หมาในมหาวิทยาลัย
คุณจะเลือกชื่นชมสัตว์ชนิดใดระหว่างสุนัขจรจัดที่ยืนตรงและเห่าหอนเวลาได้ยินเสียงเพลงชาติและกระรอกตัวน้อยที่มีอิสระจากเสียงเพลงปลุกใจ เรื่องสั้น “หมาในมหาวิทยาลัย” ชายคาเรื่องสั้นชวนตั้งคำถาม
ภาพหน้าปกโดย เคอร์มิต ครูเกอร์
ณัฐชยานี ศรีแนน เรื่อง
“ทุกข์เพินบอวาดี มีเพินจังวาพี่น้อง ลุงป้าเพินจังวาหลาน” เสียงของพ่อและแม่ที่คอยย้ำเตือนสติให้ฉันได้รู้ว่าตนเองอยู่ในฐานะใด
ตั้งแต่ฉันเกิดมาจำความได้ ก็ต้องหาเงินตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะไม่มีเงินซื้อชุดนักเรียน บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านชั้นเดียว มีอิฐกั้นเป็นฝาผนังพอได้อาศัยอยู่ ในส่วนของครัวก็ใช้ไม้ไผ่กั้นเป็นฝาผนังแทน ฝนตกก็ตื่นมารองน้ำไม่ให้มันสาดเข้าในบ้าน พ่อแม่มีลูกทั้งหมด 5 คน ผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 2 คน ฉันเป็นลูกสาวคนสุดท้อง
พ่อแม่เป็นชาวนา และพ่อก็รับจ้างเลี้ยงวัวให้คนในหมู่บ้าน ใครจ้างไปเลี้ยงที่ไหนก็ต้องไป แดดร้อนแค่ไหนก็ต้องเฝ้า ฝนตกก็ต้องเฝ้า เพราะถ้าวัวหาย จะไม่มีเงินไปชดใช้เขา พ่อทำงานสุจริตเพื่อนำเงินมาเลี้ยงครอบครัว ส่วนแม่ก็ไปรับจ้างหาบฟืน ลอกปอ แล้วแต่ช่วงเวลา แต่พอมีงานให้รับจ้างที่ไหนก็ต้องไป ทำยังไงได้ในเมื่อความจนมันน่ากลัว
พ่อแม่สอนให้พวกเราทุกคนอยู่อย่างอดทน และต้องช่วยงานท่านเสมอ ฉันเอง แม้ว่าจะเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้าน ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ทำอะไร พี่น้องคนอื่น ๆ ไปรับจ้างกับพ่อแม่ ไปหาบฟืนจากนาไกล ๆ ส่วนฉันกับพี่สาวคนรองก็ต้องช่วยกันทำงานบ้านรอ พี่สาวคนรองทำความสะอาดบ้าน นึ่งข้าว ส่วนฉันก็ไปหาบน้ำมาใส่โอ่งให้เต็ม ทั้งโอ่งอาบน้ำและโอ่งน้ำใช้ในบ้าน แต่กว่าจะได้มาแต่ละถังนั้นสายตัวแทบขาด ต้องเดินไปหาบน้ำประมาณ 500 เมตร เพราะน้ำบ่อใกล้ ๆ คนเยอะ ต้องเดินไปไกล ๆ คนถึงจะมีน้อย แต่กว่าจะหาบมาได้เต็มโอ่งก็เกือบค่ำ ตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่ตีสี่เพื่อไปหาบน้ำ ถ้าตื่นสายคนจะเยอะ และต้องเดินไปหาบไกล ๆ อีก ฉันเลยเลือกที่จะตื่นเช้า ๆ แทนที่จะต้องไปหาบไกล ๆ เพราะตอนเย็นก็ต้องไปหาบไกลอยู่แล้ว
ในบางวันที่ฉันหาบน้ำได้เต็มโอ่งเร็ว ๆ ฉันก็จะไปรับจ้างถางหญ้าหรือไปลอกปอ ที่ใครหลาย ๆ คนบอกว่าเหม็นมาก มันเหม็นมากจริง ๆ แต่ฉันเลือกไม่ได้ ถ้าหากฉันไม่ทำ แล้วฉันจะมีเงินที่ไหนไปซื้อเสื้อกีฬาใส่เหมือนคนอื่น ๆ เขา พ่อกับแม่ไม่มีเงิน ฉันจำได้ว่า ตอนนั้นฉันอยู่ชั้น ป.4 หลังจากเลิกเรียน ฉันต้องรีบกลับบ้านมาหาบน้ำให้เต็มทุกโอ่ง รีบซักผ้าให้เรียบร้อย แล้วไปขอลอกปอบ้านเยื้อง ๆ บ้านฉัน โชคดีที่เขาใจดีให้ฉันทำ ปอเขาเรียกว่าเบี้ย 1 เบี้ยจะมีอยู่ 5-6 มัด ได้เบี้ยละ 2 บาท ในแต่ละวันฉันลอกได้วันละ 4 บาท บางวันขยันมาก ๆ ก็ได้ 6 บาท มีแค่ไม่กี่ครั้งหรอกที่ฉันได้ 6 บาท แต่ถ้าเสาร์-อาทิตย์ ฉันได้วันละ 22-24 บาท เท่ากับค่าแรงผู้ใหญ่เลยล่ะ แต่ไม้ลำปอเหม็นมาก ล้างยังไงก็ไม่ออก เวลาไปโรงเรียนเพื่อน ๆ แทบไม่มีใครอยากจะเล่นกับฉัน เพราะเขาบอกว่าฉันเหม็นมาก แต่ก็ยังมีเพื่อนที่เข้าใจฉันนะ เพราะเขาก็ต้องหาเงินเหมือนกับที่ฉันทำ เขาจึงไม่รังเกียจฉัน
ฉันใช้เวลาตั้งนานกว่าจะเก็บเงินซื้อชุดกีฬาได้ ชุดกีฬาชุดละ 75 บาท ตอนนั้นฉันมีเงินเก็บอยู่ไม่มากจากการรับจ้างทำงาน ฉันจึงให้เงินแม่ เอาไว้ให้แม่ได้ใช้จ่าย ตอนแรกแม่ก็ตกใจนะว่ามีเงินมาจากไหน แต่แม่ก็พอจะรู้บ้างว่าฉันทำงาน แต่แม่ไม่คิดว่าฉันจะได้เงินเยอะขนาดนั้น เพราะฉันให้เงินแม่ตั้ง 50 บาท แต่ยังเหลือเก็บไว้บ้าง ฉันทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำทุกปี ในแต่ละปีจะมีถอนถั่วลิสง แล้วให้ไปเอาเมล็ดออกจากต้น ปีบละ 2 บาท ฉันก็ไม่ลังเลที่จะไปรับจ้าง
“รุ่ง ๆ ไปรับจ้างปิดบักถั่วดินอยู่บ้อ” เสียงเจ้าของถั่วดินมาเรียกให้ไปรับจ้าง
“ไปจ้าน้า แต่เดี๋ยวรุ่งหาบน้ำก่อนเด้อ เต็มโอ่งแล้วสินำก้นไป”
ในช่วงวันแรก ๆ ฉันทำได้ไม่เต็มปีบหรอก ได้ครึ่งปีบน้าแกให้หนึ่งบาท ฉันก็เอาเงินนี้ไปซื้อขนม ห่อละสลึง วันต่อ ๆ มาก็เริ่มคล่องขึ้นทุกวัน ๆ จนได้วันละ 2 ปีบ ฉันดีใจมาก เสาร์-อาทิตย์ได้ตั้ง 5 ปีบ แต่ทำได้ไม่นานถั่วลิสงก็หมด ฉันจึงต้องไปรับจ้างคนอื่นไปเรื่อย ๆ ไปขอเขาทำ บางคนใจดีก็ให้ทำ แต่กดราคาเพราะเห็นว่าเป็นเด็ก แต่ดีกว่าไม่มีอะไรให้ทำ พี่น้องคนอื่น ๆ ก็รับจ้างเหมือน ๆ กัน เพราะถ้าไม่รับจ้างก็ไม่มีเงิน
ตอนนั้น ฉันจำได้ว่า แทบไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีใครเห็นว่าเป็นพี่น้องเลย มีแต่น้อง ๆ ของแม่ที่คอยช่วยเหลือ ที่ยังเห็นว่าเป็นญาติกัน แต่คนอื่น ๆ ก็เห็นเราเป็นแค่คนบ้านเดียวกันเท่านั้น
พอขึ้น ป.5 มีพยาบาลผู้หญิงมาพักอยู่อนามัย เขาให้ฉันไปทำความสะอาดบ้านให้ทุกวัน แล้วยังให้ค่าทำความสะอาดด้วย เขาใจดีกับฉันมาก ตอนแรกฉันไปรับจ้างถางหญ้าอยู่อนามัย พอแกเห็นเข้า ก็เลยให้ฉันไปช่วยทำความสะอาด จนได้ไปทำความสะอาดให้ทุกวัน จนวันหนึ่ง แกต้องย้ายกลับบ้าน ฉันร้องไห้เสียใจมาก แต่แกก็บอกว่า ว่าง ๆ จะมาเยี่ยม
ป.6 มีคุณครูท่านหนึ่งย้ายมาอยู่โรงเรียนเป็นผู้หญิง คุณครูจึงให้ฉันและเพื่อน ๆ อีกสองคนไปอยู่ด้วย คุณครูเป็นคนใจดีมาก คุณครูซื้อกระปุกออมสินให้ฉันกับเพื่อน ๆ คนละกระปุก แต่ของฉันกับหวานเป็นรูปหมาเหมือนกัน ฉันจึงเอาไม้แหลม ๆ ไปขีดตรงจมูกของมันให้เป็นรอย เพื่อจะได้จำได้ ฉันยังคงรับจ้างทำงานเหมือนเดิม แล้วก็นำเงินมาหยอดกระปุกออมสิน เพราะเป็นกระปุกออมสินอันแรกของชีวิต ฉันเฝ้ามองมันทุกวันเลย จนวันหนึ่ง คุณครูบอกว่าจะเอาเงินในกระปุกไปฝากธนาคารให้ กระปุกออมสินอยู่ในห้องนอนของคุณครู เวลาจะหยอดก็มาหยอดที่บ้านคุณครู ฉันมักจะมาหยอดตอนที่คุณครูอยู่เสมอ เพราะถ้าคุณครูไม่อยู่บ้านก็ไม่กล้าเข้าไป แล้วคุณครูก็ให้ฉันและเพื่อน ๆ อีกสองคนเข้าไปเอากระปุกออมสินในห้องนอนคุณครูมาแกะนับเงิน พอฉันเดินเข้าไปเห็นหวานจะหยิบเอากระปุกของฉัน ฉันจึงทักท้วง
“หวาน อันนั้นมันของเฮาเดะ”
“มันเป็นของเฮา เฮาหยอดมันอยู่ประจำ เห็นว่ามันหนักสิมาตูวาเป็นของเจ้าของบ้อ” หวานว่า
“มันเป็นของเฮาอิหลี เฮาหยอดซูมื้อเดะ” ฉันพยายามบอกหวานเพื่อให้ได้ประปุกคืน
“มึงสิมีเงินมาแต่ไสมาหยอดหลายแท้” นงค์เพื่อนอีกคน สอดขึ้น
“กะเงินเฮารับจ้างเดะ เฮากะมีเงินเด๊ะ” ฉันกำลังจะเข้าไปเอากระปุกออมสินคืน แต่ได้ยินเสียงคุณครูเรียกขึ้นก่อน
“เป็นอีหยัง เกิดอีหยังขึ่น” เสียงของคุณครูถามขึ้นขณะที่ได้ยินพวกเราเริ่มจะทะเลาะกัน
“รุ่งเขาหาว่ากระปุกออมสินหนูเป็นของเขาค่ะครู ทั้งที่มันเป็นของหนู” หวานบอกกับคุณครู
“แล่วเธอแนใจได้จังใด๋วากระปุกออมสินนี่เป็นของเธอ-หวาน”
“เพราะว่ามันตั้งอยู่ขวามือค่ะ ของนงค์ตั้งอยู่กลาง ของหนูตั้งอยู่ขวามือ” หวานตอบด้วยความมั่นใจ
“แล่วรุ่งเดะ แนใจได้จังใด๋วากระปุกนำหวานเป็นของรุ่ง” คุณครูหันมาถามฉันบ้าง
“เพราะหม่องดังหมามันมีฮอยขีดไว้ หนูย่านหนูหลงกับของหวาน หนูเลยเอาไม้มาขีดหม่องดังหมาไว้ค่ะครู” ฉันตอบ คุณครูจึงขอดูกระปุกออมสินจากมือหวาน
“ไสครูเบิงดู๊” คุณครูเอากระปุกออมสินมาดูใกล้ ก็มีรอยขีดอย่างที่ฉันบอก แต่อีกกระปุกไม่มี
“มีคือจังรุ่งวาอิหลี” คุณครูบอกตามที่เห็น หวานยังเถียงต่อ
“มันอาจจะเพิ่งสิเอามาขีดไว้กะได้เด๊ค่าครู” หวานยังไม่ยอมที่จะรับความจริง คุณครูจึงบอกสิ่งที่คุณครูจะตัดสิน
“หวาน รุ่ง หมุนออมสินขึ้นมาเบิงดู ยูใต้ออมสินครูเขียนชื่อเจ้าของไว้ยู” คุณครูบอก ซึ่งกระปุกที่ฉันขีดหน้าจมูกไว้ก็เป็นชื่อฉัน ส่วนอีกอันเป็นของหวาน หลังจากนั้นคุณครูก็พูดต่ออีก
“ครูเพิ่งจะสลับกระปุกกอนที่พวกเธอจะมา หวานเธอกะหน่าสิฮู้โตจะของยูแล้ววาจะของหยอดกระปุกหลายปานใด๋ รุ่งเขาหยอดกระปุกทุกมื้อครูกะเห็น ต่อไปยาเฮ็ดจั่งซี่อีกเด้อ” คุณครูว่ากล่าวตักเตือนหวาน หลังจากวันนั้น หวานไม่มานอนกับคุณครูอีกเลย มีแต่ฉันและนงค์ที่มานอนกับคุณครู แต่นงค์ก็ไม่ค่อยคุยกับฉันเหมือนเดิม ทำเหมือนอย่างว่าฉันทำผิด และหลังจากนั้น หวานก็ไม่กล้ามองหน้าฉันอีกเลย
ฉันอยู่กับคุณครูจนจบชั้น ป.6 ฉันอยากเรียนต่อมาก แต่ไม่มีเงินเรียน จึงต้องไปหางานทำที่กรุงเทพฯ ไปทำได้ไม่นานก็กลับมาอยู่บ้าน มีพยาบาลใจดีให้ไปเป็นภารโรงอนามัย ด้วยความที่ฉันอยากเรียนหนังสือมาก เลยขอเบิกเงินล่วงหน้าไปจ่ายค่าเรียน กศน. ทางอนามัยใจดีมากให้เบิกเงินก่อน ฉันจึงมีโอกาสได้เรียนหนังสือจนฉันจบการศึกษาชั้น ม.6 แต่ฉันก็ยังทำงานเป็นภารโรงอนามัยเหมือนเดิม
จนวันหนึ่ง เขารับสมัครคนไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ที่จะเปิดอยู่วัด เงินเดือน 3,000 บาท ฉันไม่ลังเลที่จะไปสมัครเลย จะน้อยจะมากก็เป็นเงิน ดีกว่าต้องไปทำงานไกล ๆ ฉันคิดว่า อยู่บ้านได้เงินเดือนแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แม้จะมีคนดูถูกว่าได้แค่สามพันจะทำอะไรได้ แต่ฉันก็ไม่สนใจ แรก ๆ มีแต่คนมองฉันเหมือนตัวแปลกประหลาดเวลาที่ฉันเดินไปโรงเรียน มีบ้างที่ทักทาย บ้างเบะปากใส่เมื่อมีคนเรียกฉันว่าครู ฉันเลือกที่จะไม่สนใจ แต่ก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
ทำงานมาได้สิบกว่าปี เขามีโครงการที่จะบรรจุครูพี่เลี้ยงให้เป็นข้าราชการ แต่ต้องไปเรียนปริญญาตรี ตอนนั้นฉันแต่งงานมีลูกแล้ว แต่โชคดีที่สามีฉันเข้าใจ เขาสนับสนุนฉันเต็มที่ ไม่ขัดฉันสักนิด ฉันต้องไปเรียนในอีกอำเภอ ไปเรียนช่วงเสาร์อาทิตย์ ตอนไปเรียนแรก ๆ ฉันท้อมาก ไม่รู้ว่าเขาสอนอะไร ฉันจบแค่ กศน. เรียนก็ไม่รู้เรื่อง จนตอนแรกคิดจะถอดใจ แต่พอกลับบ้านมาเห็นหน้าพ่อแม่ สามี และลูก ได้กำลังใจจากสามี ฉันตัดสินใจที่จะสู้ และฉันก็ทำมันสำเร็จ ฉันเรียนจบได้ไม่นานเขาให้สอบบรรจุ ฉันสอบได้และได้เป็นข้าราชการดังที่ฝัน สมกับที่ฉันอดทนอดกลั้นต่ออุปสรรคที่มาขวางกั้นฉันตลอดทางเดิน แต่ฉันก็ก้าวผ่านสิ่งเหล่านั้นเพราะคำดูถูกเหยียดหยามของผู้คนเหล่านั้น
“ทุกข์เพินบอวาดี มีเพินจังวาพี่น้อง ลุงป้าเพินจังวาหลาน”
ฉันคิดถึงคำนี้ของพ่อและแม่อยู่เสมอ จนถึงตอนนี้ที่ฉันได้เป็นข้าราชการครู มีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลให้พ่อแม่ สามี และลูกได้ มีสิทธิ์ต่าง ๆ ให้ลูกเหมือนที่คนอื่น ๆ มี อย่างที่ฉันไม่เคยได้รับเลย