จารุพัฒน์  เพชราเวช เรื่อง 

แดดบ่ายเต้นระยิบเหนือท้องทุ่งแห้งแล้ง ต้นไม้ที่เพิ่งผลัดใบยืนเฉาราวซากศพ กะปอมคอแดงจ่อยกอกวอกตัวหนึ่ง ไต่ขึ้นไปบนยอดตอ ตอดเงาม่อก ๆ ผงกหัวเรียกกะปอมอีแขสาว ที่อาจแอบอยู่ในละแวกกอหญ้าแห้งแถวนี้ ความระทึกนั้นกระโดดตูมตามอยู่ในหัวใจบักหำโปก มันตึงสายหนังสะติ๊กไว้กับมืออย่างมั่นคง  สะกดกลั้นหายใจ ผ่อนลมเข้าออกตลอดเวลา สองเท้าย่องกริบเข้าหาเป้าหมาย หัวแดง ๆ ของกะปอมจ่อยตัวนี้เชื้อเชิญเหลือเกิน “ตอดเงาอยู่นั่นล่ะ อย่าติงคีงเด้อมึง กูสิเอามึงปิ้งก้อยใส่บักม่วงน้อย กินกับข้าวแลงให้ได้” บักหำโปกพึมพำ มันเหลือบตามองป้าสิ่วกับอีพลอยที่ก่นมันแกวแดงอยู่ไม่ไกล สองคนนั้นปิดปากเงียบ ป้าสิ่วลุ้นให้หลานได้กะปอมตัวนี้เหมือนกัน เผื่อตนจะได้จ้อนซิ่นพายกระติบข้าวไปจ้ำคำโป่มกับมันสักคำสองคำ 

“สู ๆ มาไล่หมูส่อยแหน่ หมูลาดขี้ซีหลงป่า ไว ๆ เข้า มันแล่นไปพู้นแล้ว” 

บักหำโปกหันขวับไปเห็นจารแสงวิ่งกระหืดกระหอบตัดทุ่งมา ฉับพลันนั้นกะปอมคอแดงที่เจ้าตัวกำลังเล็งวิถีกระสุนใส่ กระโดดหย็อยลงกอหญ้า หายจ้อยไปกับความรกเรื้อ ชายหนุ่มมองตามด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เสียดายกะปอมจับจิต หันไปมองค้อนจารแสงที่ยังยืนทำท่าเตรียมโผเข้าใส่บางอย่างด้วยความตั้งมั่นริมคัน แทนาสูง

“เจ้าเป็นบ้าหยังอ้ายจารแสง กะปอมข้อยตกใจแล่นหนีแล้ว ป่วงซ้ำเฒ่าเนาะเจ้า”  บักหำโปกยืนมองจารแสงอย่างไม่พอใจ ด้วยใจที่จดจ่ออยู่กับกะปอมคอแดงตัวนั้น มันจึงไม่ได้ยินว่าจารแสงพูดอะไรขณะที่แกวิ่งมา ส่วนป้าสิ่วกับอีพลอยกำลังข้ามคันแทนาตามไปสมทบกับจารแสง

“มาถะแม้หำโปก ผู้น้อยผู้หนุ่มแล่นหันนั่นนา มึงอย่าสิเฮ็ดบาปผู้เฒ่าหลาย” จารแสงตะโกนข้ามคันแทนามาอีกรอบ แต่บักหำโปกก็ยังไม่รู้จุดประสงค์ของแกอยู่ดี

“ฮ่วย! เจ้าเอิ้นข้อยไปหยัง คือจั่งฮิฮักฮิห่อนปานเมียสิออกลูกแท้”

“มาไล่จับหมูกะยังว่า ไว ๆ มันสิหนีก่อน”

“หมูเจ้าบ่ อ้ายจารแสง” บักหำโปกถามด้วยอาการตื่นเต้น แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้  มันไม่เคยเห็นจารแสงเลี้ยงหมู “เป็นหยังจั่งได้ไล่จับแบบนั้น”

“บ่แม่นหมูกู บ่ฮู้ว่าหมูไผ มันมาหม่นดินขุดกินหัวมันกูแปนสวนแต่มื้อคืนแล้ว”

“ฮ่วย ฟ่าวจัดการ เมี้ยนมันถะแหมะ ถ้าเป็นแบบนั้น”

จารแสงเห็นหมูหลงตัวนี้ตั้งแต่เย็นวาน แกไล่ไปแล้วสามสี่หน กลัวว่าหมูนั่นจะมาทำลายแปลงมันแกวแดงในสวนแกซ้ำอีก หมูลาดขี้ซีพันธุ์พื้นเมืองตัวเท่าถังแก๊สปิ๊กนิกของบักโทมัส ฝรั่งเยอรมันผัวอีเพียรที่มีนาฟากห้วยตรงข้ามกับแก มันวิ่งป้วนเปี้ยนอยู่ตรงฝั่งห้วย ใช้จมูกบานๆ ขุดไถกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่รู้ว่ามันจากไหน ทีแรกคิดว่าหมูบักโทมัสด้วยซ้ำ แต่ได้ยินข่าวว่ามันพาเมียบินลัดฟ้าไปเยี่ยมบ้านเกิดเป็นเดือนแล้ว จะถามใครแถวนาใกล้ก็ไม่เห็นหน้าไทบ้านสักคน แล้งหนัก ไม่มีใครโผล่หน้าออกมานา เพราะแดดที่ร้อนเหมือนนั่งพิงเตาหลอมในโรงงานที่แกเคยทำแถวย่านบางพลี จารแสงได้แต่คอยเทียวขับไล่จนมืดค่ำ ครั้งหลังสุดตะเพิดข้ามห้วยไปถึงดอนกุง ไกลจากแปลงมันแกวแดงของแกเกือบเป็นกิโล คิดว่าคงไม่กลับมาป้วนเปี้ยนจ้องทำลายของปลูกแกอีกแล้ว จึงกลับเถียงนา นอนเฝ้างัวควายอย่างสบายใจ

รุ่งเช้าหลังล่ามงัวควายเสร็จ กลับมาดูแปลงมันของตัวเอง ปรากฏว่าหมูกำลังดันดินราวกับตัวเองเป็นรถแทร๊กเตอร์ งัดหัวมันขึ้นมาเคี้ยวกินอย่างเพลิดเพลินอารมณ์ ส่วนจารแสงโกรธจัดถือพร้าหวดขับไล่มันตั้งแต่วินาทีนั้น ไล่และไล่ตั้งแต่เช้าแต่ไม่เคยได้เข้าใกล้ตัวหมูเลย ทั้งวิ่งทั้งเดิน กระหืดกระหอบหลายรอบจนหิวข้าว เมื่อไม่ทัน และเห็นว่ามันถูกไล่ทั้งค้อนฟาดใส่ตลอด คงเข็ดแล้วล่ะแกจึงเลิก เดินหอบกลับมากินข้าวที่เถียงนา นอนพักเอาแรงคิดว่าตกเย็นจึงจะกลับไปกู้มันแกวแดงที่เหลือจากพุงหมูหลงหัวขโมยตัวนั้น แต่พอตื่นนอนกลับลงมาเอางัวควายกินน้ำในช่วงบ่าย “ป้าดโธ๊” หมูบ้าตัวนั้นยังไม่ไปไหน มันนอนกินกลิ้งเกลือกอยู่ตรงนั้น เห็นแกพลันลุกขึ้นยืนจ้องหน้า ครางอู๊ด ๆ ขู่อย่างกับจะเอาเรื่อง เห็นอย่างนั้นหัวใจจารแสงจึงร้อนเร่าดุจเพลิงไฟ เกิดอาการพิโรธขึ้นอย่างรุนแรง เสร็จจากล่ามงัวควาย แกจึงออกแรงไล่จับมันอีกครั้งจนมาถึงตอนนี้

“เจ้าสิจับมันเรียกค่าไถ่ ค่าเสียหายแม่นบ่” บักหำโปกถามขณะจ้องไปที่หมูสีดำมะเมื่อม ซึ่งบัดนี้มันได้หยุดยืนพักเอาแรงเช่นเดียวกับผู้ที่ไล่มันมา บางขณะเอาจมูกขุดดินกลางแปลงนา แล้วจ้องมองมาที่คนทั้งสี่อย่างท้าทาย

 “บ่ทันฮู้ ถ้าจับเป็นได้ กูกะสิเรียกค่าไถ่ ถ้ามันตาย เฮาสี่คนปันพูดแบ่งกันไปกิน”  จารแสงว่าพลางจ้องไปที่หมูอย่างแค้นเคือง มันแกวแดงแกที่กำลังลงหัว ใกล้จะได้ขุดไปขายแล้ว ทว่าถูกมันทำลายเสียยับเยินทั้งสวน

 “ฮ่วย! คือเว้าแบบนั้น เขาสิบ่จับเฮาฤๅ” อีพลอย ลูกพี่ลูกน้องกับบักหำโปกพูดขึ้น 

“กินอิ่มขี้ออกแล้วบ่มีไผฮู้ดอกพลอย อยู่ท่งนาแบบนี้มีแต่เฮาสี่คน บ่มีไผฮู้ดอกหรือมึงสิกินข้าวกับหมกมัน แล้งแบบนี้กะปอมจ่อยๆ จักโตกะหายาก เกิดเป็นคนอย่าใจปลาซิวหลาย” ป้าสิ่วว่า หันไปทางบักหำโปก ชายหนุ่มยิ้มแป้น สำหรับมันเอาไงเอากัน หิวหอดปอดโพงมาหลายวันแล้วตั้งแต่ความแล้งมาเยือนท้องทุ่งเมื่อปลายมีนา คนนอนนารถพุ่มพวงขายของสดไม่ค่อยมาถึง ของกินหมดตั้งแต่อยู่ในหมู่บ้าน หรือของกินมาถึงก็ไม่ค่อยมีเงินซื้ออยู่ดี

“บ๊ะ! เว้าไปตี้ ป้อมทหารอยู่ใกล้ ๆ เขาเลาะตรวจอยู่คับทีป เทือเป็นหมูของพวกนี้ล่ะ ถ้ามาเห็นตอนกำลังคัวซี้นหมูปันกัน เจ้าสิเฮ็ดจั่งใด๋” อีพลอยยังคงแย้งทั้งที่ใจก็อยากกินของฟรีเหมือนกัน

 “คึดหยังหลาย บ้านอึดเมืองอยากปานนี้ หมูขี้ลัก เมี้ยนมันโลดสู” ป้าสิ่วกล่าว

“มันบ่มีเจ้าของดอกข้อยว่า ทหารทางใด๋สิมาร่ำไรเลี้ยงหมูอยู่นี่ หมูหลงมาได้ขวบคืนแล้ว บ่มีไผมานำหา ฆ่ากินแม่มันโลด” บักหำโปกว่าพลางยิ้ม มันย่องเข้าหาหมูแล้ว จารแสงย่องตามอีกครั้ง ป้าสิ่วหาค้อนไม้ไผ่มาถือไว้ในมือ อีพลอยได้เสียมตามพวกเขาไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ใจยังคงโลเล หวั่นจะเผชิญเรื่องไม่คาดฝันหลังทำสิ่งนี้ลงไป ทว่าอย่างไรก็ตาม หญิงลูกสองวัยยี่สิบสามอย่างเธอเห็นปากท้องลูกผัวสำคัญกว่าอื่นใด โดยเฉพาะในยามที่แร้นแค้นขัดสนยิ่งแบบห้วงเวลานี้

ตะวันแดงเพลิงระยอดไม้แล้ว แต่ภารกิจไทบ้านทั้งสี่คนยังไม่สำเร็จ หมูลาดขี้ซีตัวนี้แม้อ้วนตุ้ยนุ้ย พุงกระเพื่อมตลอดเวลาที่วิ่ง แต่ปราดเปรียวคล่องแคล่วราวกับงัวน้อยที่เพิ่งเกิดใหม่ได้หนึ่งสัปดาห์ เวลาวิ่งหางเท่านิ้วโป้งและขนบนแผงหลังจะชี้ชัน มันเป็นหมูตัวเมียที่มีวิธีการหลบหลีกค่อนข้างจดจ้าน บักหำโปกไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหมูตัวนี้จึงหลุดคอกหรือเชือกออกมาได้ แถมรีดเม็ดเหงื่อจารแสงออกเป็นถัง ๆ แล้วหลายรอบ วิถีการวิ่งของหมูไม่ได้แน่วตรงเหมือนม้าศึก

ทว่ามันใช้เล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงตลอดเวลา มีวิ่งๆ อยู่ดีๆ แล้วหยุดกึก หันหัวไปทางอื่น   ซิกแซ๊กไปมาไม่ต่างอะไรกับพวกนักรักบี้ บางทีจะถึงตัวแล้วหันหัวกลับพุ่งเข้ามาหาคนไล่ ป้าสิ่วล้มเค้เก้ตีนซิ่นเผยวาบแล้วหลายครั้ง ดู ๆ ไปก็เหมือนเป็นการแข่งขันจับหมูจาก อบต. ที่ไหนสักแห่งในภาพสะเก็ดข่าวทีวีช่องหนึ่ง ยิ่งใกล้มืดค่ำ หมูยิ่งมีพลังมากขึ้น ทว่าคนทั้งสี่หอบแฮ่ก ๆ ป้าสิ่วนอนหงายอ้าปากผะงาบ ๆ บนคันแทนาไปแล้ว จารแสงก็อีกคน แกนั่งชันเข่ามองดูบักหำโปกกับอีพลอยไล่จับหมูด้วยสภาพปลกเปลี้ย หอบหายใจจนอกลายเสือเผ่นกระเพื่อมไหวขึ้นลง บัดนี้คนไล่เหลือเพียงสอง บักหำโปกได้พร้าของจารแสงรวบรวมแรงพลังครั้งสุดท้าย หมายต้อนให้มันไปจนมุมที่ไหนสักแห่ง

และแล้วหมูหลงหัวขโมยก็สิ้นฤทธิ์ เมื่อมันถูกบักหำโปกและอีพลอยต้อนเข้าไปในหลี่ดักปลาที่ทำไว้อย่างแข็งแรงถาวรด้วยไม้ไผ่สีสุกของจารแสง เมื่อทะยานเข้าหลี่ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกถีบเข้าซองใส่รถไปยังโรงเชือด หมูเข้าหลี่แม้หันหัวออกมาได้ แต่ไม่อาจหลบพ้นด้ามเสียมไม้พึงเปือยดงที่บักหำโปกคว้าจากมืออีพลอย  เหวี่ยงฟาดเข้าหน้าผากอย่างสุดแรงเกิด เลือดทะลักออกปากจมูกตายคาที่ให้คนทั้งสี่ผูกขา หามไปยังเตาถ่านจารแสงเพื่อง่ายต่อการทำลายหลักฐานหลังชำแหละเสร็จ

เมื่อแล่หนังปันพูดเสร็จสิ้น บักหำโปกหิ้วถังเนื้อส่วนของตัวเองกับจารแสงขึ้นไปยังเถียงนา ผู้ที่ถูกหมูทำลายทรัพย์สิน ป้าสิ่วกับอีพลอยหิ้วกะต่าเนื้อหมูกลับเถียงนาตัวเองที่อยู่ฟากดอนทางทิศใต้ จารแสงบอกบักหำโปกไปซื้อเหล้าขาว มื้อแลงนี้มีเมาแก้เมื่อย แกกำชับให้บอกลูกเมียตัวเองว่าซื้อเนื้อหมูมาจากบ้านฟากห้วย หมูพวกขายของตลาดนัด มันตายเพราะแดดร้อนจัด ทั้งหมดในกะต่าราคาสองร้อย เมื่อบักหำโปกไปถึง เอื้อยกูดเมียจารแสงกับลูกชาย ปิดโทรทัศน์หลังจบเพลงชาติและเริ่มต้นรายการเดินหน้าประเทศไทย ทั้งสองลงจากเถียงนามาปรุงเนื้อหมูเป็นกับข้าวแลง

เถียงนาในท้องทุ่งแถบนี้มีไฟฟ้าใช้สองปีแล้วด้วยงบ อบต. ขาดก็แต่ถนนคอนกรีตที่ต้องรอกันต่อไป ยามค่ำคืนแสงไฟสว่างเจิดจ้า คนอยู่นาได้ดูทีวี ฟังเพลง   สะดวกสบายในระดับหนึ่ง แต่ช่วงนี้หลายอย่างในการพัฒนาชะงักงัน พวกเขาพอรับรู้ความเป็นไปของบ้านเมืองตลอดเวลา

คืนนี้ดาวกระจ่างฟ้าท้องทุ่งเงียบสงบ อากาศยามมืดค่ำแม้ยังร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง  แต่ไม่ถึงกับน่าอึดอัดจนดื่มเหล้าไม่คล่องคอ จารแสงกับบักหำโปกเว้านัวหัวม่วน   พูดถึงการไล่จับหมูอย่างออกรส มันช่างเป็นผลาปากพวกเขาในยามยาก อยากให้มีหมูหลงมาบ่อยๆ จะได้ไม่หิวหอดปอดโพงเหมือนก่อนหน้านี้

ระหว่างที่จารแสงกับบักหำโปกเป๊กเหล้าอยู่นั้น จู่ ๆ พวกเขาก็แว่วยินเสียงรถ ซึ่งคล้ายเสียงรถจี๊ปของทหารที่มักลาดตระเวนมาถึงแถวนี้ ผ่านมาถนนหน้าเถียง รถชะลอ มีเสียงบ่นด่าลูกน้องแว่วดัง ต่อว่าถึงความประมาทเลินเล่อต่ออะไรสักอย่าง ที่เขาใช้คำว่าขอจากไทบ้าน เพื่อเตรียมไว้เลี้ยงนายซึ่งลงตรวจพื้นที่ในวันนี้ แล้วตะโกนแหวกบรรยากาศสลัวรางของแสงเดือนนวลมาว่า…

“เห็นหมูลาดขี้ซีตัวหนึ่งวิ่งหลงทางมาแถวนี้ไหม”

-จบ-

image_pdfimage_print