ขอนแก่น – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้เวทีเปิดสถานีรถไฟขอนแก่น แถลงความสำเร็จของผลงานรัฐบาลตามนโยบายประชารัฐ เช่น การแก้ไขปัญหาหนี้สิน ทวงคืนฝืนป่า เขตเศรษฐกิจพิเศษ บัตรคนจน ฯลฯ เผยไม่เคยมีรัฐบาลไหนพัฒนาประเทศอย่างมีแผนอย่างเป็นระบบมาก่อน ทิ้งให้คนฟังว่า “อยากอยู่กับผมต่อหรือไม่ ใครอยากให้อยู่ยกมือขึ้น” ด้านนักวิชาการตั้งข้อคำถามกรณีประยุทธ์ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐใช้โอกาสตรวจงานราชการ แถลงนโยบายก่อนการเลือกตั้งเหมาะสมหรือไม่ อาจเข้าข่ายใช้หน้าที่และงบประมาณของรัฐหาเสียง
การลงพื้นที่ตรวจราชการและเปิดสถานีรถไฟขอนแก่น โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ชุมทางจิระ (นครราชสีมา) ถึงชุมทางขอนแก่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2562 ทำให้ สถาพร เริงธรรม รองศาสตรจารย์สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ม.ขอนแก่น ตั้งข้อสังเกตว่า การลงพื้นที่ตรวจราชการครั้งนี้ เป็นการใช้โอกาสนำเสนอผลงานการทำงานของพล.อ.ประยุทธและรัฐบาล เพื่อหาเสียงก่อนการเลือกตั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะเป็นนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันยังมีฐานะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ
ประชาชนต่างเข้ามาสวมกอด หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์เข้าสักการะศาลเทพารักษ์หลักเมืองจังหวัดขอนแก่น ประชาชนบางส่วนตะโกน “ลุงตู่ สู้ๆ” นานหลายนาที ก่อนที่พล.อ.ประยุทธ์จะเดินทางไปเปิดสถานีรถไฟขอนแก่น
สถาพรเห็นว่า การตรวจราชการในลักษณะมีพีธีการ เช่น การไปไหว้ศาลหลักเมืองและมีมวลชนมารอต้อนรับจำนวนมาก มีการขึ้นเวทีแถลงความสำเร็จของผลงานรัฐบาล รวมถึงมีคำพูดบางประโยคที่สื่อไปในทิศทางให้ประชาชนเลือกพล.อ.ประยุทธ์และคณะฯ ทำงานในรัฐบาลต่อ ไม่ควรเกิดขึ้นในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง เพราะจะทำให้สังคมหรือพรรคการเมืองอื่นตั้งคำถามว่า เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่และงบประมาณราชการเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของพรรคหรือไม่
“ผมคิดว่าการตรวจราชการของรัฐบาลช่วงก่อนการเลือกตั้งควรตรวจหรือสรุปผลงานกันในห้องประชุมก็พอ หรือกรณีการเปิดสถานีรถไฟก็เพียงแค่กล่าวเปิดงานเท่านั้นก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องมานำเสนอผลงานของรัฐบาลในช่วงนี้” สถาพรกล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ เพียงกมล มานะรัตน์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่มองว่า พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ตรวจราชการในฐานะนายกรัฐมนตรีคงไม่ผิดปกติแต่อย่างใด แต่ตอนนี้ เขาคือหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหมายความว่า เขาคือหนึ่งในผู้เล่นทางการเมืองช่วงก่อนการเลืองตั้ง จึงไม่ผิดที่สังคมจะตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่เจ้าหน้าที่รัฐและงบประมาณหาเสียงช่วงก่อนการเลือกตั้งหรือไม่
“ประชาชนอย่างเราก็เพียงแค่ตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสม ส่วนจะเข้าข่ายการหาเสียงหรือไม่นั้น ต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา” เพียงกมลกล่าว
คำถามว่า การลงพื้นที่ตรวจราชการของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นเหมือนการหาเสียงให้พรรคพลังประชารัฐทางอ้อมนั้นเกิดขึ้นจากกำหนดการการปราศรัยหาเสียงใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เช่น ที่ขอนแก่น พรรคพลังประชารัฐเพิ่งมาปราศรัยใหญ่เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา และวันที่ 13 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ตรวจราชการและใช้โอกาสนี้แถลงผลงานของรัฐบาล และที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐเพิ่งปราศรัยใหญ่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม และวันที่ 20 มีนาคม พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่ตรวจราชการ เป็นต้น
“เหมือนเป็นการหาเสียงคู่ขนานกัน ถึงแม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์จะปฏิเสธไม่ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ แต่วิธีการลงพื้นที่ตรวจราชการและนำเสนอผลงานของรัฐบาลก็เข้าข่ายหาเสียงให้พรรคเช่นกัน” สถาพรกล่าว
เพียงกมลมองว่า สาเหตุที่พล.อ.ประยุทธ์สามารถลงพื้นที่ตรวจราชการในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เป็นเพราะยังมีฐานะนายกรัฐมนตรีอยู่ เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264 กำหนดว่า คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน (รัฐบาล คสช.) จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกระทั่งมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามารับหน้าที่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติว่า ตำแหน่งหัวหน้า คสช. ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะไม่เข้าองค์ประกอบเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมาย จึงทำให้คำถามที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นข้าราชการ สามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคการเมืองได้หรือไม่นั้นตกไป