ภาพหน้าปกจาก istock.com/urf

ธีร์ อันมัย เรื่อง

ห้าปีแล้ว นับแต่ปี 2006 (2549) ที่ฝนตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน น้ำฝนมีรสเค็มคล้ายน้ำตา คนละแวกนี้เรียกว่า ฝนน้ำตา นั่นยังไม่หนักหนาเท่าพิษภัยจากฝน เพราะหากเปียกฝนน้ำตานานๆ อาจมีอาการเจ็บไข้ ไม่สบาย บางทีอาจหมายถึงชีวิต

ฤทธานุภาพแห่งฝนที่ตกลงมาต่อเนื่องยาวนานสำแดงออกเป็นคราบไคลเกินลบล้าง ตามถนน บนทางเท้า ตึกอาคาร สะพานลอย บ้าน วัด โรงเรียน เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา ป้ายรถเมล์ บนหลังคา ซอกหลืบ หน้าบันได ชั้นมุข รถบรรทุก รถเมล์ รถไฟฟ้า รถส่วนบุคคล จนถึงหน้าต่าง มุ้ง หมอน ห้องนอนส่วนตัว ในครัว ในห้องน้ำ ส่วนในท้องนา ในป่า บนดอย ฝนน้ำตาได้ทำลายพืชผลทางการเกษตร พืชพรรณนานาชนิด ปศุสัตว์น้อยใหญ่ล้มตาย ไม่เพราะพิษฝนก็เป็นเพราะขาดอาหาร 

สามปีหลังมานี้ ฝนตกลงมาตลอดเวลา สาดซัดและแทรกซึมไปทุกอณูของชีวิต จนบางครั้งอดรู้สึกไม่ได้ว่า น้ำตาคือส่วนสำคัญหลักที่หล่อเลี้ยงทุกชีวิตของประเทศนี้ อยู่ในเสื้อผ้า อาหาร เครื่องดื่ม อากาศหายใจ ในที่อยู่อาศัย ในคลื่นโทรศัพท์ แทรกซึมแม้แต่ในสายแลนอินเทอร์เน็ตและผมก็ไม่แน่ใจว่า ทุกวันนี้ องค์กรเภสัชกรรมได้ขึ้นบัญชีให้น้ำตาเป็นส่วนผสมหลักในกรรมวิธีการผลิตยารักษาโรคหรือยัง

เช้าอันเฉอะแฉะและเฉื่อยเนือยของคนตกงานใหม่หมาดอย่างผม นอกจากขลุกตัวในห้องเพื่อมองหางานใหม่ที่แทบเป็นไปไม่ได้ทางเว็บไซต์และหน้าหนังสือพิมพ์เปียกฝนแล้ว ผมยังมีหญิงสาวคนรักที่กำลังเหยียบเส้นชะตากรรมเดียวกัน เสียงเศร้าๆ แทรกสายฝนเช้ามาว่า วันนี้เธอตัดสินใจจะย้ายข้าวของมาอยู่กับผม – ผม ผู้นั่งจ่อมจมกับฝนน้ำตาหน้าจอทีวีข่าวน้ำตา

ข่าวด่วนทางโทรทัศน์เช้านี้ รายงานถึงอันตรายของฝนน้ำตา เมื่อนักข่าวสาวจอมลุยจากทีวีช่องหนึ่งได้รายงานสดจากพื้นที่ชายแดนว่า มหันตภัยฝนน้ำตานั้นได้กัดเซาะขุนเขาและหินผาจนละลายลงสู่แม่น้ำโขง โดยผู้สื่อข่าวสาวรายงานด้วยว่า เหตุการณ์นี้เกิดจากฝนตกหนักติดต่อกันสามวัน จากนั้นคนในพื้นที่ก็โทรศัพท์ร้องทุกข์เข้ามา กว่าหัวหน้าโต๊ะข่าวจะอนุมัติให้เธอและทีมงาน ซึ่งเคยมีประสบการณ์ลงลุยพื้นที่น้ำท่วมใหญ่มาแล้ว ก็กินเวลาไปอีกสองวัน

นักข่าวสาวในชุดเกราะ หมวกนิรภัยแน่นหนา ยืนจังก้าข้างรถโมบายคันใหม่รุ่นล่าสุดกันฝนกรดและฝนน้ำตาได้รายงานข่าว “คุณผู้ชมคะ นี่เป็นวันที่ห้าแล้วที่ฝนน้ำตากระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ตอนนี้ดิฉันยืนอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสองสี อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี หากท่านผู้ชมสังเกตให้ดี ก็จะพบว่า ฝนน้ำตาตกเฉพาะฝั่งไทย ลองมองไปที่ฝั่งเพื่อนบ้านอีกฟากน้ำโขงคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เราก็จะพบว่า ที่นั่นอากาศกำลังเย็นสบาย เพราะเป็นปลายฤดูหนาวในช่วงเวลาปกติ แต่ที่นี่ฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน จากการสำรวจของทีมข่าวเราตลอดสายน้ำโขงจากอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย จนถึงอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เราพบว่า ฝนน้ำตาที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องนั้นได้กัดเซาะภูเขาและหินผาริมแม่น้ำโขงจนละลายลงสู่แม่น้ำ จากการสะสมของตะกอนอย่างต่อเนื่องในช่วงห้าวันที่ผ่านมาทำให้ตะกอนที่ติดกับเกาะแก่งกลางน้ำโขงรวมตัวกันเป็นทำนบขนาดใหญ่คล้ายเขื่อนกั้นน้ำ

ผู้เชี่ยวชาญด้านอุทกศาสตร์แจ้งกับทีมข่าวว่า ภายในสองวันต่อจากนี้ หากฝนน้ำตายังไม่หยุดตก ตลอดแนวน้ำโขงก็จะเกิดทำนบที่เกิดจาฝนน้ำตาสามถึงสี่แห่งโดยประมาณและเมื่อเกิดมีเขื่อนในสภาพที่ฝนเทลงมาอย่างไม่ขาดสายเช่นนี้ เป็นไปได้สูงที่แม่น้ำโขงซึ่งเต็มไปด้วยน้ำตาจะเอ่อทะลักเข้าท่วมฝั่งไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อเรื่องนี้อธิบดีกรมชลประทานของไทยได้เสนอทางออกว่า ต้องทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลลาวเพื่อระเบิดเกาะแก่งที่อยู่กลางลำน้ำโขงเพื่อไม่ให้เกิดทำนบน้ำตาท่วมคนไทย แต่การดำเนินการใดๆ ในแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นแม่น้ำนานาชาตินั้นจะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมของประเทศสมาชิกและกินเวลายาวนาน ซึ่งก็เป็นที่แน่นนอนว่า ภายในสามวันต่อจากนี้ คนหรือประชาชนที่นี่จะต้องเผชิญกับความเสียหายใหญ่หลวง

“คุณผู้ชมคะ ความเสียหายที่จะเกิดกับประชาชนในลุ่มน้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดเลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี รวม 6 จังหวัด จะไร้ที่อยู่อาศัยและเกิดภาวะทุพภิกขภัยหรือขาดแคลนอาหาร นั่นจะเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องขบคิดหาทางแก้ไขเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการเร่งขอความร่วมมือจากนานาประเทศ จากการสัมภาษณ์ประชาชนตามริมฝั่งแม่น้ำโขงก็พบว่า ตลอดช่วงเวลา 5 ปี ที่ฝนน้ำตากระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนนี้ ไม่มีหน่วยงานของรัฐแสดงตัวเพื่อให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด แต่สิ่งที่ทำให้คนลุ่มน้ำโขงสามารถดำรงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็คือ การอาศัยสายใยความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านกับประชาชนในฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเคยไปมาหาสู่กันมาก่อนที่จะมีอุทกภัยน้ำตา คนไทยบางส่วนได้อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เคยเป็นญาติกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายก็ได้ข้ามกลับไปยังฝั่งลาว ทำนาปลูกข้าว ส่งข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงพี่น้องฝั่งไทย บางส่วนก็ใช้วิธีลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อแสวงหาอนาคตใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ดิฉันรายงานอยู่ตอนนี้ กรมอุทกศาสตร์แจ้งมาว่า ขณะนี้น้ำโขงได้เพิ่มระดับสูงขึ้นชั่วโมงละ 3 เซนติเมตร และคาดกันว่า หากฝนไม่หยุดตก คนในแถบลุ่มน้ำโขงจะต้องเผชิญชะตากรรมอันน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งค่ะ คุณกิรติ”

ผู้ประกาศชายในห้องส่งกล่าวขอบคุณเธอ พร้อมนำเสนอประเด็นสืบเนื่องจากเรื่องฝนน้ำตา คราวนี้เป็นภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งได้ค้นพบทางเลือกใหม่หลังจากพิษภัยฝนน้ำตาได้ทำลายป่าบนดอยเหนือลงราบคาบ ระหว่างเกริ่นนำรายการได้นำเสนอแฟ้มภาพเก่าประกอบข่าว เป็นภาพปกาเกอะญอหนุ่มใหญ่ผู้เดินทางไกลด้วยตีนเปล่าจากเชียงใหม่เข้ากรุงเทพมหานครเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชนเพื่อให้คนอยู่กับป่าและจัดการป่า จนในที่สุดร่าง กฎหมายดังกล่าวก็ผ่านสภา เป็นพระราชบัญญัติป่าชุมชนที่คนถูกกันออกจากป่าอย่างสิ้นเชิง 

“เข้าทศวรรษที่สองแล้ว ชะตากรรมของคนรักษาป่าในวันนี้ไม่แตกต่างจากประชาชนในภาคอื่นๆ เพราะฝนน้ำตาที่ตกลงมาตลอดห้าปีนั้นได้ทำลายป่าชุมชนบนดอยที่พวกเขาหวงแหนอย่างไม่เหลือซาก สุดท้าย ชายผู้เคยลั่นวาทะว่า “ข้ารู้ วันหนึ่งข้าจะแพ้” ตัดสินใจจบชีวิตของเขาด้วยการกระโดดหน้าผา ทิ้งร่างลงกลางธารน้ำตาอันเชี่ยวกราก ฝากเพียงความเศร้าและความหวังเรื่องคนอยู่กับป่าให้กับลูกชายคนเดียวของเขาสืบสานเจตนาและจากการประชุมของผู้นำชนเผ่าจากดอยเหนือ ได้มีมติร่วมกันว่า ในภาวะวิกฤตนี้ชายหนุ่มอย่าง ชอ เวพอ ควรได้สานต่ออุดมการณ์ผู้เป็นพ่อเพื่อรักษาวิถีคนกับป่าให้คงอยู่

คุณผู้ชมครับ ความทุกข์เศร้าจากความตายของผู้เป็นพ่อถูกทดแทนด้วยความฉลาดปราดเปรื่องของชอ เวพอ ผู้เป็นลูกชายของเขา ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานในนิคมอุตสาหกรรมและเรือนเพาะชำในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งภาคเหนือ เมื่อเขาต้องรับบทผู้นำชนเผ่าที่ขึ้นชื่อเรื่องการดูแลรักษาป่า เขาก็ไม่ลืมที่จะนำวิชาความรู้ที่ได้จากการทำงานมาประยุกต์ใช้กับดอยที่เขาต้องปกป้อง วันนี้ดอยที่เคยเฉาเคยเศร้าเพราะความตายของป่าไม้ ของคนรักป่า วันนี้ ชอ เวพอ ปลุกฟื้นคืนชีพป่าภาคเหนือด้วยต้นกระดาษ ไม้พันธุ์เดียวในปัจจุบันที่ค้นพบว่า ทนฝนน้ำตาและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่สุด ครับคุณกีรติ”

“ก่อนหกโมงเย็น แวะมารับได้ไหม ฉันอยากอยู่กับคุณ” เสียงจากปลายสายกังวลปนเศร้าสร้อย ผมไม่แน่ใจนักว่า ระหว่างความสัมพันธ์อันง่อนแง่นกับฟ้าฝนอันหม่นทึมนั้น อันไหนเป็นเหตุผลที่ทำให้หญิงสาวไม่อยากอยู่ห้องเช่าของเธอเพียงลำพังอีกต่อไป 

ฝนน้ำตาฝากคราบเหลืองด่างไว้ทั่วมอเตอร์ไซค์คันเก่าของผม หมวกกันน็อกที่ดีที่สุดของผมมีด่างดวงและหน้ากากพร่ามัว เสื้อกันฝนรุ่นล่าสุดที่วางเงินดาวน์เมื่อสัปดาห์ก่อนถูกหยิบมาใช้ 

ถนนเจิ่งนองด้วยน้ำตา ป้ายโฆษณาเกรอะกรัง รถเมล์รุ่นล่าสุดถูกจอดทิ้งร้างข้างทางเท้า รถส่วนบุคคลบุบสลาย ไฟถนนหม่นทะมอ มินิมาร์ทปิดทำการ ปั๊มน้ำมันขึ้นป้ายปิดบริการชั่วคราว ทุกบ้านปิดประตู แสงไฟหรุบหรู่ ผมควบมอเตอร์ไซค์คู่ชีพฝ่าไป สามกิโลเมตรไม่ไกล สายฝนน้ำตาไม่เป็นอุปสรรค คนรักของผมรออยู่ 

แมงเม่าฝูงใหญ่บินสวนมา ตั๊กแตนนับแสนบินตาม คาดจากสายตา พวกมันกำลังมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สักพักนกพิราบ นกแซงแซว นกแตนซิวฝูงใหญ่บินกรูตามมา ผมหยุดรถหน้ารางรถไฟ ราวกั้นค่อยๆ เลื่อน ลง เลื่อน ลง รถ ไฟ กำ ลัง มา

เสียงหวูดโหยครวญราวบาดเจ็บ ไม่นาน รถไฟเก่าคืบคลานฉึกฉักเชื่องช้าตามเสียงหวูดทีละตู้ ๆ ตู้แรกงูเขียว งูสิงห์ งูเห่าแน่นขนัด ตู้สองแกะกับแพะถูกยัดรวมกันโผล่หน้าร้อง แบะแอะแอะแข่งเสียงรถไฟ ผมใช้ถุงมือปัดน้ำฝนที่หน้ากากหมวกกันน็อก ทุกตู้แน่นขนัดไปด้วยสัตว์อพยพหลบภัยเมืองใหญ่ สัตว์น้อยใหญ่ได้ส่งสัญญาณเตือนด้วยแววตาแตกตื่นบนขบวนรถไฟอันเชื่องช้าชั่วกัปกัลป์

ราวกั้นรางรถไฟยกขึ้นอย่างเฉื่อยชา

“อย่าทิ้งฉันไปนะ ฉันจะรอคุณอยู่ที่สถานีรถใต้ดิน รีบมาด่วน” ข้อความทางโทรศัพท์สำทับให้ผมบิดคันเร่ง พลันรถเก๋งสปอร์ตสีขาวพุ่งข้ามเกาะกลางถนนตรงมา ผมผละจากมอเตอร์ไซค์ทิ้งตัวกลิ้งลงข้างทาง รถเก๋งสีขาวลอยคว้างข้ามหัวไป

เหงื่อกาฬทะลัก ผมเหนื่อยหอบจากฝันร้าย ขณะที่ทีวีช่องเดิมมีรายงานข่าวหลังจบรายการซุบซิบคนดังว่า มีข่าวอันน่าเศร้าสะเทือนจากเชียงใหม่ สาเหตุการตายของชอ เวพอ ผู้นำชนเผ่าปกาเกอะญอผู้ที่ได้นำต้นกระดาษไปปกคลุมดอยเหนือให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ผลการชันสูตรเบื้องต้นไม่พบร่องรอยบาดแผล วิชา เวพอ ภรรยาของชอ เวพอ อุ้มลูกชายวัยสามขวบสีหน้าหม่นเศร้าให้สัมภาษณ์เพียงสั้นๆ ถึงการตายของสามีว่า เขาน่าจะเสียชีวิตจากการกรำฝนน้ำตาอย่างหนักระหว่างฟูมฟักดอยสูงให้กลายเป็นดอยกระดาษ ถัดมาทีวียังรายงานข่าวอุทกภัยน้ำตาเพียงแต่เปลี่ยนจากภาคเหนือไปสู่ภาคอีสาน

“คุณกีรติคะ ขณะนี้ดิฉันอยู่ที่ศาลาวัดบ้านนาโพธิ์กลาง อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี วันนี้นับเป็นวันสำคัญของคนในแถบลุ่มแม่น้ำโขง เนื่องจากตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมานั้น ฝนน้ำตาได้นำความเดือดร้อนมาสู่ผู้คนที่นี่อย่างถ้วนหน้า จากการนั่งเฮลิคอปเตอร์สำรวจตลอดพื้นที่ประสบภัยพบว่า ขณะนี้ระดับน้ำตาได้เอ่อท่วมสูงจนจะทำให้สันเขื่อนที่เกิดจากการกัดเซาะของฝนน้ำตาจมหายลงไปในเวลาไม่ช้านี้

ขณะที่ผู้ที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้นำชุมชนจากจังหวัดอุบลราชธานีนั้น คราวนี้จะมีตัวแทนจากบ้านนาโพธิ์กลาง บ้านด่าน บ้านหัวเห่ว บ้านวังสะแบง อำเภอโขงเจียม บ้านทรายมูล อำเภอพิบูลมังสาหาร บ้านสะพือ อำเภอตระการพืชผล คนปลูกข้าวลุ่มน้ำโขง อำเภอเขมราฐ ตัวแทนสมัชชาคนจน สมัชชาเกษตรกรรายย่อยจากอำเภอนาตาล นอกจากนี้ยังมีตัวแทนจากบ้านนาทราย จังหวัดบึงกาฬ จากอำเภอวาริชภูมิ จากอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร บ้านนาบัว อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม

พร้อมทั้งมีพระสงฆ์จากภาคอีสานมาร่วมจำนวนมากทั้งจากขอนแก่น ชัยภูมิ หนองบัวลำภู อุดรธานี นครราชสีมา นอกจากนี้ ผู้ประสานงานการประชุมครั้งนี้ได้นิมนต์ท่านเจ้าอาวาสวัดภู จากแขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมาเป็นองค์ประธานในการประชุมด้วย ทั้งนี้ตัวแทนจัดการประชุมแจ้งกับทีมข่าวของเราว่า ท่านเฝ้าสังเกตการณ์ความเป็นไปของปรากฏการณ์ฝนน้ำตามาตลอดเวลา 5 ปีและท่านพบว่า ทุกอย่างมีที่มาและมีทางแก้จึงเสนอตัวเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในการประชุมครั้งนี้ 

คุณกีรติคะ ขณะนี้การประชุมอันคร่ำเคร่งตลอด 6 ชั่วโมงได้จบลงแล้ว ที่ประชุมได้จัดทำแถลงการณ์ร่วมกันออกมาว่า ฝนน้ำตาที่ตกลงมายาวนานตลอด 5 ปีที่ผ่านมานั้น เกิดจากพระยาแถนเล็งเห็นความผิดแผกบนแผ่นดินนี้ที่มีผู้คนจนทุกข์ท้นล้นแผ่นดิน แต่มีคนเพียงหยิบมือหยิบถือเอาทรัพย์สินกินส่วนต่างอย่างไม่ขัดเขิน เสพสุขบนกองทุกข์อย่างไม่อายฟ้าอายแถน ความคับแค้นของพระยาแถนจึงกลายเป็นฝนน้ำตาแสนห่าที่เทลงมาบนแผ่นดินนี้ตลอดห้าปี และยังจะตกต่อไปอีกราว 10 ปี หากจะมีวิธีแก้ก็คือ การปันส่วนทรัพย์สินของผู้มีอันจะกินกระจายให้ผู้คนบนแผ่นดินได้มีอยู่มีกินเท่าเทียมกัน แต่นั่นน่าจะเป็นวิธีการที่เป็นไปได้ยากยิ่งนัก ดังนั้น มีอีกวิธีหนึ่งคือ การทำพลีกรรมสำหรับบวงสรวงบูชาพระยาแถนด้วยการทำบั้งไฟหมื่นบั้งไฟแสนถวายแถนที่หลักบือบ้าน หรือสะดือบ้าน คือใจกลางของประเทศ 

ในที่สุดแล้ว ที่ประชุมในวันนี้ก็มีมติร่วมกันว่า ในอีกสามวันข้างหน้าตัวแทนคนในลุ่มน้ำโขงฝั่งขวาจะจัดขบวนแห่บั้งไฟขนาดใหญ่ ฝ่าฝนน้ำตาจากหมู่บ้านภาคอีสานเป็นกองคาราวานบั้งไฟมุ่งหน้าสู่ศูนย์กลางของบ้านเมืองคือ กรุงเทพมหานคร ภายในเจ็ดวัน บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน จะถูกจุดเป็นพลีกรรมแก่พระยาแถน เพื่อขจัดปัดเป่าเหตุเภทภัยที่คนไทยกำลังประสบกันอยู่อย่างถ้วนหน้าในขณะนี้ คุณกีรติคะ”

หญิงสาวเข้ามาในห้องนานแล้ว พาดเสื้อคลุมไว้ที่ราวตากผ้าหลังห้อง ลากเป้ใบเขื่องที่เปียกชื้นมาเทลงตรงกลางห้อง เป้ราคาแพงจากห้างหรูกลางใจสยามไม่สามารถกันฝนน้ำตาได้ ซีดีเพลงนับสิบแผ่นเปียกแฉะ หน้าปกเปื่อยยุ่ย หนังสือเล่มโปรดสิบกว่าเล่มของเธอก็ไม่ต่างกัน 

“คุณรู้ไหม ฉันย้ายห้องทุกครั้ง ฉันยกหนังสือ ยกเทป ยกซีดีเพลงให้เพื่อนข้างห้องเสมอ แต่หนังสือพวกนี้ เพลงพวกนี้ ฉันเก็บมันไว้เสมอ คุณดูสิ มันเกิดอะไรขึ้น” ว่าพลางสะอื้นพลางหยิบหนังสือพิมพ์เก่ามาบรรจงฉีกให้มีขนาดกว้างยาวใกล้เคียงกับขนาดหนังสือ แล้วสอดหนังสือพิมพ์นั้นกั้นหน้า “ลูกอีสาน” ที่เปียกแฉะครึ่งเล่มเพื่อซับความชื้นทีละแผ่น ทีละแผ่น จนครบทุกหน้า จากนั้นก็เปิดพัดลมเป่ารอหนังสือแห้ง เธอหยิบ “ฟ้าบ่กั้น” “ฉากและชีวิต” “แผ่นดินอื่น” สามเล่มที่เหลือรอดจากฝนน้ำตามาแนบอก ปาดน้ำตาก่อนปรายตาทอดอาลัยกองหนังสือที่เปื่อยยุ่ยเกินเยียวยา “เพียงความเคลื่อนไหว” “ม้าก้านกล้วย” “นาฏกรรมบนลานกว้าง” “ความสุขของกะทิ” “วิหารที่ว่างเปล่า”และ “การเมืองสมัยพระนารายณ์” ทุกเล่มมีลายเซ็นนักเขียน เธอหยิบหนังสือเปื่อยลงถุงดำ ทีละเล่มๆ รอฝนน้ำตาซาลง ถุงดำอันหนักอึ้งนี้จะไปอยู่ในถังขยะสีเหลืองหน้าแมนชั่น

ผมอยากบอกเธอว่า ฝนน้ำตาเพียงแต่พรากหนังสือบางเล่มและซีดีเพลงบางแผ่นไปจากเธอเท่านั้น ครั้นสำรวจตรวจตราที่ตัวเองเล่า สายฝนแสนห่าพัดพาทั้งการงานและเพื่อนมิตรมากมายไปจากผม แต่ยังดีที่ยังมีเธออยู่ตรงนี้ 

ฝนน้ำตาข้างนอกขังเราไว้ในห้องทึบทึมและซึมเศร้ายาวนาน ข่าวทีวีรายงานการเดินทางไกลของขบวนแห่บั้งไฟจากลุ่มน้ำโขงติดต่อกันหลายวันท่ามกลางทิวแถวให้กำลังใจให้ข้าวให้น้ำตลอดเส้นทางมิตรภาพ และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเขากำหนดนัดที่จุดหมายกลางใจเมือง ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์หลายช่องต้องเช่าห้องพักโรงแรมที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อหลบฝนและรายงานเหตุการณ์คนอีสานสู้ฝนน้ำตา ผมหยุดรีโมตเมื่อเห็นนักข่าวสาวคนเดิมที่ไปสำรวจอุทกภัยในลุ่มน้ำโขงในชุดกันฝน เธอเป็นนักข่าวคนเดียวที่เข้าไปอยู่ในกลุ่มหัวขบวนแห่บั้งไฟของผู้คนเรือนหมื่นเพื่อรายงานข่าว ดูสิ คนพวกนั้นไม่กลัวเปียกปอน แถมเชิดหน้าระบำรำฟ้อนอย่างเริงร่าและเย้ยหยันเสียงฟ้าห่าฝน 

“โอ เฮา โอ่ เฮา โอ้ เฮา โอ ขอเหล่าเด็ดนำจำจักโอ เขาเหล่าโทนำเจ้าจักโบก…”

เมื่อถึงจุดหมาย ชายกำยำลำสั่นราวสิบชีวิตช่วยกันแบกบั้งไฟขนาดยักษ์ฝ่าห่าฝนน้ำตาที่กระหน่ำลงมาดุจฟ้ารั่วขึ้นไปมัดไว้กันราวสะพานลอย บั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน ได้สะพานลอยเป็นแท่นอันแน่นหนา เมื่อแถวพระสงฆ์ 92 รูป ฝ่าสายฝนมายืนสงบนิ่งเบื้องหน้า ขบวนเซิ้งหยุดเริงร่า ต่างละทิ้งการรำฟ้อน คุกเข่าลงสงบนิ่งกับพื้นถนนอันเจิ่งนอง เมื่อพระสงฆ์เริ่มจ่มมนต์ ผู้คนต่างประนมมือและกล่าวคำสาธุการเมื่อบทสวดได้สิ้นสุดลง ไม่นานพ่อเฒ่าตีนเปล่ามีผ้าขาวม้าพาดบ่ากางร่มมาพร้อมคบเพลิงถวายแด่พระภิกษุผู้อยู่หัวแถว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจุดบั้งไฟกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า นี่เป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่จะมีการจุดบั้งไฟถวายแถนกลางใจกรุงเทพมหานคร 

ชายชราตีนเปล่ากางเดินร่มตามภิกษุที่ถือคบเพลิงขึ้นสู่สะพานลอย พระภิกษุสงฆ์เบื้องหน้าขบวนเริ่มท่องบ่นชยมงคลคาถาแข่งสายฝนประสานกับเสียงพิณ เสียงแคน เสียงกลองที่บรรเลงผสมเสียงเพลงเซิ้งอีสาน ก้องกังวานทั้งย่านนั้น คนนับพันนับหมื่นก็ลุกขึ้นประณมมือแล้วเปลี่ยนท่ามาสู่การร่ายรำอย่างชื่นมื่นกลางสายฝนน้ำตาที่ซัดลงมา จนทำให้กล้องทีวีขึ้นฝ้าและพร่าเลือน ทางสถานีต้องปล่อยนักข่าวสาวรายงานเหตุการณ์ด้วยเสียงและหาภาพเก่ามาประกอบการรายงาน ก่อนที่ผู้ประกาศในห้องส่งจะแจ้งกับเธอว่า ทางสถานีมีรายงานจากทีมที่ปักหลักในห้องสูทของโรงแรมใกล้ๆ ถนนนั้น

ตัดมาเป็นภาพจากมุมสูง กลางสายฝนนั้น พระสงฆ์จุดชนวนบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน ในไม่ช้าบั้งไฟก็พุ่งจากแท่นแหวกม่านฟ้าสวนห่าฝนน้ำตาทิ้งเขม่าควันไว้เบื้องหลัง แล้วละลิ่วหายไปในท้องฟ้า ตะไลหาง ตะไลกง ลูกไฟ นับร้อยนับพันถูกจุดประสานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลูกอีสานนับพันเชิดหน้าร่ายรำสู้ฝน บ้างยกมือท่วมหัวทำปากพึมพำคล้ายกล่าวคำสาธุการ พลันเสียงกัมปนาทของสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงกลางฝูงชน คนนับร้อยล้มตึงตาตะลึงเบิกโพลง 

“แม่งตายห่ากันหมดแน่ เอ๊ย! เอ่อ…ขออภัยครับ ท่านผู้ชมครับ” นักข่าวหนุ่มในห้องสูทโรงแรมปรับสีหน้าและน้ำเสียงใหม่ให้ฟื้นคืนจากภาวะตื่นตระหนกโดยพลันหลังตระหนักรู้ว่า เขากำลังรายงานสดออกอากาศ “คุณผู้ชมครับ ภาพที่ท่านเห็นนี้คือ แรงจากระเบิด เอ๊ย! ขออภัยครับ คือ เหตุการณ์ที่พวกคนอีสานพากันแห่บั้งไฟและจากจุดที่ผมอยู่ตรงนี้ เสียงเปรี้ยงที่ได้ยินสักครู่นี้ ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากการระเบิดของบั้งไฟหรือจากสายฟ้าที่ฟาดลงมา แต่หลังจากเสียงเปรี้ยงนั้น ภาพที่ผมเห็นจากตรงนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุราวสองร้อยสามร้อยเมตร คือ จีวรของพระภิกษุที่เป็นประธานจุดบั้งไฟได้ปลิวว่อนขณะที่ร่างของเขา เอ๊ย! ท่าน เอ่อ…ได้ร่วงจากแท่นจุดบั้งไฟหล่นลงกลางถนน และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ข้างล่างนั้น มีคนบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมากครับ ขณะที่ผู้คนในขบวนกลับไม่ได้หวาดหวั่นต่ออันตรายจากสายฝนและสายฟ้า ยังคงเชิดหน้ารำเซิ้งเย้ยฟ้าท้าฝนต่อไปเพื่อให้พิธีกรรมหยุดฝนน้ำตาได้ลุล่วง ส่วนความคืบหน้าผมจะรายงานเข้ามาอีกครั้ง ตอนนี้ให้ชมภาพสดๆ จากที่เกิดจริงกันก่อนครับ คุณกีรติ”

ช่างภาพฉายภาพมุมกว้างให้เห็นอาคารร้านช่องย่านนั้นที่ต่างปิดประตูหน้าต่างเงียบงันแทนการต้อนรับขับสู้ขบวนแห่บั้งไฟเรือนหมื่น จากนั้น ช่างภาพก็พยายามซูมแหวกม่านฝนให้เห็นภาพคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก เลือดสีแดงฉานเอ่อนองท้องถนน ราวสามวินาที ทีวีจอดำชั่วขณะก่อนขึ้นคำ “ถ่ายทอดสด ขออภัยสัญญาณขัดข้อง” ราวห้าวินาทีจึงตัดมาที่ห้องส่ง ผู้ประกาศชายคนเดิมกล่าวเสียงเคร่งขรึม

“คุณผู้ชมครับ ต้องขออภัยอย่างยิ่งสัญญาณการถ่ายทอดสดของเราขัดข้องลงชั่วขณะ และทางทีมงานของเรากำลังพยายามแก้ไข ในไม่ช้าเราจะกลับไปที่นั่นอีก แต่ว่าตอนนี้เรามีอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยารออยู่ในสายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านจะมาให้ความเห็นต่อการจุดบั้งไฟเพื่อต้านอุทกภัยน้ำตาของคนอีสานในวันนี้ว่าจะมีผลอย่างไรและที่แน่ๆ ท่านได้เกริ่นไว้กับทีมงานของเราแล้วว่า ฝนน้ำตาจะยังมีต่อไปอีกหนึ่งทศวรรษ และจะหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ให้ทุกท่านเตรียมตัวรับมือให้ดี รายละเอียดจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราจะกลับมา อ้อ !…อย่าลืมนะครับ เหลือเวลาอีกสิบนาทีสำหรับการร่วมสนุกส่งเอสเอ็มเอสโหวตข่าวฮิตประจำวัน เสื้อกันฝนสีชมพูพร้อมลายเซ็นดาราคนโปรดของช่องเราจำนวน 5 ตัว รอ 5 ท่านผู้โชคดีอยู่ ตอนนี้ พักชมสิ่งที่น่าสนใจสักครู่ครับ”

หญิงสาวเดินเข้าห้องอย่างอิดโหย นานกว่าสัปดาห์เธอจึงทำใจได้ว่า หนังสือเล่มโปรดของเธอนั้นเปื่อยยุ่ยเกินเยียวยา ผมโอบกอดเธอไว้ ร่างบอบบางสั่นเทิ้มในวงแขน อกซ้ายของผมอุ่นด้วยน้ำตา หญิงสาวกำลังร้องไห้อีกครั้ง

หมายเหตุ: เรื่องสั้น “ฝนน้ำตา” ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารชายคาเรื่องสั้น 2 ร่างกลางห่ากระสุน เมื่อปี 2554 

image_pdfimage_print