ภาพหน้าปกจาก istock.com/PeopleImages

จารุพัฒน์ เพชราเวช เรื่อง

จู่ๆ นางเจียวก็ม้วนหัวสักกีเทียมลงดิน ขณะนั่งกินตำเมี่ยงข่าอยู่บนแคร่กับพี่น้องป้องปายเจ็ดแปดคน นางชักกระตุกตาค้างเบิดเท่อเล่อ กัดกรามตัวเองกรอดๆ สีหน้าดุเหี้ยม ร่างอันห่อผ้าถุงผืนเดียวกับเสื้อยืดสกรีนภาพหน้าอกเป็นรูปนางเอกละครช่องหนึ่ง เขลอะไปด้วยดินลูกรังหมากหินแห่ใต้แคร่ ญาติพี่น้องทั้งหลายรายรอบหวีดร้องอย่างตกใจ กรูเข้าหาพยายามจะฉุดนางให้ลุกขึ้นนั่ง ทว่าสองตีนอันข่วงโคเลวาดเสยเถือกไปเถือกมาของนางนั้น ถีบเอายอดคาง และพวงนมของแต่ละคน จนล้มคว่ำล้มหงาย เจ็บจุกไปตามๆ กัน แต่กระนั้นทุกนางยังพยายามหาทางเข้าจับร่างนางเจียวให้ได้ ครู่ต่อมาหญิงคนหนึ่งหวีดร้องเสียงลั่น เรียกหาผู้ชายคนหนุ่มที่แข็งแรงเข้ามาช่วย แต่ขณะนี้ตกถึงห้วงยามย่ำค่ำ ผู้ชายพ่อลูกพ่อเมียทั้งหมด ต่างยังไม่กลับถึงเรือน ด้วยว่า บ้างก็ออกไปต้อนงัวควายกลับเข้าคอก บ้างก็ไปรับเหมาก่อสร้างปลูกบ้านสร้างเรือนในหมู่บ้านอื่นยังไม่กลับมา บัดนี้ผู้ชายในหมู่บ้านดงบงจึงมีเพียงแต่เด็กหนุ่มนักศึกษา ในสถาบันการอาชีพประจำอำเภอเพียงไม่กี่คน ที่เลิกเรียนแต่หัววันนั่งเสียบหูฟังและจ้องอยู่ต่อหน้าโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนของตัวเอง 

ท่ามกลางเสียงเรียกอันลั่นดังไปทั้งคุ้มและเสียงแม่ที่มาจ้องหน้าด่าแพร่งให้ลูกช่วยไปดูความโกลาหลที่เกิดขึ้นภายในคุ้ม บักหนุ่มน้อย ปวช. ทุกคนยังโอ้เอ้  ถอดหูฟังและวางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด 

“ไผสิตายห่าตายโหงมายากหยังนำข้อยหวะ” หนุ่มในชุดเสื้อช็อปสีน้ำตาลลิ่วไปยังจุดเกิดเหตุ เขาพบเพื่อนที่เพิ่งเลิกเรียนกลับมาพร้อมกัน แล้วต่างยิ้มหัวให้กันอย่างบูดเบื่อ เมื่อไปถึงสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น นางเจียวยังคงชักดิ้นชักงอเหมือนมนุษย์ที่ถูกดูดเลือดแล้วกำลังจะกลายเป็นซอมบี้ ร่างสัดทัดอ้วนกลมคล้ายไหปลาแดก หมุนแถกไถดิ้นรนอย่างสุดทรมาน เส้นผมหยาบกร้านของหญิงลูกสองวัยสามสิบต้นๆ เขลอะไปด้วยฝุ่นดินลูกรังแดงเถือก ผ้าซิ่นที่สวมใส่กำลังจะหลุดลุ่ย ชายด้านหนึ่งเลื่อนร่นไปถึงตาตุ่ม อีกด้านย่นไปถึงตีนนม เสื้อสีม่วงสกรีนภาพดารายับยู่ยี่ ใบหน้านักแสดงที่เคยเป็นทั้งนางเอกและนางร้ายแดงแจ๋ไปกับดินลูกรัง ไทบ้านทั้งหญิงชายผู้เฒ่าผู้แก่ทยอยมามากหน้าขึ้นเรื่อยๆ พวกที่รุมล้อมอยู่ยังคงเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปจับตัวนางให้ลุกขึ้นมาอีก ทั้งมือทั้งตีนของนางเจียวยังคงกวัดแกว่งปัดป่ายไปทั่ว ทุกจังหวะวาดมือวาดตีน ตาของนางจะเหลือกลานเหมือนคนถูกบีบคอ และทุกครั้งที่ป่ายขาผ้าซิ่นจะเผยวาบๆ ให้ทุกคนที่รุมล้อมอยู่เห็นกางเกงในสีดำที่ขอบยางเริ่มปริเป็นที่อุจาดตา ผู้รุมล้อมทั้งหลายมีสีหน้าที่หวั่นวิตกด้วยว่านางเจียวไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน หลายคนออกปากถามหาผู้เป็นผัว เมียจะตายห่าอยู่แล้วไยมันไม่ยอมโผล่หัวมาอีก ใครมีเบอร์โทรผัวมันบ้าง มันไปก่อสร้างกับใครบ้านไหน หลายคนล้วงโทรศัพท์มือถือรุ่นทนทานซัมซุงฮีโร่ของตัวเองออกมา กดหาเบอร์กันจ้าละหวั่น สักพักมีคนโทรติด บอกกับปลายสายว่า รีบมาไวๆ บัดนี้อีเจียวเมียมึงบ่รู้เป็นไร กินตำเมี่ยงข่าอยู่ดีๆ ก็หัวสักกีเทียมลงแคร่ ไผเข้าใกล้ก็บ่ได้ ตีนมันข่วงตำปากตำแอวเขาจนล้มกลิ้งล้มหงายกันหมด นางคนนั้นวางสาย บอกใครๆ ว่าผัวของนางเจียวกำลังเร่งมา หลายคนในวงล้อมพยายามหาจังหวะเข้าชาร์จและจับนางให้ลุกขึ้น หนุ่มนักศึกษาทั้งสามยืนเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก บางขณะแกล้งผลักกันเข้าใส่แล้วหัวเราะคิกคัก ครู่ต่อมานางเจียวดีดตัวผึงลุกนั่ง ผมเผ้าฟูฟ่องตาขวางเหมือนจะฉีกเนื้อคนรอบข้าง ทำเอาคนที่มุงอยู่ผงะหงายเงิบอย่างตกอกตกใจ ถอยออกไปเป็นแนว 

“กูว่าปอบเข้า ถ้าเป็นแบบนี้” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น หลายคนผงกหัวเห็นด้วย แต่หลายคนยังชั่งใจอยู่ 

“ปอบจั่งใด๋ มันตายแต่ปีก่อนพู้น” อีกคนแย้งขึ้นมา 

สายตาทุกคนมองไปที่ผู้แย้ง แล้วชายชราคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ปอบเชื้อตายบ่เป็นดอกหำ มีแต่สิหนักเมือหน้า กลายเป็นห่าก้อมพู้นแหล่ว” 

ยินอย่างนั้นทุกคนต่างขนลุกเกรียว ถอยฉากออกจากวงล้อมเป็นพัลวัน ด้วยใครๆ ต่างรู้ดีว่า ห่าก้อมนั้นอำมหิตกว่าปอบเป็นทบเท่าพันทวี ปอบนั้นเป็นแต่เพียงวิญญาณชั่วร้าย ที่แฝงอยู่กับผู้ละเมิดข้อห้ามของครูบาอาจารย์สำหรับผู้เรียนไสยเวทย์มนต์ดำหรือไสยศาสตร์วิชาอันว่าด้วยคาถาอาคมในหมวดแห่งพราหมณ์ ขณะที่ห่าก้อมคือปอบที่สิงกินวิญญาณคนจนตายมามากรายแล้ว ทั้งตายทางดิบหรือนั่งๆ ยืนๆ อยู่ก็ขาดใจตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ เรียกว่าห่าก้อมตำตายและตายแบบป่วยโซซ้ำซาก การป่วยดังกล่าวทุกครั้งที่มีอาการจะเหมือนกับนางเจียวในขณะนี้คือ มีอสุรกายเช่นห่าก้อมมาสิงร่างให้อยู่ไม่สุข กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีป่องมีรูให้วิญญาณชั่วร้ายนี้เทียวล้วงกินขวัญไคลอายคีง ตับไตไส้พุงได้ตลอดเวลา จนที่สุดต้องตายไป 

ห่าก้อมเกิดได้ในสองกรณี อย่างแรก เกิดจากปอบเชื้อคือ มีคนเป็นห่าก้อมมาแต่บรรพบุรุษ แล้วขี่อยู่บนขวัญไคลอายคีงของเชื้อสายวงศ์วานสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น เป็นอมตะไม่มีวันดับสลาย อีกกรณีคือ ปอบที่เป็นใหม่ วิญญาณชั่วร้ายที่แฝงอยู่กับคนที่เป็นนั้นเข็ดเฮี้ยน สิงกินขวัญคนจนตายมากมายหลายราย โดยผู้เป็นปอบนี้ไม่รู้ตัว จนกว่าจะถูกหมอธรรมที่มีอาคมแก่กล้ามาขับไล่ บังคับข่มขู่ให้คนป่วยออกปากว่าเจ้าของวิญญาณชั่วร้ายนั้นเป็นใครและปอบดังกล่าวนี้จะกลายพันธุ์เป็นปอบเชื้อ กระทั่งมีฤทธิ์แก่กล้าเป็นห่าก้อมสืบทอดต่อๆ กันไปไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับพวกแรก หลายคนที่อยู่รายรอบเริ่มใจคอไม่ค่อยดี เนื่องจากในดงบงมีการตายในลักษณะห่าก้อมตำมาแล้วมากคน พวกเขาหน้าหล่าตาละห้อยอย่างหวาดกลัวจะมีก็แต่ผู้บ่าวผู้ส่ำน้อยนักศึกษาสามคนนั่นแหละที่ไม่นึกขยาดหวาดกลัวเรื่องนี้แม้แต่น้อย ทั้งยังหัวเราะลั่นขึ้นหลังจากได้ยินผู้เฒ่ากล่าว

“บักใด๋มันหัวเราะกู” นางเจียวเงยหน้าขึ้นมองผู้คนที่ห้อมล้อมตนอยู่ “บักขี้ข้าสามคนนี่ มึงบ่ฮู้จักผู้ใหญ่ไม้สูง กูสิหักคอมึง” ว่าพลางชี้นิ้วสั่นเทาไปยังผู้บ่าวนักศึกษาทั้งสาม หนุ่มน้อยเหล่านั้นจ้องหน้านางด้วยอารมณ์ขัน

“ไผผู้ใหญ่ไม้สูง เจ้าเกิดก่อนข้อยบ่กี่ปี” หนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้น

“แม่นแล้ว” อีกคนหนุน 

“มึงฮู้จักบ่ กูเป็นไผ” นางเจียวกล่าวเสียงแค่นดุ หอบหายใจฟืดฟาดรุนแรง

“ไผสิบ่ฮู้ เจ้าคือเอื้อยเจียว” หนุ่มอีกคนพูดขึ้น นางเจียวหัวเราะลั่น สะบัดหัวไปมา  ไล่สาย

ตามองหน้าคนทุกคนที่อยู่รายรอบ สีหน้าของนางปรับเปลี่ยนเหมือนกะปอมเปลี่ยนสี ทั้งเบะเบื่อยจะร้องไห้ ทั้งยิ้มร่าเหมือนผีบ้าในโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์

“บ่แม่น กูบ่แม่นอีเจียว” นางเจียวหยุดชะงักชั่วครู่ แล้วยกบ่ายมือไปมา “เอ้อ แม่น ๆ กูคืออีเจียว ไสหละบักป้อมผัวกูมันไปไส หรือว่าสามคนนี่แม่นบ่คือผัวกู” ว่าแล้วนางเจียวก็ฉายยิ้มกวักมือไหวๆ จ้องไปที่เด็กหนุ่มทั้งสามคน ทำเอาหนุ่มนักศึกษาใจคอไม่สู้ดีขึ้นมาทันที

“ป๊ะเฮย เมือเซิงกันเฮา” นางเจียวทำจะลุกขึ้นแต่สภาพอิดโรยทำให้นางยันกายไม่ไหว เด็กหนุ่มทั้งสามถึงกับถอยกรูดออกไปรอบนอก เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น

“เฮ๊ย ยะ! ตายบ่มึง เว้าเล่นเข้าตี้กับห่าก้อม” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

หนุ่มนักศึกษาทั้งสามเลี่ยงออกมาล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป แต่ละคนต่างก็โพสต์ข้อความ

ตามความเข้าใจของตนเองลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวอย่างสนุก นางเจียวยังคงต่อล้อต่อเถียงกับใครอื่นอีกหลายคน แต่ยังไม่มีวี่แววว่าผัวนางจะโผล่มาสักที ตะวันคล้อยดวงต่ำลงเรื่อยๆ ญาติที่เฝ้าอยู่ลาไปนึ่งข้าวเผาปลากันบ้างแล้ว เหลือผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่เฝ้ามองสถานการณ์กันอยู่ และพยายามจะเข้าไปเช็ดหน้าเช็ดตาให้นาง ทว่านางไม่ยอมให้เข้าใกล้แม้แต่คนเดียว บอกว่าใครขืนเข้ามานางจะหักคอจกกินตับไตไส้พุงให้หมด หลายคนพูดถึงหมอธรรมที่จะช่วยไล่ห่าก้อมออกจากนาง แต่ดงบงขณะนี้ไม่มีใครที่มีวิชาอาคมที่เก่งกล้าจะเคยมีก็แต่นายหวันผู้ใหญ่บ้านคนก่อน ที่ถูกไทบ้านกลุ่มหนึ่งขับไล่ให้ไปอยู่นาโคกไกล เพราะหาว่าเป็นห่าก้อม ทำให้ไม่มีใครกล้าไปเชิญตัวแกมา เนื่องจากกลัวจะถูกไทบ้านที่ขับไล่ต่อต้านและกลัวหมอธรรมอีกครัวหนึ่งที่ยืนหยัดรักษาไทบ้านมาเนิ่นนานตั้งแต่ก่อตั้งหมู่บ้านจับตัว ซึ่งคนเหล่านี้เป็นหมอธรรมเก่าแก่ในดงบง แต่ไม่เคยปัวใครให้หาย หมอธรรมครัวดังกล่าวรักษาคนป่วยเหมือนพยายามเลี้ยงไข้ไม่ให้หายขาด เพราะเป็นสิงห์ใหญ่มานานใครขวางไม่ได้ อีกอย่างคือยิ่งรักษา ยิ่งมีคนป่วยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีใครกล้าให้คนพวกนี้รักษาอีกและมีความเชื่อกันว่า คนเหล่านี้คือ ตัวห่าก้อมประเภทชงเองกินเองด้วยซ้ำไป    

หนึ่งทุ่มตรงบักป้อมผัวนางเจียวก็มาถึง จูงรถอีฮ่างสัปปะรังเคบ่นมาตามทางว่ารถยางแตก พอเห็นผัว นางเจียวตัวสั่นเทิ้มขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ดีดดิ้นทุรนทุรายอย่างหนัก กลิ้งเกลือกไปตามดินลูกรังถมที่ ที่จะมีการปลูกเรือนใหม่จนทั้งร่างมอมแมมเหมือนหมาถึกฟัดกันฤดูติดสัด บักป้อมยืนมองตาค้างชั่วขณะ ก่อนจะไล่ตะครุบเมียอุตลุด แต่ทำอย่างไรก็จับนางเจียวไม่อยู่ จนต้องเรียกเพื่อนที่ไปทำงานก่อสร้างด้วยกันมาช่วย เมื่อชายกลางคนร่างกำยำล่ำสันเข้าล็อกตัว เพียงไม่นานนางเจียวก็สิ้นฤทธิ์ ตัวอ่อนปวกเปียก เผยอปากวาบๆ ถามหาน้ำ แต่พอมีคนตักน้ำมายื่นให้ นางก็ปัดทิ้งจนน้ำในขันสาดกระจายไปทั่ว หลังจากนั้นก็ครางโอดโอยขึ้นอย่างเจ็บปวด บ่นว่าร้อนรนไปทั้งเนื้อตัวราวกับถูกใครเอาเหล็กเผาไฟร้อนๆ มายัดไว้ในท้องน้อย นางกดไปที่สะดือของตน แล้วแหกปากลั่นไปทั้งหมู่บ้าน จนไทบ้านที่กลับไปกินข้าวกินปลาแห่กลับรุมล้อมอีกครั้ง  

“เอาเยี่ยวให้มันกินลองเบิ่ง เผื่อสิดีขึ้น” ผู้เฒ่าคนเดิมบอกกับบักป้อมผู้เป็นผัว ตามความเชื่อมาแต่โบราณว่า เยี่ยวอาจช่วยคนที่มีอาการป่วยในลักษณะนี้ได้ บักป้อมยืนเงอะงะชั่วครู่ก่อนตัดสินรูดซิบกางเกงเบ่งเยี่ยวถั่งจ๊ากๆ ลงในขันจนเกือบเต็ม

เสร็จสรรพมันสั่งพรรคพวกจับเมียตนไว้ให้แน่น แล้วบักป้อมก็บีบกรามนางเจียวง้างให้อ้าปากผู้เป็นเมียพยายามดิ้นรนขัดขืนสุดฤทธิ์สุดเดช แต่ไม่สามารถขัดขืนพลังกำลังชายร่างกำยำห้าหกคนได้ บักป้อมจับคางยกให้หน้าเมียเชิดแหงนปากอ้า แล้วเทเยี่ยวสีชาเป็นฟองขาวใส่ปากนาง น้ำเยี่ยวสดใหม่อุ่นๆ ไหลอาบปากอาบคอคนป่วยที่กำลังดิ้นรนขัดขืนสุดเหยียด นางสะอึกสำลักขลุกขลัก ทั้งกลืนลงลำคอ ทั้งคายออกมาอย่างละเท่าๆ กัน เมื่อเยี่ยวหมดจากขัน ทุกคนปล่อยนางเป็นอิสระ พอพ้นพันธนาการจากเพื่อนงานก่อสร้างของผัว นางเจียวถึงกับอ่อนระโหยโรยแรงฟุบลงกับพื้นดินลูกรัง พ่นลมหายใจอย่างระทดระทวย ครางฮือๆ ในลำคอ สะอึกสะอื้นขี้มูกน้ำลายเลอะปากเปื้อนแก้ม สองมือสั่นเทาปิดหน้าปิดตาบ่นย้ำคำเดิมอยู่แต่ว่า “กูอายคน กูอายคน” แล้วก็ร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่ชวนเวทนาแก่ไทบ้านที่มุงดูอยู่ตรงนั้น

ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด เรือนญาติหลังเดิมสว่างเรืองรองด้วยแสงนีออน ผู้คนทั้งหมู่บ้านยังแน่น

ขนัดลานดินที่จะปลูกเรือนใหม่ นางเจียวนอนแอ้งแม้งหมดเรี่ยวแรงอยู่กลางวง  อาการของนางยังทรงๆ ไม่รู้จะคลั่งบ้า อาละวาดขึ้นมาอีกตอนไหน ผู้หลักผู้ใหญ่ภายในหมู่บ้านปรึกษากันสีหน้าก่ำดำคร่ำเครียด หากปล่อยนางไว้แบบนี้คงไม่พ้นเงื้อมมืออำมหิตของห่าก้อมเป็นแน่ พวกเขาออกความคิดเห็นว่า น่าจะไปร้องขอนางบัวผัน ผู้ที่เคยเรียนคาถาอาคม มาช่วยนางเจียวก่อนที่อาการจะหนักมากไปกว่านี้ พอได้ยินชื่อนางบัวผัน พลันเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในหมู่ไทบ้าน คนในหมู่บ้านรู้จักนางบัวผันซึ่งเป็นเจ้าของร้านชำ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางเคยเรียนคาถาอาคม จึงเป็นที่ตื่นเต้นกันยกใหญ่ พอผู้เฒ่าคนหนึ่งสาธยายความเป็นมาของหญิงคนนี้ละเอียดขึ้น ก็เริ่มมีคนเห็นด้วยและเห็นพ้องต้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อแต่ละคนนึกได้ว่า นางบัวผันก็คือน้องสาวคนเล็กของผู้ใหญ่หวัน ยิ่งเกิดเสียงสนับสนุนอื้ออึงขึ้นลั่นลานดินที่จะปลูกเรือนใหม่ แต่สักพักใครคนหนึ่งก็กระแทกเสียงดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน สีหน้าของเขาค่อนข้างขึ้งโกรธและขุ่นเคืองไทบ้านเป็นอย่างยิ่ง

“เป็นไปบ่ได้ ไผสิไปเอาซุมห่าก้อมมาปัวไทบ้านอีกบ่ได้เป็นเด็ดขาด กูบ่ยอม” ชายดังกล่าวพูด

“ไผคือห่าก้อม มึงคือปากหมาแท้บักเดช” บุญศรี นายฮ้อยประจำหมู่บ้านพูดขึ้น

“บักหวัน นั่นเด้ เจ้าคาแต่ซื้องัวขายควายสิฮู้จักหยัง” บักเดชพูด

“โฮ บักห่าหนิเฝือนถืกปรับไหมปาก มึงลบหลู่ฮอดผู้ใหญ่บ้านเก่าเนาะ” บุญศรีไม่สนใจคำพูดของบักเดชอีก เขาหันไปบอกคนหนุ่มกับผู้เฒ่าเร่งไปปลุกนางบัวผันมา ก่อนนางเจียวจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้  

ระหว่างการรอคอยนางบัวผัน ซุมหมอธรรมเก่า นำโดยบักโผนบุตรคนเล็กของตระกูลกับอ้ายน้องอีกหลายคน แหวกกลุ่มไทบ้านเข้ามาร้องขอแกมข่มขู่จะรักษานางเจียวด้วยตัวเอง แต่ญาติไม่ยอม จึงมีการถกเถียงกันเกิดขึ้นและเกิดการตะลุมบอนกัน จนมีการหัวร้างข้างแตกไปหลายราย ซึ่งส่วนมากเป็นญาตินางเจียวที่ใช้มือเปล่าเข้าชกต่อย ขณะบักโผนและญาติต่างมีไม้ตะพดกันครบ

มือ การปะทะกันเป็นไปอย่างดุเดือด ก่อนที่จ่าคำหล้าญาติบักโผน อดีตนายทหารผ่านศึกสงครามเวียดนามวัยแปดสิบสามที่ยังแข็งแรงอยู่จะยิงปืนขึ้นฟ้าทำให้เหตุการณ์สงบลง

เมื่อนางบัวผันเข้ามายังลานสร้างเรือนใหม่ ไทบ้านทั้งหลายปรบมือด้วยความยินดี ขณะนางแหวกผู้คนเข้าไปหานางเจียว ญาติที่มากับบักโผนพูดขึ้นว่า “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ย อีห่านี่แหละ ข้อยเคยเห็นมันไปเฮียนมนต์หีใหญ่กับหมอลำต่อนผีปอบบ้านโสกเชือก” พูดจบกลุ่มของพวกเขาก็หัวเราะกันลั่นอย่างดูถูกเหยียดหยาม ด้วยมนตร์ดังกล่าวเกิดแต่จิตใจที่ผักใฝ่ในกามคุณ เขายังเสริมขึ้นอีกว่า ตบเปะๆ สามทีแล้วจะใหญ่โตอวบอูมขึ้นเท่ากระด้งฝัดข้าว เรียกผู้ชายมาได้ทั้งบ้านทั้งเมืองและมนต์ที่ว่า ก็เป็นอาคมฝ่ายไสยเวทย์มนตร์ดำ สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้ผู้ใช้ต้องกลายเป็นห่าก้อมในที่สุด 

ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยและพูดจาถากถางจากญาติๆ บักโผน นางบัวผันไม่สนใจ นางค่อยๆ นั่งลงข้างๆ นางเจียว จ้องไปที่ใบหน้า ถามด้วยน้ำเสียงไพเราะว่า “เจ้าเจ็บตรงใด๋แหน่ สาวเจียวเอ๊ย” นางเจียวยกมือขึ้นปิดหน้าอีกครั้ง และย้ำแต่คำว่า กูอายคน กูอายคน พร้อมกับสะบัดหัวไปมาจนผมเผ้าฟ่องฟูยุ่งเหยิง เหมือนฟางที่ปลิวออกจากท่อรถสีข้าว นางบัวผันแตะที่ไหล่ของนางเจียว แต่เจ้าตัวปัดมืดของนางออก พร้อมกระแทกเสียงดังลั่นว่า “อย่ามาซูนคีง (แตะต้อง) กู กูบ่แม่นอีเจียว มึงกะเป็นห่าก้อมคือกัน อย่าจับกู” แล้วก็สะอื้นทื่นทวงโอดโอยขึ้นอีกครั้ง 

นางบัวผันพนมมือท่องคาถางึมงำแล้วไปเป่าที่หน้าผากของนางเจียว ทำให้คนป่วยหยุดร้องและมีอาการผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ครู่ต่อมาก็ก้มหน้าเอามือข้างหนึ่งปิดตาตัวเองไว้ แล้วพูดว่า “ข่อยอายคน ปล่อยข่อยไปสา” พร้อมกับส่งเสียงครางฮือๆ ในลำคอ  

“เจ้าอายผู้ใด๋ มีแต่คนบ้านเฮา” นางบัวผันพูด ขณะที่มีคนบ้านอื่นแจมอยู่หลายคน

“อายลูกอายหลาน” นางเจียวกล่าวเสียงเครือ “อายแทนลูกหลาน อายบ้านอายเมือง” 

“ไผคือลูกหลานเจ้า” ใครคนหนึ่งถามแทรกขึ้นกลางหมู่ไทบ้าน เขาถูกป้องปรามจากผู้เฒ่าห้ามรบกวนขณะหมอกำลังรักษา เพราะห่าก้อมอาจโผออกมาตำเอาได้

นางเจียวนิ่งเงียบไปอีกสักพัก ทำให้หลายคนหงุดหงิดกับวิธีการรักษาของนางบัวผันพอควร แต่ทุกคนก็รั้งรอ บางคนนึกได้ว่าการรักษาของหมอธรรมหญิงคนนี้คล้ายกับผู้เป็นอ้ายคือ มีการพูดคุยที่ค่อนข้างอ่อนโยน ไม่โผงผางเร่งแต่จะเอาไม้แส้ฟาดตี เอาเข็มทิ่มหรือเอาก้อนหินบีบหัวแม่เท้าคนป่วยให้ออกปากว่าเป็นห่าก้อมผู้แฝงใคร แล้วจัดการด้วยคาถาอาคมเหมือนครัวบักโผน ซึ่งทรมานมาก นางบัวผันพยายามถามไถ่คนป่วยอย่างสุภาพตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่นางจ้องหน้าซักไซ้ไล่เลียง คนป่วยก็จะตะคอกใส่นางอย่างดุร้าย บางครั้งก็พ่นน้ำลายไปทั่วเหมือนงูเห่า มือของนางเจียวนั้นไม่อยู่นิ่ง ตะกุยดินครืดๆ จนเลือดไหลซิบ ฉับพลันก็เปลี่ยนอิริยาบถมาปิดหน้าปิดตาตนเองอีก

“เจ้าเป็นผู้ใด๋ ถ้าบ่แม่นสาวเจียว” นางบัวผันถามพร้อมกับยื่นขันน้ำมนต์ให้คนป่วยและนางเจียวเองก็รับมาดื่มอย่างว่าง่าย พอได้ดื่มน้ำมนต์ คนป่วยเริ่มมีอาการชักกระตุก ตาเหลือกลานขึ้นอีกครั้งแล้วกลับมานิ่งอยู่ในท่านั่งขาเหยียดตึงไปข้างหน้าศีรษะนางสั่นยิกๆ เหมือนงัวโดนทุบหัวด้วยสันจอบ ต่อมาก็ดิ้นพล่านร้องไห้โฮขึ้น บอกว่าให้ไล่คนพวกนี้ไปให้หมด แล้วจะบอกว่าตนเป็นใครทุกคนต่างถอยกรูออกไปจากวงล้อมสักสี่ห้าก้าว แล้วเฝ้าลุ้นรอฟังห่าก้อมเปิดปากอย่างใจจดใจจ่อคำพูดกูอายคน กูอายคน ยังย้ำขึ้นมาเป็นห้วงๆ สักพักคนไข้ก็หัวเราะลั่นขึ้นกลางลาน แล้วตะโกนเสียงดังลั่นไปทั้งบ้านดงบง

“กูคือซาบัวริน ฮ่าๆๆ กู คือ ซาบัวริน” ไทบ้านที่ล้อมมุงดูอยู่ต่างครางฮือเสียงขรม ผู้เฒ่าผู้แก่หันมองกันเลิ่กลั่ก หลายคนในที่แห่งนี้รู้จักและจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ผู้ที่นางเจียวออกปากว่าตัวเองกำลังเป็นอยู่นั้น มีปูมหลังเช่นไรขณะที่มีบางคนไม่รู้จัก เพราะพวกเขามาเป็นแค่เขยสู่หรือสะใภ้สู่ ย้ายมาอยู่ในดงบงหลังจากซาบัวรินตายแล้ว ขณะที่คนวัยกลางคนรวมไปถึงคนหนุ่มสาวเคยได้ยินชื่อนี้จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่มาบ้าง ส่วนเด็กและหนุ่มสาวนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพนั้นไม่มีใครรู้จักเลย ทำให้พวกเขาต่างหันมองหน้าไถ่ถามกันอย่างฉงนฉงาย หลายปีที่ผ่านมา ขณะมีการไล่ปอบหรือห่าก้อมนั้น พวกวิญญาณชั่วร้ายที่แฝงอยู่ในร่างคนป่วย มักโกหกพกลมขายหน้าคนอื่น ที่ทั้งเป็นจริงบ้างไม่เป็นจริงบ้าง แต่เหตุการณ์ล่าสุดที่มีการตายทางดิบเกิดขึ้น อันเป็นการตายที่เกิดแต่ห่าก้อมตำ ทำให้พ่อของผู้ที่ตายโกรธแค้นอย่างหนัก เขาเอาไข่เสี่ยงทายจุดที่จะเผาศพลูกไปทาหน้ากองเพล เชื่อว่าเมื่อพระตีกลองจะทำให้ห่าก้อมที่สิงร่างกินขวัญคนอยู่พูดความจริง ออกปากว่าตนเป็นใคร และเมื่อนางเจียวออกปากเช่นนี้ ทำให้ไทบ้านหลายคนปักใจเชื่อเป็นแม่นมั่นว่านางไม่ได้โป้ปดมดเท็จแน่นอน   

“อีชาติชั่ว มึงคือสารเลวแท้ มึงขายหน้าโคตรเหง้ากู มึงเป็นไผ กูสิฟันง่ามหน้ามึงเดี๋ยวนี้” บักโผนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พยายามจะแหวกผู้คนเข้ามาทำร้ายคนป่วย แต่ถูกไทบ้านห้ามเอาไว้

“ฟังก่อนท้าวโผน อย่าฟ่าวใจฮ้อน ฟังนางเว้าอีกก่อน” ผู้เฒ่าคนเดิมกล่าว 

“มึงถามมันดี ๆ เด้อ อีบัวผัน บ่ซั่นกูสิเตะโฮมกัน เทิงหมอเทิงคนป่วยเดี๋ยวนี้” บักโผนหงุดหงิดนั่งลงกลางวง 

“กูคือซาบัวริน พ่อกูชื่อซาทิพผะฮด ผู้ก่อตั้งหมู่บ้านดงบง กูเว้าความจริง อยู่นี่กูใหญ่กว่าไผทั้งสิ้น สูจำไว้ กูอยากกินไผกูกะสิกิน ฮ่าๆๆๆ พวกสูมันซุมขี้ข้า กูสิจกกินตับไตไส้พุงพวกมึงให้เหมิด” นางเจียวหัวเราะลั่นแล้วทำท่าเหมือนกำลังจับง้าวคู่ในมือ อันเป็นท่าต่อสู้ของนักรบโบราณ เพราะซาบัวรินเคยเป็นข้ารับใช้ของพระเกษมสำราญรัฐ อดีตเจ้านายผู้ปกครองเมืองเขมราฐธานี

“อีโคตรแม่มึงเอ๊ย มึงบ่อยากตายดีเด้อแบบนี้ มึงถือดีหยังมาขายหน้าทวดกูแบบนี้ ความจริงแล้วมึงคือบักหวันแม่นบ่” บักโผนลุกขึ้นชี้หน้านางเจียว 

“ฮ่วย! เว้าดีๆ เด้อบักโผน มึงลามไปฮอดเพิ่นหยัง เพิ่นบ่ได้เกี่ยวอีหยังกับเรื่องมื้อนี้” นายฮ้อยบุญศรีเริ่มไม่พอใจ เขากับลูกน้องสองสามคนยืนขึ้น 

“ข้อยสิเว้า เจ้าอย่าเสือก อ้ายบุญศรี เจ้าก็พอปานกันกับคนซุมนี้นั่นหละ” บักโผนหันมาทางนายฮ้อย ญาติๆ ของมันลุกตาม “ปากเกลี้ยงเว้าหมื่น หลอกตั๋วเอาแต่งัวควายไทบ้าน”

“เฮ๊ย พวกมึงทั้งเหมิดนั่งลง อย่ายืนกวมหัวกู” จ่าคำหล้ากล่าวเสียงดุทำให้ทั้งกลุ่มของนายฮ้อยบุญศรีและกลุ่มของบักโผนจำใจต้องนั่งลง

ครู่ต่อมา นางเจียวก็ออกปากว่าตนคือซาบัวรินอีกหลายครั้ง และทุกครั้งบักโผนก็จะลุกขึ้นต่อว่ารุนแรงและหยาบคาย นางเจียวพูดถึงซาบัวรินละเอียดยิบว่าเคยตำใครที่ไหนมาบ้าง แฝงอยู่กับลูกหลานคนใดบ้าง จนกระทั่งเวลานี้แฝงตัวเองอยู่กับบักโผน ทำให้เจ้าตัวไม่พอใจมากขึ้นอีก และเกิดมีการตะลุมบอนกันขึ้นอย่างดุเดือด มีไทบ้านถูกแทงเลือดอาบ แต่ไม่มีใครสนใจจับคนแทง 

วันต่อมา นางเจียวได้รับการรักษาจนอาการดีขึ้นพอรู้ความคน แต่ยังไม่หายขาด นางบัวผันยังเทียวรักษาคนป่วยนานๆ ครั้ง วันหนึ่งนางหมอธรรมบอกว่าอาการของนางเจียวแย่มาก ลำพังวิชาอาคมของตนที่มีอยู่ไม่แก่กล้าพอ ปรึกษาไทบ้านว่า น่าจะไปขอร้องอ้ายของตนมาช่วยเหลืออีกแรง เผื่อนางเจียวจะหายขาดจากโรคที่เป็นอยู่ แต่บัวผันเพียงแค่ปรึกษาไทบ้านยังไม่ได้มีใครไปตามอ้ายของนางมาด้วยซ้ำ ไทบ้านฝ่ายญาติพี่น้องบักโผนก็มารุมด่านางถึงเรือน ส่วนบักโผนแค้นสุดเหยียด ตกค่ำคืนมันจึงตัดสินใจทำพิธีกรรมไหว้ผีบรรพบุรุษและปลุกเสกวิญญาณชั่วร้ายขึ้น เพื่อต่อสู้กับบักหวันและไทบ้านทั้งหลายที่ไม่ยอมให้พวกมันรักษาอาการป่วยไข้ของนางเจียวและใครอื่นอีก

ภายในห้องเรือนเกยโบราณประยุกต์ บักโผนกับญาติพี่น้องทั่วหน้าทั่วตา รวมทั้งจ่าคำหล้า ผู้อยู่เคียงข้างและบางคราวเป็นหอกข้างแคร่ของสายวงศ์หน่อเนื้อซาทิพผะฮดตลอดมา พากันนั่งทำสมาธิอย่างสงบ บักโผนหัวหน้าผู้ทำพิธีกรรม นั่งหันหน้าให้โต๊ะเครื่องเคาไสยเวทย์มนต์ดำบนโต๊ะมีรูปปั้นควายธนูนับร้อยๆ ตัวเรียงราย ถัดไปเป็นพานซึ่งบรรจุใบมะขามที่รูดออกจากก้านแล้วจำนวนมาก ต่อหน้าบักโผนมีเขื่องหนึ่งใบบรรจุน้ำมนต์พอประมาณ และมีด้ายสายสิญจน์คล้องโยงไปยังโต๊ะเบื้องหน้า ซึ่งเหนือสุดมีกะโหลกมนุษย์วางอยู่ โดยมีเทียนไขจุดไฟสว่างวามตั้งอยู่บนหัว

บรรยากาศสงบเงียบ บักโผนนั่งขัดสมาธิพนมมือ บริกรรมคาถาแล้วจุดเทียนเวียนหัวคาคีง หยดน้ำตาเทียนลงในเขื่องดังฉ่าๆ เป่าคาถาลงในเขื่องน้ำมนต์สามครั้ง ล้วงมีดหมอออกจากย่ามที่วางอยู่ข้างตัว เฉือนฝ่ามือตนเองพอเป็นแผล แล้วหยดเลือดสีแดงสดลงในเขื่อง ดับเทียนเวียนหัวคาคีง แล้วส่งสัญญาณเรียกให้ญาติทุกคนทยอยมาเฉือนเอาเลือดเหล่าเชื้อวงศ์วาน หยดลงในเขื่องน้ำมนต์  พวกเขาทยอยเข้ามาด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ ท่าทางตั้งใจยิ่ง ทว่าภายในจิตใจทุกคนสุมรุมด้วยความโกรธแค้นชิงชังและอาฆาตบักหวันกับน้องสาวมันจนไม่อยากอยู่ร่วมภพร่วมชาติกันอีกต่อไป

เมื่อจ่าคำหล้าเฉือนเป็นคนสุดท้ายเสร็จสรรพ บักโผนยกเขื่องวางต่อหน้าตนอีกครั้ง บริกรรมคาถา จุ่มมัดหญ้าคาลงไปในเขื่อง แล้วสะบัดใส่รูปปั้นควายธนูที่เรียงรายบนโต๊ะจนทั่ว จับรูปปั้นทีละตัวเป่าเวทย์มนต์แล้วโยนไปทางหน้าต่าง เมื่อรูปปั้นลงอาคมตกตุบลงดิน กลายเป็นควายธนูตัวใหญ่เขาโค้งยาวเสี้ยมแหลม ยืนจังก้าเหนือลานดินเรือนทรงเกยประยุกต์ท่าทีดุร้ายเหี้ยมเกรียม บักโผนเสกแล้วโยนลงเรื่อยๆ จนรูปปั้นเหล่านั้นหมดจากโต๊ะ ควายธนูนับร้อยๆ ตัวเดินพล่านเต็มลานดิน เหวี่ยงหัวเสยเขา กลีบเล็บตีนตะกุยดินอยู่ครืด ๆ อยากออกไล่ล่าอย่างเต็มที่ 

ต่อมาบักโผนยกพานใบมะขามวางต่อหน้า ตักน้ำมนต์ในเขื่องพ่นใส่ใบมะขามจนเปียกชุ่ม บริกรรมคาถาอีกรอบ พนมมือแล้วเป่าเพี้ยง ใบมะขามทั้งหมดกลายเป็นผึ้ง ต่อ แตน จำนวนมหาศาล โผออกทางหน้าต่าง บินวนเวียนหึ่งๆ อยู่เหนือแนวลานดินสูงจากที่ควายธนูรวมฝูงกันอยู่ไม่ถึงช่วงแขน 

หลังจากนั้น บักโผนก็ล้วงครั่งออกจากถุงย่าม ครั่งอันนี้เจ้าตัวนำติดตัวไปด้วยตลอดเวลา มันเป็นครั่งอันศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูล ดังนั้นจึงทรงคุณค่ากับการต่อสู้ครั้งนี้ที่สุด บักโผนเป่ามนต์เพียงครั้งเดียวแล้วโยนของวิเศษอันสุดท้ายลงไปทางหน้าต่างตามควายธนูและผึ้ง ต่อ แตน ครั่งตกลงดินกลายเป็นหมาดำตัวใหญ่ ส่งเสียงเห่ากระโชกกังวานดุร้ายและเปล่งหอนลึกลับน่าขยาดหวาดกลัว สะท้านลึกลงสู่ก้นบึ้งจิตใจผู้ได้ยิน

“ไปพวกมึง ออกไปเฮ็ดเวียกเฮ็ดงานให้สมคุณข้าวคุณน้ำที่กูเลี้ยงเกือพวกสูมา” บักโผนประกาศสั่งเสียงดังลั่น แล้วปล่อยผีนกแก่นแกจำนวนมากติดตามขบวนไป เพื่อสังเกตการณ์และแจ้งข่าว 

การต่อสู้ครั้งนี้มีหมาดำเป็นจ่าฝูง มันเดินนำหน้าขบวน ส่งเสียงเห่าหอนไปตามถนนในหมู่บ้าน โดยสั่งให้ควายธนูคอยขวิดตำรั้วรอบขอบชิดของไทบ้านจนฉิบหายวายวอดไปทั้งหมู่บ้าน 

หมาดำเห่าหอนเป็นเสียงสูงต่ำกังวานดุร้าย ตกค่ำคืนดวงตาของมันเถือกแดงเป็นลูกไฟ เห่าแต่ละที เกิดน้ำลายพิษปลิวกระจัดกระจายไปทั่วท้องถนน เมื่อไทบ้านโดนเข้าก็มีอาการปวดแสบปวดร้อน เป็นแผลเรื้อรังยากแก่การรักษา บางครั้งหมาดำหอนเป็นเสียงดนตรีไพเราะให้หมู่ผึ้งต่อแตน ชื่นชมยกย่อง บางคราวหมาดำเห่าเป็นเสียงกลองศึกให้เหล่าควายธนูฮึกเหิม ใช้เขาเสี้ยมแหลมโหมถล่มศาลากลางหมู่บ้าน พังพินาศวอดวาย ส่วนผึ้งต่อแตนบินวนหึ่งๆ ไปตามบ้านเรือน  สร้างความรำคาญหนวกหูจนไทบ้านไม่เป็นอันกินอันนอน บัดนี้บ้านดงบงโกลาหลวุ่นวายอย่างหนัก ผู้คนไม่กล้าออกไปทำมาหากิน เพราะกลัวควายธนูไล่ขวิดไส้ทะลัก รวมทั้งหมู่ผึ้ง ต่อ แตน ที่หาจังหวะเข้าต่อยพวกเขาจนแขนขาใบหน้าปูดบวม น่านฟ้าของดงบงจึงอึงอลไปด้วยเสียงผึ้งบินที่อยู่หึ่งๆ ลัดเลาะฉวัดเฉวียน ดักหน้าดักหลังผู้คนแทบจะคลั่ง จนบางครั้งไทบ้านทนรำคาญไม่ไหวฟาดตีผึ้ง ต่อ แตนบินร่วงตกตายไปบ้างก็มี แต่ด้วยความที่มีสัตว์พิษและสัตว์ดุร้ายเต็มถนน ทำให้ไทบ้านมือเปล่าต้านทานไม่ไหว หลายคนแจ้นเข้าไปหานางบัวผันเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วนางก็จนปัญญา ได้แต่บอกพวกเขาให้อดทน อดกลั้นจนถึงที่สุด สักวันหนึ่งเมื่อสัตว์ประหลาดดุร้ายเหล่านี้หมดแรงพวก  มันก็คงจะเลิกราไปเอง

แต่สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่นางบัวผันและไทบ้านคาดหวัง ยิ่งนับวันหมาดำตัวนั้นยิ่งเห่าเสียงดังขึ้น และควายธนูกับฝูงผึ้งต่อแตนก็ดุร้ายขึ้นทุกวัน โดยไม่มีทีท่าว่าทุกอย่างจะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นเลย ขณะที่จ่าคำหล้านั่งหัวเราะหึๆ อย่างพอใจ 

และแล้ววันหนึ่งนายฮ้อยบุญศรีก็ทนไม่ไหว เขาลิ่วไปนาโคกไกลปรึกษานายหวัน แต่นายหวันก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่านั่งจ่มบ่นพุมๆ เพือยๆ อยู่ที่นาโคกไกล สร้างสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่บักโผนได้สร้างขึ้นและเก็บไว้ในสถานที่อันเงียบงัน  เตรียมการรับมือกับเหตุการณ์ที่ยากแก่การคาดเดา ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า  โดยที่ไทบ้านทั้งหมู่บ้านดงบงในขณะนี้จะไม่อาจหยั่งรู้และเข้าใจต่อสถานการณ์ดังกล่าวนั้นเลย

ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน นางเจียวเดินสะเปะสะปะออกจากเรือน นั่งลงกลางถนนที่ขบวนหมาดำกำลังแห่กันมา นางยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเอง แล้วเพ้อพร่ำรำพันแต่คำว่า “กูอายคน กูอายคน”…

ปล. ตัวเอียง นกแก่นแก ภาษาถิ่น แปลว่า นกพิราบ

image_pdfimage_print