จะได้ออกไปตรงนั้น แล้วก็ได้คุยกับคนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในจังหวัดของเรา แล้วก็ในฐานะของคนรุ่นใหม่เราก็คิดว่าเราคงจะได้ตอบแทนให้กับชุมชนของเราบ้างไม่มากก็น้อย

 

image_pdfimage_print