กฤตภัทธ์ ฐานสันโดษ เรื่อง 

“จุฬญาณนนท์ ศิริผล” หนึ่งในผู้กำกับหนังสั้นโครงการภาพยนตร์ Ten Years Thailand ภาพยนตร์ไทยเพียงเรื่องเดียวที่ได้รับเลือกฉายที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2561 

ภาพยนตร์สั้นชื่อว่า Planetarium นำเสนอภาพอนาคตของประเทศไทยที่ผู้คนถูกรัฐไทยสอดส่องพฤติกรรมจากกล้องส่องดูดาวก่อนจะนำไปเข้าโครงการล้างสมอง หากพวกเขาหรือเธอแตกแถวจากขนบธรรมเนียมปฏิบัติ 

หากนับว่าภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของเขาคือ Forget Me Not ที่ฉายในนิทรรศการ Museum of KIRATI ในงาน Bangkok City Gallery เมื่อปลายปี 2560 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ภาคต่อของนิทรรศการที่ทำให้เขาได้รับเชิญในฐานะศิลปินไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น 

Forget Me Not จึงเป็นภาพยนตร์ที่ตั้งคำถามกับชนชั้นกลางที่เคยร่วมชุมนุมในเหตุการณ์โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการในอดีต โดยเฉพาะช่วงก่อนรัฐประหารปี 2557 ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยสนับสนุนอำนาจนอกรัฐธรรมนูญให้เข้าปกครองประเทศและนำพาประเทศย้อนหลังกลับสู่ระบอบเดิม

โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Forget Me Not (2561) ที่ถูกฉายในนิทรรศการ Museum of KIRATI

ปีนี้เขากลับมาด้วยภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องที่สอง คือ 100 Times Reproduction of Democracy (2562) ที่ฉายรอบปฐมทัศน์ในงานเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 23 ที่หอภาพยนตร์ ในเทศกาล 100 Times Reproduction of Democracy 

หนังเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เสมือนจริงที่เล่าชีวิตของจุฬญาณนนท์ โดยฉากชีวิตเริ่มต้นเมื่อปี 2556 ที่เขาได้รับการว่าจ้างโดยวาจาให้ผลิตภาพยนตร์สั้นให้กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเพื่อใช้ในการสื่อสารและให้ความรู้เรื่องโรคข้อเข่าเสื่อม ภาพยนตร์ชื่อ ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง (A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar)

หลังจากนั้นเขาได้ขออนุญาตกับทางหน่วยงานที่ว่าจ้างเพื่อนำภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวไปประกวดในเทศกาลภาพยนตร์สั้น ซึ่งทางหน่วยงานก็อนุญาตทางวาจา 

ผลปรากฎว่าเขาได้รับรางวัลวิจิตรมาตรา แต่ทางโรงพยาบาลกลับแจ้งว่า เขาไม่มีสิทธิ์ในภาพยนตร์สั้นเรื่องนั้น โดยอ้างว่า ผู้เป็นเจ้าของผลงานคือหน่วยงานที่ว่าจ้าง ต่อมาหน่วยงานนั้นได้ยึดใบประกาศนียบัตรของเขาไว้

จากเรื่อง ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง (A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar)

ก่อนที่จุฬญานนท์จะมอบใบประกาศนียบัตรให้กับโรงพยาบาล เขาได้ทำสำเนาไว้ 100 ชุด แล้วแจกจ่ายให้กับคนรู้จักและไม่รู้จัก 

ประจวบเหมาะที่ช่วงนั้นมีการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่บริเวณหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขาจึงแจกจ่ายใบประกาศให้ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติพร้อมกับบอกว่า “คุณจะนำสำเนานี้ไปทำอะไรก็ได้” 

ต่อมาเขาได้ต่อยอดและสร้างผลงานจากการถูกยึดใบประกาศนียบัตรด้วยการนำไฟล์หนังสั้น “ไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่ง” มาทำซ้ำ โดยใช้โปรแกรมทำสำเนาของหนังสั้นทับซ้อนไปจำนวน 100 ครั้ง 

กระทั่งภาพและเสียงของหนังสั้นไม่เหลือร่องรอยที่อาจสืบได้ว่าเป็นเรื่องเดิม เหลือเพียงแสงสีเขียวที่กระพริบและเสียงที่แทบฟังไม่ออก กลายเป็นผลงานชื่อ 100 Times Reproduction of A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar แปลตรงตัวว่า การทำซ้ำของไก่จิกเด็กตายบนปากโอ่งจำนวน 100 ครั้ง

เขานำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายหลังรัฐประหาร 3 ปี ที่งานฉายหนังสั้นไวลด์ไทป์ จัดโดยกลุ่มฟิล์มไวรัส ที่ห้องหนังสือ Reading Room ห้องสมุดศิลปะย่านสีลมและเทนทาเคิลแกลลอรี่ แสงสีเขียวชวนให้นึกถึงอำนาจของกองทัพที่ปกคลุมประเทศไทยในช่วงนั้น 

หนังตั้งคำถามถึงความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเหนือผลงานศิลปะด้วยการทำ DVD ที่บรรจุไฟล์ 100 Times Reproduction of A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar แล้วทำสำเนาออกมาทั้งหมด 100 เอดิชั่น และนำไปวางขายตามที่ต่างๆ 

ช่วงท้ายๆ ของ 100 Times Reproduction of Democracy ได้ประมวลภาพเหตุการณ์กิจกรรมทางการเมือง 

เริ่มจากการอภิวัฒน์สยาม 2475 เหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อปลายปี 2556 จนถึงปัจจุบัน อาทิ เหตุการณ์หมุดคณะราษฎรหายไปจากลานพระบรมรูปทรงม้า เหตุการณ์การชุมนุมของ กปปส. การรัฐประหารนำโดยพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา การชุมนุมของผู้ไม่ต้องการการรัฐประหารที่กระจายตัวหลายจังหวัดโดยเฉพาะภาคอีสาน เหตุการณ์ผู้ต่อต้านอำนาจรัฐถูกจับกุมตัว ถูกทำร้ายและสูญหาย รวมถึงเหตุการณ์ฝังหมุดภายในงาน เดอะมานิเฟสโต้ บาย ใหม่อีหลี ที่งานเปิดตัวเดอะมานิเฟสโต้ บาย ใหม่อีหลี ริมบึงแก่นนคร จังหวัดขอนแก่น รวมถึงฉากไผ่ ดาวดิน ถูกตัดสินติดคุกคดี 112 

หนังไม่พลาดที่จะบันทึกงานอุ่นไอรัก คลายความหนาวที่ประชาชนจำนวนมากออกมาแต่งตัวย้อนยุค ไม่ต่างจากคุณหญิงกีรติและนพพร

นอกจากนี้ หนังยังบันทึกบรรยากาศการจัดงานในสถานที่ที่ พ.อ.พระยาพหล พลพยุหเสนา เคยใช้อ่านประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 พร้อมกับการหายไปของหมุดคณะราษฎรและถูกแทนที่ด้วยหมุดหน้าใส 

หนังเรื่องนี้เป็นส่วนของเรื่องจริงกึ่งเรื่องแต่งที่เขาใช้วิธีเล่าเรื่องล้อไปกับ A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar (2013) 

หนังสร้างจากแรงบันดาลใจของจุฬญาณนนท์ที่ถูกยึดใบประกาศนียบัตรรางวัลจากการทำวิดีโอให้โรงพยาบาล ในหนังจึงมีฉากหนึ่งที่ตัวละครดูดวงกับหมอดูคนหนึ่งในงาน Bangkok City Gallery ซึ่งคล้ายกับฉากหนึ่งของหนังสั้นเรื่องไก่จิกฯ ที่เจ้าของร้านชำชาวอีสาน ได้ดูดวงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งหลังผ่าตัดหัวเข่า แล้วหมอดูบอกว่า เจ้าของร้านชำมีกรรมเก่าที่ไปหักขาไก่จึงได้ทรมานจากโรคข้อข่าเสื่อมในบั้นปลายของชีวิต 

ในหนังหมอดูได้บอกตัวจุฬญานนท์ที่เป็นนักแสดงหลักเองว่า เป็นเพราะเขานิยมทำหนังวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย จึงมี “เจ้ากรรมนายเวร” ที่คอยตามสอดส่องชีวิตของเขา 

หลังจากฟังคำพูดของหมอดู ตัวละครหลักรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะใช้ชีวิตต่อไป หมอดูเสนอให้เขาเลิกทำหนังการเมืองและให้ทำหนังหรือศิลปะที่พูดถึงความงามของธรรมชาติและเด็กแทน (art for art’s sake)

ตัวละครจึงถอนเงินที่ได้จากการขายแผ่น DVD ไปซื้อตุ๊กตาไก่ที่ถูกหล่อจากแม่พิมพ์ 100 ตัวไปขอขมาที่ศาลพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ศาลเสด็จเตี่ยที่ถูกสร้างขึ้นทำซ้ำมากมายทั่วประเทศ) ณ โรงพยาบาลที่ว่าจ้างให้เขาทำวิดีโอเรื่องข้อเข่าเสื่อม แล้วเขาสาบานว่าจะหยุดทำงานศิลปะเกี่ยวกับการเมือง

ฉากหนึ่งของหนังเรื่อง Myth of Modernity (2014)

ภาพยนตร์จบลงด้วยเพลง Harlem Shake เช่นเดียวกับในหนังสั้น จุฬญาณนนท์ ซึ่งเป็นตัวละครหลักได้เสียดสีสังคมด้วยแสดงหลายท่วงท่า ซึ่งแต่ละท่าก็กล่าวถึงเรื่องราวในภาพยนตร์ที่เขาทำ เช่น การนั่งสมาธิใน Myth of Modernity (2014) พระใส่หมวกกันน๊อคใน Monk and Motorcycle Taxi Rider (2013) ท่าแพลงกิ้งจาก Planking (2012) ท่าคุณหญิงกีรตินั่งพับเพียบจาก Forget Me Not (2561) ท่าเล่น DVD  ไหว้ขอขมาและการแจกใบประกาศนียบัตร

ภาพยนตร์ 100 Times Reproduction of Democracy (2562) ดูจะเป็นการตั้งคำถามถึงความเป็นเจ้าของหรือลิขสิทธิ์ 

A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar (2013) เป็นตัวอย่างที่ดีของ Hypertext ที่ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของอีกไป เป็นของจุฬญาณนนท์ หรือโรงพยาบาล หรือหน่วยงานของโรงพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่ว่าจ้างเขาหรือของรายการเกมโชว์ที่เอาภาพจากหนังสั้นไป สำนึกเรื่องของทรัพย์สินส่วนตัว หรือลิขสิทธิ์ มีที่มาจากอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 เป็นสิ่งยืนยันความเป็นปัจเจกชน 

ส่วนในโลกหนังสือกระดาษผู้อ่านเป็นได้เพียงแค่คนวิจารณ์ แต่ไม่มีอำนาจในตัวบทหนังสือ หากแต่ Hypertext ได้ทำให้ผู้อ่านเป็นเจ้าของตัวบทไม่ต่างจากผู้ประพันธ์ ดังเช่นผู้ที่ซื้อ DVD ของจุฬญานนท์ แม้จะทำให้เขามีเงินไปซื้อไก่มาแก้กรรม เช่นเดียวกับคนที่รับใบประกาศนียบัตร อาจกล่าวได้หรือไม่ว่า พวกเขาเหล่านั้นก็มีส่วนทำให้จุฬญานนท์เรียนจบปริญญาโท หรือทำ 100 Times Reproduction of Democracy (2562) ออกมาได้

ความจริงเสมือนนี้เองที่เชื่อมต่อกับผู้คน (interactivity) เข้ากับภาพ เสียง และตัวบท หรือพูดให้ง่ายคือ ประชาธิปไตยในการอ่านมีมากขึ้น 

นั่นทำให้ 100 Times Reproduction of Democracy (2562) เป็นผลจากการที่จุฬญานนท์มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักจนนำไปต่อยอดเป็น Hypermedia ที่ 100 Times Reproduction of A Cock Kills a Child by Pecking on the Mouth of an Earthen Jar ถูกนำไปเป็น DVD และนำไปขายนำไปวางไว้ตามจุดที่เขาเอาไปขาย และถูกนำไปเทียบกับหมุดคณะราษฎร การอ่านดังกล่าวจึงไม่ใช่การอ่านเงียบ เช่น การดูวิดีโอใส่หูฟังเพียงลำพัง

หากแต่เป็นการไปถามเจ้าหน้าที่เฝ้าการฉายภาพยนตร์ดังกล่าวว่าไฟล์เสียหรือไม่ หรือแม้กระทั่งมีผู้ซื้อแผ่น CD บางคนก็ถามจุฬญานนท์ในกล่องข้อความเฟซบุ๊กว่าไฟล์เสียหรือไม่ การอ่าน Hypermedia จึงต้องใช้โสตประสาทในการรับรู้มิใช่เพียงการมองเห็นอีกต่อไป 

กระบวนการอ่านในโลกดิจิทัลจึงตามมาด้วยการทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน ฟังเพลง ซักผ้า ล้างจาน ไปพร้อมกับการดูอะไรซักอย่าง บทความต้องมีการสรุปด้วยประโยคหัวกระสุน (Bullet Point) มีการบอกเวลาที่ใช้อ่านบทความคร่าวๆ ก่อนเข้าสู่เนื้อหาเพื่อความรวดเร็วและกระชับ การอ่านจึงเต็มไปด้วยความหลากหลาย ไม่ได้อยู่กับหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งเฉพาะ ไม่อดทนอ่านอะไรที่ยาวยืด เราจึงเป็นเสรีชนเมื่อเข้าไปในโลกดิจิทัล เลือกที่จะกระโดดจากบทความหนึ่งไปสู่สิ่งอื่นๆ ได้ตามใจฉัน แต่นั่นก็ทำให้เราถูกลวงไปสู่เรื่องอื่นได้ง่ายเช่นกัน

การที่ผู้อ่านสามารถเลือกที่จะตีความออกนอกตัวบทของผู้ประพันธ์ได้ นั่นทำให้อำนาจ (authority) ของผู้ประพันธ์ลดลง ดังที่ผู้เขียนกำลังกระทำคือ นี่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จุฬญานนท์ต้องการจะสื่อความก็ได้ เพราะในโลกดิจิทัลจุดสุดยอดของผู้ประพันธ์ไม่มีความสำคัญอีกต่อไป 

ฉากหนึ่งของภาพยนตร์ 100 Times Reproduction of Democracy (2562)

การที่ผู้อ่านกำหนดเส้นทางการอ่านเองได้ก็เป็นการสร้างองค์อธิปัตย์ให้กับผู้อ่านและผู้ประพันธ์เช่นกัน เราต่างมีสิทธิในการสร้างสรรค์ดังที่เราต้องการ ไม่เหมือนกับหนังสือกระดาษที่มีแม่พิมพ์ ขนาดกระดาษ หรืองบประมาณบังคับตีกรอบเราเช่นกับอาจารย์ตอนเรียนปริญญาตรีของจุฬญาณนนท์ โลกของ Hypertext จึงมิใช่โลกแบนราบสองมิติ หากแต่เป็นการจับโลกทั้งใบมาอยู่ในเลขฐาน 2 นั่นคือ การแยกออกเป็นสองหรือจัดคู่ตรงข้าม (Binary opposition) ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเราก็ไม่เคยจะสนใจ

หากเทียบกับการอ่านในหนังสือกระดาษที่ตัวบทไม่มีความยืดหยุ่น ต้องการพื้นที่ดินแดนที่ชัดเจนไม่ต่างจากรัฐประชาชาติที่เป็นศูนย์รวมของปัจเจกชนที่ต้องการความมั่นคง มีเป้าหมาย ได้ผลิตผลที่ชัดเจน การอ่านในโลกดิจิทัลจึงเป็นดินแดนแห่งเสรีประชาธิปไตยที่จะนำพาเราไปสู่อะไรก็ได้ จะเป็นคอมมิวนิสต์แบบที่ Lanier บอกก็ได้ หรือจะเป็นชังชาติอิลูมินาติแบบที่ท่านผู้นำบอกกับคนรุ่นใหม่ก็ได้ 

100 Times Reproduction of Democracy (2562) จึงพาเราไปสำรวจว่า ประชาธิปไตยที่เรากำลังยึดถือ ถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็นประชาธิปไตยแบบใดกันแน่ 

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของเรากำลังไปในทิศทางใด ผ่าน Hypertext ที่เป็นพื้นของเสรีประชาธิปไตยเบ่งบานสะพรั่ง เป็นพื้นที่ของการต่อสู้และปลุกระดมผู้คน เป็นพื้นที่ทำให้หลายคนตาสว่าง เป็นพื้นที่ทำให้หลายคนเกลียดเผด็จการ แต่การเกลียดคนจีน คนพม่า คนมลายู และคนเขมร ก็จะยังคงดำเนินต่อไป 

Hypertext จึงเป็นพื้นที่พร้อมจะดูดเราเข้าไปและไม่ปล่อยเราออกมา

image_pdfimage_print