พฤษภาฯ เลือดปี’53 (2) – ห้องหับบนชั้น 7

ภาพหน้าปกจาก istock.com/primeimages

ภู กระดาษ เรื่อง 

หยดลงพื้นดังแหมะ เฉียดปลายเส้นผมที่ปรกหน้าผาก เส้นผมที่อยู่รอบนอกสุดไหววูบ เงยหน้าขึ้นมองหาแหล่งที่มา เสียงครางหึ่งเครื่องปรับอากาศ เอ่อล้นออกมาทีละน้อย เกาะอยู่ตรงฝาครอบสีขาว ค่อยๆ สะสมและอูมอวบขึ้น ในไม่ช้าก็คงจะหยดลงพื้นอีกหยด จ้องอยู่สักพัก ผมจึงก้มลงไปมองตรงจุดที่ดังแหมะ ไม่เห็นรอย พื้นกระเบื้องสีขาวกลืนไปจนหมด ผมเพ่งมอง ก่อนจะใช้เท้าลูบ จึงได้พบและขยับหลบออกมาให้ห่างจากจุดนั้น

ยืนอยู่นอกระเบียง แสงแดดไม่ปรากฏตั้งแต่เช้ายันบ่าย ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศน่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับหยดน้ำ เหงื่อไม่สามารถพาตนเองออกมาท่องเที่ยวตามรูขุมขนได้ เหนอะหนะจึงเข้มข้นและแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงร่างกาย

การระบายความร้อนออกจากร่างกายทำได้ทางเดียวคือการหายใจออกมา แต่การหายใจเองก็ค่อนข้างลำบาก เหมือนมีอะไรสักอย่างจำนวนมากไปเกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินหายใจตั้งแต่รูจมูก โพรงจมูก คอหอย หลอดลม ไปจนถึงแขนงขั้วปอด 

เบื้องล่างลงไปลิบๆ ปั๊มเติมแก๊สรถยนต์ภายใต้หลังคาสูงโปร่งมีรถแท็กซี่เข้าคิวต่อแถวยาวเหยียด ในบริเวณเดียวกัน ใต้หลังคาที่ต่ำเตี้ยและล้นออกมาอยู่นอกชายคาเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลหลายสิบคันจอดเรียงราย พนักงานล้างรถกำลังฉีดน้ำล้างรถอยู่ด้วยกำลังกายที่แข็งขันตรงบริเวณด้านหลังของปั๊ม ริมฟุตปาธ ชิดกำแพงปั๊มแก๊ส ร้านขายอาหารมีลูกค้าเนืองแน่น บางคนยืนรอ บางคน หลายๆ คนนั่งกินอาหารอยู่บนโต๊ะ ไอน้ำจากหม้อต้มพวยออกมาราวกับภูเขาหลังฝนตก

เหมือนจะเป็นพนักงานรับจ้างเอกชนที่เดินกันขวักไขว่อยู่บนถนนในซอยไวตี เพราะชุดที่สวมใส่ที่ปรากฏเลือนรางนั้นเหมือนจะเป็นชุดพนักงานในสำนักงานมากกว่าชุดใส่เล่นหรือชุดนอน ผมคิดว่า เหมือนจะ ไม่กล้าที่จะระบุลงไปแน่ชัดว่าคือ พนักงานรับจ้างเอกชน นั่นเพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุด

พลทหารสองนายกระชับอาวุธประจำกาย – ปืนเล็กยาว – จับจ้องตามรถจี๊ปของผู้บังคับบัญชาที่มาตรวจเวรยามและกำลังแล่นห่างออกไป ผมจึงได้ระลึกขึ้นมาลำพังให้ตนเองว่า นี่เราอยู่ภายใต้การปกครองของคณะปกครองเผด็จการทหารครั้งล่าสุดมากี่ปีแล้วนะ 

เสียงรถบีบแตร เสียงเครื่องยนต์ส่งเสียงระงมอยู่บนถนนจันทน์ กลิ่นไอเสีย กลิ่นพื้นถนนลอยตัวขึ้นมาลวนลามรูจมูกอิ่นอ้อย หันไปทางขวามือของตนเอง ป้ายโฆษณาส่องแสงพริบพราย แจกแจงรายการสินค้า ข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆ ไกลเกินแสงตาจะแจ้งระบุได้ชัด ผมจึงไม่รู้ว่ามันคือการโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรบ้าง ค่อยๆ ไล่จับจ้องทีละน้อย กว้างออกไป ตึกสูงตั้งโด่เด่นับจำนวนไม่ถ้วนกำลังจมอยู่ในความสลัวรางของวัน

ยืนอยู่นอกระบียงอีกสักพักจนร่างกายเริ่มประท้วง มันไม่ได้ถือป้าย ไม่ได้ตะโกนโหวกเหวก ไม่ได้อารยะขัดขืนหรือไม่ได้ติดแฮชแท็ก (#) อะไร แต่เป็นความอึดอัดและเหนอะหนืดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น 

ผมจึงได้กลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้ง

ขนาดห้องพักบนชั้น 7 ของคอนโดแห่งนี้ ผมไม่ใคร่จะมั่นใจนักในพื้นที่ใช้สอยของมัน ห้องถูกตกแต่งอย่างดีเยี่ยม จากการบรีฟสั้นๆ ของเจ้าของห้องตอนที่ผมมาถึงห้องนี้ใหม่ๆว่า จากห้องที่ทรุดโทรมสุดจะบรรยายก็กลายเป็นห้องที่ใหม่เอี่ยมอ่องและน่าอยู่อาศัยหลับนอนหรือแม้แต่จัดกิจกรรมส่วนตัว ลงทุนลงแรงไปมิใช่น้อยกว่าจะฝ่าฟันมาได้ถึงจุดนี้ 

เมื่อคุณเปิดประตูเข้ามาในห้องก็จะพบทางซ้ายมือเป็นบริเวณที่ทำครัว มีเตาไมโครเวฟ เตาแก๊ส ตู้ใส่อุปกรณ์ครัวและอื่นๆ อีกนับสิบตู้ แบ่งซอยเป็นล็อกเกอร์เล็กๆ ตามประโยชน์ใช้สอย ตู้เย็นขนาดกะทัดรัด ผมยังไม่ค่อยแน่ใจนักเช่นกันว่าขนาดกี่คิวกันแน่ วางตัวถัดจากอ่างล้างจาน มีห้องนอนสามห้อง ห้องหนึ่งติดกับห้องน้ำและอยู่ถัดจากห้องที่หนึ่งเรียงตามแนวเดียวกันเป็นห้องที่สองและสาม ห้องที่สองหรือห้องตรงกลางใช้ผ้าม่านเป็นผนังกั้น โต๊ะกินข้าวมีเก้าอี้และแผ่นรองจานจำนวนเจ็ดที่นั่งตั้งอยู่กลางห้องโถง มีโคมไฟตั้งชิดผนังที่อยู่ห่างออกไปราวเจ็ดสิบหรือแปดสิบเซนติเมตร สิ่งของเครื่องใช้เหล่านั้นมีรูปแบบในการจัดวางที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามตามแบบแผน 

เลื่อนกระจกใสที่กั้นระหว่างระเบียงกับภายในห้องปิด มองโต๊ะกินข้าว วันนี้คงต้องมีสักคนแหละที่ได้นั่งหัวโต๊ะ 

หากทุกคนมาตามนัดหมาย พูดคุย หาวันเวลาเหมาะๆ กันมาราวๆ หนึ่งเดือนจึงได้ข้อสรุปในวันนี้และทุกคนน่าจะพร้อมเพรียงที่สุด ไม่ใช่วาระพิเศษอะไรมากมายนัก มี 2-3 อย่างที่เกิดการนัดหมายกินข้าวเย็นร่วมกันขึ้นในวันนี้ 

การะเกดเจ้าของห้องแค่อยากตอบแทนคำปรึกษาจากชนิยาในการทำ Dissertation ที่เธอกำลังทำอยู่ ซึ่งมีบางส่วนที่ข้องเกี่ยวกับแนวคิดของ Hannah Arendt และชนิยาพอจะให้คำปรึกษาได้ เพราะเธอเองก็กำลังทำ Dissertation เรื่องราว แนวคิดของอาเร็นดท์ในระดับปริญญาเอกอยู่เช่นกัน – แน่นอนว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของการะเกดและชนิยาที่เกี่ยวข้องกับอาเร็นดท์ 

ผมและคนอื่นๆ ไม่ได้รู้เรื่องรายละเอียดเนื้อหาอะไรมากไปกว่ารู้จักชื่อ เคยได้ยินชื่อ เคยได้อ่านมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น กระนั้นไม่เฉพาะเรื่องของอาเร็นดท์เท่านั้นที่การะเกดกับชนิยาปรึกษากันและกัน แต่เป็นทุกเรื่องในรายรอบตัวที่ทั้งคู่คุยกันอย่างเปิดอก จึงทำให้สนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ – ความคุ้นเคยสนิทสนมของทั้งคู่แนบแน่นขึ้นในช่วงที่พ่อของการะเกดนั้นล้มป่วยและตลอดระยะเวลาในการเฝ้าไข้พ่อกว่าครึ่งปี ชนิยาก็คอยให้คำปรึกษา ทั้งในด้านการรักษา จิตใจ และรวมทั้งเรื่องของอาเร็นดท์แก่การะเกดด้วย

ชนิยาเรียนจบแพทย์ หลังจากทำงานใช้ทุนและเก็บเงินได้อย่างเป็นที่พึงพอใจแล้ว เธอจึงได้หันเหชีวิตไปเรียนต่อทางด้านรัฐศาสตร์ทั้งในระดับปริญญาโทและเอก  

ลำดับต่อมาก็คือ เพื่อเป็นการพบปะกันพร้อมหน้าพร้อมตาสักครั้งสำหรับความสัมพันธ์แบบมิตรสหายที่ได้คบหากันมา หลังจากแคล้วคลาดกันอยู่เรื่อยร่ำไปในรอบหลายปีที่ผ่านมา เจอะเจอกันก็แค่คราวละสองสามคน ไม่เคยครบองค์ประชุมขนาดนี้มาก่อน และสุดท้าย นับเป็นการขึ้นบ้าน (ห้อง) ใหม่ไปในตัวด้วย 

ทรุดตัวลงบนโซฟา หมอนดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่าความต้องการ ก่อนจะโน้มตัวไปหยิบรีโมตสำหรับเปิดทีวีและกล่องรับสัญญาณบนโต๊ะกระจก กดปุ่มเปิด โทรทัศน์จอแบนขนาดน่าจะไม่น้อยกว่า 30 นิ้ว ปรากฏภาพและเสียง วางรีโมตกลับไปไว้ตรงที่เดิม และลุกจากโซฟาเดินเข้าไปหาชั้นวางหนังสือที่อยู่ตามช่องวางใต้โต๊ะตั้งทีวี นิตยสารแนวศิลปะ แนวตกแต่งบ้านและหนังสือแนวเรื่องแต่ง เบียดเสียดกันอยู่หงิมๆ ลูบคลำสันปก ไล่เลียงอ่านชื่อเล่ม ก่อนจะหยิบออกมาหนึ่งเล่ม สันปกสีแดงแกมเขียวหัวเป็ด เป็นหนังสือของ Antonio Tabucci ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย โดย นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ ที่ผมเคยอ่านแล้ว เล่ม: ‘คำยืนยันของเปเรย์รา’ (Sostiene Pereira) 

กลับมานั่งที่โซฟาอีกครั้ง เปิดหนังสือ เสียงของตัวละครจากในจอทีวีแว่วมา ตัวละครในเรื่องแต่งที่เล่าเรื่องราวในบรรยากาศการปกครองของเผด็จการโปรตุเกสหัวเราะแหะๆ ออกมา ผมอ่านหน้าแรกและข้ามไปอ่านหน้าอื่น แล้วข้ามไปอ่านอีกหน้า ก่อนจะย้อนกลับมาอ่านอีกหน้าจึงเงยหน้าขึ้นไปมองตัวละครในจอทีวี ไม่รู้ว่าที่กำลังฉายอยู่นั้นเป็นละครเรื่องอะไร วางหนังสือลงบนโต๊ะกระจกเบื้องหน้า เหลียวมองรอบห้อง ก่อนจะเอนกายลงนอนบนโซฟา แค่ซ่อนตาดำ ไม่ได้หลับใหล

เมื่อภากรและนวลแขเข้ามาในห้อง ผมจึงลุกจากโซฟาอย่างว่องไว เข้าไปทายทัก โอบกอด ผมโอบกอดกับภากร ส่วนนวลแขนั้นแค่ส่งยิ้มให้ ภากรแนะนำภรรยาของเขาให้ผมรู้จักและแนะนำผมให้เธอรู้จัก เราต่างไม่เคยพบหน้าหรือมีกิจกรรมอื่นใดร่วมกันมาก่อน แต่ภากรกับผมในระยะเวลาเดือนถึงสองเดือนที่ผ่านมาเคยพบเจอกันอยู่บ่อยๆ และเราต่างก็สบายดี

คำแรกที่เป็นคำถาม หลังจากที่เขากำชับผมว่า ‘เว่าได้ทุกเรื่องอ้าย เมียผมบ่มีปัญหา’ ภากรก็ถามผมว่า ‘อ้ายจ่อยสิมาบ่ มื้อนี่’

ผมตอบ ‘บ่ค่อยแน่ใจว่ะ เดี๋ยวจะลองโทรไปถามเบิ่ง แกว่ายากเวียกหลาย ย่านมาบ่ทัน รอจักคราว’

นวลแขเดินสำรวจห้อง ภากรหยิบหนังสือที่ผมวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิด ผมกดโทรศัพท์หาพี่บดินทร์ ทว่าไม่มีคนรับสาย

ผมว่า ‘บ่รับสาย’

ภากร ‘ค่อยโทรหาใหม่กะได้’

ภากรวางหนังสือกลับลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาจ้องหน้ากันกับผม ยิ้มส่งให้กัน นวลแขยังสำรวจห้องและพูดออกมา ‘ไผอยู่ห้องนี่’

ผมตอบ ‘บ่มีนะ ปล่อยเช่า แต่บ่ทันมีคนมาเช่า’

นวลแขพูดกับภากร ‘เฮามาเช่าบ่ ใกล้ที่ทำงาน’

ภากร ‘น่าสนใจอยู่ แต่ราคาแถวนี่ บ่ธรรมดานะ’

ผมว่า ‘3-4 หมื่นต่อเดือน ประมาณนั้น ได้ยินมาว่า’

นวลแขครางในลำคอ ภากรตัดบทหันมาพูดเรื่องบทความของเขาที่เพิ่งลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Vice Versa ฉบับภาษาไทย แบบออนไลน์และเหมือนจะมีโครงการพิมพ์ออกมาเป็นเล่มสำหรับผู้ที่สั่งจอง

นิตยสารที่ว่าด้วยปรัชญาและวรรณกรรม เขาเขียนบทความวิจารณ์หนังสือวรรณกรรมเล่มหนึ่งอยู่ในนิตยสารเล่มนั้น แม้จะหันมาพูดถึงบทความนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดอะไรและผมก็อ่านบทความชิ้นนั้นจบและก็ให้ความคิดเห็นไปแล้วด้วย จึงไม่มีความจำเป็นอื่นใดอีกที่จะต้องพูดในรายละเอียด

กระนั้นที่เขาพูดขึ้นมานั้น เขามีโครงการที่จะนำมันมาพิมพ์รวมเล่ม หรือทำอะไรสักอย่างกับมัน ซึ่งผมบอกว่าเป็นความคิดที่ดี จากนั้นภากรก็พูดต่อไปถึงนักศึกษาที่เรียนกับเขาในวิชาหนึ่ง และได้รับมอบหมายให้ไปอ่านหนังสือ สรุปความมากลุ่มละเล่ม เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่พึงพอใจกับนักศึกษาเหล่านั้น ผมก็ได้แต่อือออตาม 

ทุกเรื่องที่สามารถพูดได้ ไม่ต้องกังวลกับภรรยาของภากรนั้น ผมยังไม่ปริปากอะไรออกมา มิใช่เพราะว่าไม่ไว้วางใจหรือยังคลางแคลงใจอะไร แต่เพราะว่าผมขี้เกียจที่จะพูด และไม่รู้จะพูดออกมาทำไม จึงเป็นว่าภากรได้เปิดหัวข้อขึ้นมาก่อน เพียงไม่กี่ประโยคที่เขาพูดออกมา ผมก็อดใจไม่ไหวจนต้องผสมโรง ความขี้เกียจหลบลี้หนีหน้าไปทันที นวลแขไม่ได้เข้ามาร่วมวงพูดคุยด้วย เธอย้ายตัวเองไปยังห้องนอนที่ใช้ผ้าม่านกั้นเป็นห้องและขึ้นไปนอนบนเตียง เล่นสมาร์ทโฟน 

กำลังดุเดือด – เรื่องซ้ำๆ ซากๆ ที่เราพูดคุยกันเสมอในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความไม่พึงพอใจ ด้วยความอุกอั่งคั่งแค้น ด้วยความไม่สะดวกสบายใจถาโถมออกมาชนิดที่ว่าจะเป็นจะตายให้ได้ในเดี๋ยวนี้และทุกครั้งก็ได้ความดุเดือด สาแก่ใจ และได้พอหนำใจ ก่อนที่เราจะแยกย้ายจากกัน – ชาติชายก็เข้ามาในห้อง หิ้วถุงพลาสติกที่บรรจุอาหารการกินเข้ามาด้วย ในถุงพลาสติกมีลาบ ก้อย ต้ม ย่างเสือร้องไห้ และข้าวเหนียว คาดคะเนด้วยสายตาแล้วไม่น้อยกว่าอย่างละสามชุด

ชาติชายเป็นผู้จัดการห้องพักนี้ ดูแลและรับผิดชอบทุกอย่าง – อาชีพหลักของเขาคือ กองบรรณาธิการในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ที่พิมพ์งานวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองการปกครองเป็นหลักและถูกทหารไปเยี่ยมเยือนสำนักงานอยู่บ่อยๆ – เขาเดินเข้ามาหาโต๊ะอาหาร วางถุงพลาสติกลง ก่อนจะทักทายกับภากร ผม และนวลแขก็ลุกออกมาจากเตียงนอน แหวกผ้าม่านออกมา ทักทายกันกับชาติชาย ภากรแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน 

พวกเราต่างก็สบายดี 

จากนั้นชาติชายก็หันมาถามภากรกับผมว่า ‘พากันมาฮอดนานหรือยัง’ 

นวลแขกลับเข้าประจำตำแหน่งเดิมของเธอบนเตียงนอน

ภากรตอบ ‘จักคราวนี่หละ’

ชาติชาย ‘อ้ายจ่อย เกด และอาลัม ยังบ่มาหรือ’

ผมตอบ ‘อ้ายจ่อยติดต่อบ่ได้ บ่แน่ใจว่าจะมาบ่ ส่วนเกดออกไปฮับอาลัมน่ะ อีกจักคราวกะคงจะมาฮอด’

ชาติชาย ‘อืม…ผมหิวแล้ว บ่ทันได้กินข้าวเช้าอยู่’

ผมว่า ‘กิน รอหยัง’

ภากรยิ้ม เดินเข้าไปหานวลแข ชักชวนให้ออกมากินข้าวด้วยกัน แต่นวลแขปฏิเสธ เขาจึงผละออกมา ผมกับชาติชายเดินไปยังล็อกเกอร์เก็บถ้วยจาน ภากรเดินไปเปิดตู้เย็น ภายในตู้เย็นเต็มเหยียดไปด้วยเบียร์ 2-3 ยี่ห้อ อัดแน่นเรียงรายกันอยู่ ก่อนที่เขาจะหยิบออกมาสองกระป๋องสำหรับตนเองและชาติชาย 

วางจาน เทอาหารลงไป ลาบ ก้อย ย่างเสือร้องไห้และต้ม แจกจ่ายข้าวเหนียวคนละถุง ภากรกับชาติชายยกกระป๋องเบียร์ชนกันก่อนจะลงมือกินอาหาร

นับได้ว่าเป็นการกินที่ดุเดือดเลือดพล่านอยู่พอสมควร ทั้งกินทั้งคุยกันและคุยกันในทุกเรื่อง พูดได้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องกังวลใจอะไร เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องลึกลับซับซ้อน เรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เรื่องส่วนตัวเร้นลึก

พวกเราคุยกันได้ทุกเรื่องในห้องหับนี้ ห้องบนชั้นเจ็ดแห่งนี้ ด้วยความไม่พึงพอใจ ด้วยความอุกอั่งคั่งแค้น ด้วยความไม่สะดวกสบายใจถาโถมออกมาชนิดที่ว่าจะเป็นจะตายให้ได้ในเดี๋ยวนี้

เสียงเล็ดลอดไม่ว่าจะเข้าหรือออกนั้น การันตีได้เลยว่าไม่มีมากร้ำกราย และภรรยาของภากรก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการพูดคุย ภากรเขายืนยันมาแล้ว และผมก็เชื่อมั่นอย่างนั้นอยู่แล้วเช่นกัน 

แหละครั้นการะเกดกับชนิยาเข้ามาในห้อง ร่องรอยการต่อสู้บนโต๊ะอาหารถูกเก็บกวาดไปเรียบร้อยแล้วในจังหวะนั้น การทักทายกันเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ในลักษณะเหมือนกับผมทักทายภากรและนวลแข เหมือนกับผม ภากร และนวลแขทักทายชาติชาย 

และพวกเราก็ยังคงสบายดี 

หลังจากทักทายกันเสร็จสิ้นลง การะเกดก็หันมาถามผมว่าพี่บดินทร์จะมาไหม ผมตอบว่า ไม่แน่ใจ ก่อนจะขอตัวออกไปนอกห้องเพื่อจะโทรศัพท์หาอีกครั้ง 

ภายในห้องจึงแยกย้ายหามุมนั่งใครมัน ชนิยา ภากร และชาติชายนั่งบนโซฟา การะเกดเดินไปเปิดตู้เย็น ก่อนจะกลับมาพร้อมเครื่องดื่มสำหรับชนิยา ภากรกับชาติชายยกเบียร์ขึ้นดื่ม นวลแขนั่งบนเตียงนอน ผ้าม่านเลื่อนเปิดออกจนสุด

ผมเลื่อนประตูกระจกปิด เสียงรถยนต์และเสียงกิจกรรมภายนอกดังกระหึ่มมา มองไปยังปั๊มแก๊สเบื้องล่าง รถยังรอคิวยาวเหยียด ก่อนจะกดโทรศัพท์หาพี่บดินทร์ และมีคนรับสาย

ผม ‘มาได้บ่อ้าย’

พี่บดินทร์ ‘ไว้โอกาสหน้าเนาะ ยากหลายมื้อนี่ เลิกทุ่มหนึ่งพุ้นหละ กว่าสิไปฮอด’

ผม ‘โอเค มื้อหน้าว่ากันใหม่’

สนทนากันต่ออีกสองสามความ แล้วผมก็วางสาย แต่ยังไม่กลับเข้าไปในห้อง เพ่งมองไปรายรอบตั้งแต่ระดับก้มลงมอง ระดับสายตาปกติ และระดับเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะหันมาจ้องทะลุเข้าไปในห้อง ริมฝีปากของทุกคนยกเว้นนวลแขขยับ สนทนา และแย้มยิ้ม และกำลังลูบคลำขวดเหล้า ผมจ้องมองอยู่สักพัก จึงได้กลับเข้าไปในห้อง

แสงทึบทึมในห้องมีมากขึ้น การะเกดจึงเปิดโคมไฟ ไม่สว่างมาก แต่ก็ไม่มืดมาก แสงนวลๆ สลัวรางทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นมา

ผมแจ้งข่าวแก่ทุกคนว่า พี่บดินทร์ยังไม่เสร็จงาน คงมาไม่ได้วันนี้ ทุกคนได้แต่พยักหน้า ก่อนที่ภากรจะว่า น่าเสียดาย ภรรยาผมมีเรื่องอยากปรึกษาพี่บดินทร์อยู่เหมือนกัน ผมจึงว่า งั้นเอาเบอร์โทรแกไปสิ ค่อยโทรหากัน

ชนิยาถามว่า กับข้าวมีอะไรบ้าง มีก้อยดิบไหม ชาติชายตอบว่า ซื้อมาตั้ง 3 ชุดแน่ะ ชนิยาว่า ดีมาก แล้วจะรั้งรออะไรกันล่ะ จัดการเลยสิ

สงครามบนโต๊ะอาหารจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง นวลแขเข้ามาประจำการอยู่เก้าอี้ข้างๆ ภากร การระเกดนำ Single Malt ยี่ห้อ Kavalan ออกมาจากกล่อง ยื่นให้ชนิยา เปิด และดมกลิ่น ก่อนจะส่งให้กับทุกคนได้ดมต่อ จากนั้นจึงรินใส่แก้วสำหรับทุกคน เบียร์จึงถูกละเลยลงชั่วคราว

ดื่มและกินและสนทนาสลับกันไป หลากเรื่องหลายราวบนโต๊ะอาหารพรั่งพรูออกมา – พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง – จึงทะลักหลากออกมาราวกับอ้วกของคนเมาและฟังไม่ได้ศัพท์อะไรมากมายนัก

จากเรื่องการปรองดองหลังการเข่นฆ่ากันในกัมพูชา ในเกาหลีใต้ สู่เรื่องสันติวิธี เรื่องการสรุปความแนวคิดต่างๆ ของนักคิดต่างประเทศมาเป็นหนังสือภาษาไทย เรื่องหนังสือต่างๆ ทั้งเรื่องแต่งและเรื่องไม่แต่ง เรื่องหน้าที่การงานของแต่ละคน ก่อนที่การะเกดกับชนิยาจะหันไปคุยกันสองต่อสองเรื่องของอาเร็นดท์

ผมกินก้อย ภากร นวลแขและชาติชายจิบเหล้า สักพักชนิยาจึงหันมาถามภากรกับชาติชายว่า มะเขือเทศมาจากไหน จากนั้นทุกคนก็จึงพากันอภิปรายไป ค้นกูเกิ้ล เพื่อจะหาแหล่งที่มา มาตอนไหน มาจากไหนและเหมือนจะเป็นหัวข้อที่อภิปรายกันยืดยาวที่สุด วกกลับมายังเรื่องหนังสืออีกครั้ง จากนั้นก็เรื่องผัดกะเพราใส่ถั่วฝักยาวและผัดกะเพราหวาน ก่อนจะมุ่งตรงไปยังอีกเรื่องหนึ่ง

อภิปรายกันอย่างดุเดือด เลือดพล่าน ด้วยความไม่พึงพอใจ ด้วยความอุกอั่งคั่งแค้น ด้วยความไม่สะดวกสบายใจถาโถมออกมาชนิดที่ว่าจะเป็นจะตายให้ได้ในเดี๋ยวนี้ และในจังหวะนั้นชาติชายก็พูดขึ้นมาว่า ‘คิดว่าครั้งนี่ พวกหมู่เฮาจะอยู่ในยุคปกครองของทหารไปอีกจักปี’

‘อาจจะสิบหรือซาวปีพุ้นหละ’ ชนิยาตอบ 

แล้วก็นิ่งงันกัน เสียงเครื่องปรับอากาศดังมาทดแทนทุกเสียงและพวกเรายังคงสบายดี

ทุกคนหันมองหน้ากันและกัน สีหน้าจืดๆ แววตาหม่นๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก หลายอึดใจเช่นนั้น ชนิยาตักก้อยเข้าปาก ชาติชายยกเบียร์ขึ้นดื่ม ภากรและนวลแขจิบซิงเกิ้ล มอลต์ การะเกดลุกออกจากโต๊ะ เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกีตาร์ เมื่อเธอนั่งลง ผมจึงลุกจากโต๊ะและเดินออกไปยังระเบียงนอกห้อง

ไม่ได้ดื่มเกิน 2 อึก แต่ผมก็รู้สึกวิงเวียน เลื่อนกระจกกั้นออก แต่ไม่ได้ปิดกลับคืน เสียงจากภายนอก รถยนต์ คนพูดคุย มากระทบและทะลักเข้าไปในห้อง

ผมจ้องมองไปยังเบื้องล่าง ผู้คนยังขวักไขว่ คนยังล้างรถ รถแท็กซี่ยังรอเติมแก๊ส ร้านอาหารลูกค้ายังคงเนืองแน่น

เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ก่อนจะตามมาอีก 3 นัด ผมหันมองตามเสียง พลทหารสองนายประทับพานทายปืนอยู่บนร่องไหล่และยิงออกไปอีกคนละ 5 นัด ผู้คนเบื้องล่างชะงัก ก่อนจะแตกฮือกันไปตามเสียงนั้น สักพักเสียงปรบมือจึงเกรียวกราวก็ดังขึ้นมา ภากร นวลแข ชาติชาย การะเกด และชนิยา ลุกจากโต๊ะอาหาร และลุกลี้ลุกลนพากันออกมาสมทบกับผมตรงระเบียง

ชาติชาย ‘เกิดอีหยังขึ้น’

ผม ‘ทหารยิงปืน’

การะเกด ‘ยิงหยัง’

ผม ‘จัก’

ชนิยา ‘ยิงคนบ้า’

ภากร ‘หรือยิงหมา’

ผม ‘จักแล้ว’

นวลแข ‘คนตบมือกันเฮ็ดหยัง ลงไปเบิ่งกันบ่’

ไม่มีเสียงตอบรับว่าจะลงไปดู พวกเราได้แค่ยืนจ้องหน้ากัน ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง ผมเลื่อนประตูกระจกปิด และพากันเดินไปยังโต๊ะอาหาร

หมายเหตุ : ห้องหับบนชั้น 7 ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารชายคาเรื่องสั้นฉบับที่ 9 เมื่อปี 2560 มี มาโนช พรหมสิงห์ เป็นบรรณาธิการ      


เชิญอ่านฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกได้ที่นี่

https://theisaanrecord.co/2020/05/01/ten-years-after-april-may-2010-2/