โดย ศมณพร สุทธิบาก
จากกรณีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับปัญหามลพิษทางอากาศจากการเผาขยะติดเชื้อและปัญหาน้ำเสียที่ชาวบ้านดอนผอุง ต.คูเมือง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ได้รับจากบ่อขยะวารินชำราบทั้ง 3 เรื่อง ได้แก่ ความป่วยไข้ใกล้กองขยะ: เมื่อกลิ่นความตายมาเยือน ชาวชุมชนใกล้บ่อขยะวารินฯ อุบลราชธานีไม่กล้ากินปลาในหนองน้ำ โรงเรียนบ้านดอนผอุง มีกลิ่นเหม็นจากบ่อขยะและแมลงวันเป็นเพื่อน เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา จึงทำให้คิดว่าปัญหามลพิษจากกระบวนการจัดการขยะของรัฐและหน่วยงานท้องถิ่นยังล้มเหลว
เดอะอีสานเรคคอร์ดเชิญ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศมณพร สุทธิบาก อาจารย์ประจำสาขาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสกลนคร นักวิชาการที่ศึกษาการจัดการขยะในชุมชน หนึ่งในทีมวิจัย “การกำจัดขยะอินทรีย์โดยหนอนแมลงวันลาย” เขียนบทความคิดเห็นต่อประเด็นนี้
ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กำลังเผชิญกับปัญหาการจัดการขยะมูลฝอยในประเทศไทย เนื่องจากปริมาณขยะที่เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนประชากร การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบกับการขาดการจัดการขยะที่ถูกสุขลักษณะ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ อาทิ เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน น้ำชะขยะปนเปื้อนต่อน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบบริเวณกองขยะ ภาพประชาชนออกมาต่อต้านวิธีการจัดการขยะของ อปท. จึงได้เกิดขึ้นในหลายๆ ท้องถิ่นในประเทศไทย
ทั้งนี้ รัฐบาลได้มีความพยายามในการออกกฎระเบียบและแนวปฏิบัติเพื่อให้ท้องถิ่นได้ดำเนินการ โดยเฉพาะกรอบการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” ประจำปี 2562 โดยกรอบการดำเนินงานในการจัดการขยะที่สำคัญประกอบด้วย การจัดการขยะที่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง
เริ่มต้นจากการจัดการขยะที่ต้นทาง มุ่งเน้นการลดปริมาณและคัดแยกขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด โดยใช้หลัก 3Rs คือ ใช้น้อย (Reduce) ใช้ซ้ำ (Reuse) และนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ทั้งนี้ ความพยายามในการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทางของ อปท. ที่ผ่านมามุ่งเน้นในส่วนขยะมูลฝอยที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยการส่งเสริมผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการธนาคารขยะชุมชน ขยะแลกแต้ม ขยะแลกไข่หรือสิ่งของ เป็นต้น ซึ่งเมื่อปี 2559 ประเทศไทยมีการนำมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ 5.81 ล้านตัน จากขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมด 27.06 ล้านตัน หรือร้อยละ 21.47 ซึ่งเป็นขยะรีไซเคิลที่ถูกคัดแยกจากบ้านเรือน สำหรับขยะอินทรีย์ในครัวเรือนมีการใช้ประโยชน์ประมาณ 0.60 ล้านตันหรือร้อยละ 2.22 จากตัวเลขดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ยังขาดการส่งเสริมและการจัดการที่ต้นทางให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับสัดส่วนของปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมดและมีศักยภาพที่จะถูกคัดแยกและนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ที่มีมากกว่าร้อยละ 50 (กรมควบคุมมลพิษ, 2559)
เหตุใดการจัดการขยะที่ต้นทางถึงยังไม่บรรลุเป้าหมายที่นโยบายรัฐบาลกำหนดไว้ “สร้างวินัยของคนในชาติมุ่งสู่การจัดการที่ยั่งยืน” หากมองย้อนกลับไปในการส่งเสริมให้ประชาชนใช้หลัก 3Rs ในการจัดการขยะที่ต้นทาง ทำไมถึงไม่เกิดผลมากกว่าร้อยละ 50 คำตอบคือ จิตสำนึกและวินัยในการคัดแยกและทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง ยังไม่สามารถใช้ได้กับคนไทยในคนหมู่มาก ซึ่งแตกต่างจากประเทศญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ เพราะคนไทยรักความสะดวกสบาย ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้เกิดผลในการคัดแยกขยะที่ต้นทางในประเทศไทยจึงจำแนกออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
- การสร้างแรงจูงใจ (Incentive) โดยกลุ่มสังคมกึ่งเมือง กึ่งชนบท การใช้หลักการได้ประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win Situation) ผ่านรูปแบบธนาคารขยะ ขยะแลกไข่ ขยะแลกสิ่งของยังใช้ได้ผล แต่สำหรับสังคมเมืองที่ไม่มีเวลาในการขนย้ายขยะไปฝากธนาคารหรือไม่ร่วมกิจกรรมขยะแลกสิ่งของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องกำหนดรูปแบบการเก็บขน โดยกำหนดวันเก็บขนขยะรีไซเคิลและคิดเป็นมูลค่าเงินและโอนเงินคืนให้กับเจ้าของบ้านในลักษณะที่เรียกว่า Buy Back Center หรือนำรายได้จากการขายขยะรีไซเคิลกลับมาพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม โดยการดำเนินการและกำกับติดตามอย่างจริงจังจากภาครัฐและ อปท.
- การบังคับใช้กฎหมายในลักษณะผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle : PPP) นั่นหมายความว่า ถ้าครัวเรือนใดผลิตขยะมาก ไม่มีการคัดแยกขยะ ไม่มีการลดการเกิดขยะ ณ แหล่งกำเนิด จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บขนและการกำจัดตามน้ำหนักของขยะที่ทิ้งในแต่ละเดือน ทั้งนี้ อปท.จะต้องมีรูปแบบการจัดการที่สามารถประเมินปริมาณขยะที่ทิ้งในแต่ละครัวเรือนได้ โดยจัดรูปแบบการกำหนดเวลาเก็บขนในแต่ละเส้นทางการเก็บขน
นอกจากนี้ ในการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จโครงการด้านการจัดการขยะที่ต้นทางนั้น ในเชิงนโยบายควรกำหนดตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่สะท้อนปริมาณขยะที่ลดลง เช่น อัตราการนำขยะรีไซเคิลกับมาใช้ใหม่ (Recycling Rate หรือ Utilization Rate) แทนจำนวนโครงการ จำนวนครัวเรือน หรือจำนวนประชาชนที่เข้าร่วมโครงการ เพราะการเข้าร่วมโครงการไม่ได้เป็นตัวสะท้อนถึงปริมาณขยะที่ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างแท้จริง แต่ทั้งนี้ อัตราการมีส่วนร่วมของประชาชน (Participation Rate) นั้นจะเหมาะสมในช่วงเริ่มต้นโครงการ ที่ต้องการประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เข้ามารับรู้ปัญหาด้านการจัดการขยะในชุมชนของตนเอง
สำหรับการจัดการขยะที่กลางทาง โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บขนขยะมูลฝอยของ อปท. นั้น การดำเนินการของ อปท. ยังคงเป็นการเก็บรวบรวมขนส่งขยะรวมทุกประเภทในรถเก็บขนเที่ยวเดียวกัน หากมองประเด็นด้านการอำนวยความสะดวกต่อการคัดแยกขยะและนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่นั้น การจัดการที่กลางทางไม่ประสบผลสำเร็จอย่างสิ้นเชิง รถยังดำเนินการขนขยะรวม ไม่แยกเที่ยว ไม่แยกเวลา ทำให้ขยะทุกประเภทถูกทิ้งรวมและกำจัดรวมในสถานที่เดียวกันที่ปลายทาง
ในด้านการจัดการขยะมูลฝอยที่ปลายทาง (End-of-Pipe) นั้น วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตคือ การเปลี่ยนสภาพของสถานที่กำจัดขยะแบบฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) เป็นกองกลางแจ้ง (open dump) ซึ่งเกิดจากการที่รัฐจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้าง และท้องถิ่นไม่มี/ไม่ได้จัดสรรงบประมาณในการดำเนินการและบำรุงรักษาระบบดังกล่าว ดังนั้น ปรากฏการณ์การต่อต้านการสร้างบ่อฝั่งกลบขยะจึงเกิดขึ้นเสมอ เพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของ อปท.
นโยบายอีกส่วนหนึ่งของรัฐบาลคือ การแก้ไขปัญหากองขยะมูลฝอยเก่า ตกค้างสะสม โดยการปรับปรุงให้มีการฝั่งกลบที่ควบคุมและถูกสุขลักษณะ และอีกหนึ่งวิธีคือ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน (Waste to Energy) โดยนำขยะเก่าแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF) ทั้งนี้ ปัจจัยความสำเร็จในการจัดการดังกล่าวคือ รูปแบบการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง จนถึงปลายทาง และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพของ อปท.
สำหรับโรงไฟฟ้าขยะนั้น ในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการ ทั้งในด้านการดูแลบำรุงรักษา และการควบคุมการทำงานของเทคโนโลยีและเครื่องจักรให้สามารถดำเนินการได้ตามที่ได้ออกแบบไว้ การควบคุมปัญหามลพิษที่จะปล่อยออกจากโรงไฟฟ้าขยะ โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศ ตลอดจนการควบคุมปริมาณและคุณลักษณะของขยะที่จะเข้าสู่ระบบ ทางออกที่มีความเป็นไปได้ควรมีการคัดเลือกภาคส่วนเอกชนเข้ามาดำเนินการและมีข้อตกลงในการกำหนดค่าใช้จ่ายตามปริมาณขยะที่กำจัด (บาท/ตัน) หรือทำงานในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการขยะที่ปลายทางให้เกิดประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป