หมาในมหาวิทยาลัย
คุณจะเลือกชื่นชมสัตว์ชนิดใดระหว่างสุนัขจรจัดที่ยืนตรงและเห่าหอนเวลาได้ยินเสียงเพลงชาติและกระรอกตัวน้อยที่มีอิสระจากเสียงเพลงปลุกใจ เรื่องสั้น “หมาในมหาวิทยาลัย” ชายคาเรื่องสั้นชวนตั้งคำถาม
อิษบู สายสิน เรื่อง
ภาพหน้าปกจาก www.beautyhunter.co.th/
ยามเมื่อเที่ยงคืนตรง เกล็ดหิมะแรกกระทบพื้นคอนกรีตของนครปารีส ตามด้วยละอองขาวนวลลอยละล่อง นำพาฤดูหนาวมาสู่นครไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ แม้ว่าอากาศหนาว จนทั้งกายสะท้านสั่น แม้เป็นฤกษ์ดีกับการผิงไฟพร้อมหน้าพร้อมตาในบ้าน แม้ฟ้าจะอึมครึมเพียงใด นครสุขแสนแห่งนี้ก็ไม่เคยหยุดครึกครื้น แสงไฟริบหรี่จากหลาย ๆ เรือนรวมกัน มันมากพอกับการทำให้สถานที่นี้สว่างไสว
หากดูจากผืนฟ้าอันมืดมิดนั้น คงเห็นนครปารีสยามนี้เป็นหลอดไฟประดับต้นคริสต์มาสกระมัง
เบียร์ฟองฟู่สักแก้วคงบรรเทาความหนาวให้เหล่านักดื่มได้บ้าง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงอยู่ที่นี่
‘ฌีลแบร์ ดูว์ บูจัวร์’ นักธุรกิจไฟแรงผู้ได้รับขนานนามว่าคอแข็งดั่งเหล็กกล้า ฌีลแบร์ยังคงแสดงสีหน้าปกติสุขได้เมื่อคราวแก้วยี่สิบเศษ ๆ ในขณะเพื่อนร่วมดื่มตอนนี้หน้าแดงแจ๋พูดไม่รู้ความ และเมื่องานเลี้ยงจบ เป็นหน้าที่ของฌีลแบร์เสมอที่ต้องขับรถไปส่งเหล่าบุรุษคออ่อนตามลำพัง
เขาไปส่งเพื่อนคนสุดท้ายที่ชานชาลาพลางยกแขนขึ้น ฌีลแบร์โบกมือลาเพื่อนที่ดูท่าทางอ่อนเพลียผิดกับชายหนุ่มปากมากตอนที่อยู่ในวงเหล้า จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังหมุนตัวเดินออกมาจากชานชาลา นัยน์ตาสีเหลืองอำพันดั่งราชสีห์ทั้งคู่ของเขาก็สะดุดกับสาวสวยโฉมงามผู้แต่งตัวราวกับหลุดออกมาจากยุควิกตอเรีย ใบหน้าขาวซีดนั้นแต่งแต้มด้วยสีชมพูระเรื่อ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากกระจับสีแดงเชอร์รี่ ผู้หญิงคนนั้นงดงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด
ถ้าบอกว่าเธอคือผลงานชิ้นโบว์แดงของพระผู้เป็นเจ้า ผู้คนจะไม่สงสัยแม้แต่น้อย หากอัตราเต้นของหัวใจปกติคือเจ็ดสิบสองครั้งต่อนาที เช่นนั้นหัวใจของฌีลแบร์ในตอนนี้ปาเข้าไปหนึ่งร้อยเศษ ๆ คุณคงไม่คาดว่าจะเห็นผู้หญิงใส่กระโปรงสุ่มสีชมพูแหววมายืนทำหน้าฉงนกลางสถานีรถไฟหรอกใช่ไหมล่ะ?
ใช่ เพราะแบบนั้น คนรอบ ๆ ถึงได้มุงดูเธอใหญ่
เมื่อคนมากขึ้น หญิงสาวคนนั้นก็มุ่ยหน้า พลันชักสีหน้าราวกับจะร้องไห้ คล้ายกับเด็กน้อยหลงทางไม่มีผิด และหลังจากนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฌีลแบร์คว้าข้อมือของเธอออกมา
“เธอมากับผมน่ะ” เขาหัวเราะแห้ง ๆ
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนั้น เหล่าฝูงชนก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันไปคนละทาง เสียงเซ็งแซ่เงียบลง แม้จะมีสายตาหลายคู่ที่แอบส่องมองทั้งคู่เป็นระยะ ๆ ก็ตาม เธอกำชายเสื้อชายหนุ่มแน่น ก่อนแหงนหน้ามองร่างสูงกว่าด้วยนัยน์ตาสีฟ้าสดสว่าง
“ที่นี่ที่ไหน… ช่วยบอกทางไปปารีสให้หน่อยได้ไหมคะ?” หญิงสาวตัวเล็กข้าง ๆ ทำสายตาเว้าวอน ในขณะร่างทั้งร่างของฌีลแบร์แข็งทื่อไม่ต่างจากรูปปั้นหิน
“ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง… คือว่า ที่นี่มันปารีสนะครับ” เจ้าของร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ
เธออ้าปากเหวอ ยกมือบอบบางทั้งคู่ขึ้นทาบหน้าอกอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง อยู่แบบนั้นประมาณสามนาทีได้ จากนั้นหญิงสาวก็ปล่อยโฮออกมา น้ำตาหยดที่หนึ่งไหลอาบใบหน้าเรียวเล็กตามด้วยหยดเล็กหยดน้อยนับสิบตามมา ฌีลแบร์เป็นประเภทที่เห็นน้ำตาผู้หญิงแล้วทำอะไรไม่ถูก เขาได้แต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเธออย่างนุ่มนวล
“เอ่อ– ถ้าคุณสนใจตำแหน่งแม่บ้าน… ที่บ้านผมยังว่างอยู่นะครับ”
นั่นคือครั้งแรกที่คู่สามี-ภรรยาบูจัวร์ได้พบกัน
หลังจากกลับมาถึงบ้านเขา เธอก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดก่อนหน้านี้ให้ฟังด้วยใบหน้าเคล้าน้ำตา
‘มารี อ็องรี แบร์นาร์ด’ เธอเป็นลูกสาวขุนนางชนชั้นสูงผู้เป็นดั่งไม้ประดับของสกุล ดังนั้น มารีจึงต้องสงบเสงี่ยมทุกท่วงท่าอากัปกิริยา ด้วยความที่เป็นลูกสาว จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองใด ๆ หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ จึงไม่ทราบมาก่อนว่า ครอบครัวตนนั้นฉ้อโกงไว้นักต่อนัก พอถึงคราวปฏิวัตินั้น มารีที่ไม่มีส่วนรู้เห็นกลับตกกระไดพลอยโจนไปด้วย ต้องโดนประหารด้วยกิโยตินรวมกับเหล่าขุนนางโกงกินคนอื่น ๆ เธอจึงหนีขึ้นรถไฟออกมา และมาโผล่ที่นี่… กรุงปารีสแห่งนี้
แม้ว่าในตอนแรก ฌีลแบร์ไม่ได้เชื่อสนิทใจนัก แต่เขาก็ยังปล่อยให้เธอทำงานแม่บ้านต่อไป
‘มารี ดูว์ บูจัวร์’ เป็นทั้งสุดยอดแม่บ้านและภรรยาผู้ไร้ที่ติ จากเหตุการณ์ครั้งนั้นสามปี พวกเขาลงเอยด้วยการแต่งงานกัน มีลูกสาวตัวเล็ก ๆ หนึ่งคน จนกระทั่งตอนนี้ ลูกของทั้งสองอายุได้เจ็ดขวบแล้ว ช่างเป็นชีวิตอันงดงาม หากแต่ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน ทุกสรรพสิ่งล้วนสูญหายไปตามกาลเวลา เป็นเรื่องปกติสามัญ
ในคืนครบรอบวันเกิดครั้งสามสิบเจ็ดปีของมารี ฌีลแบร์ส่งลูกสาวเข้าห้องไปนอนตามปกติ มีเพียงเธอแสดงอาการแปลก ๆ เธอส่ายศีรษะบ่อยจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็เข้านอนกันเช่นเดียวกับเจ็ดปีที่ผ่านมา ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย รวมถึงความรักของพวกเขาทั้งคู่ มารีผุดตัวลุกขึ้นตอนกลางคืน ฌีลแบร์ปรือตามองเธอเล็กน้อยก่อนหลับต่อ เขาได้ยินเสียงพึมพำจากภรรยา ทว่ากลับไม่ได้ใส่ใจนัก โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่า นั่นคือคำพูดสุดท้ายของเธอ…
“คุณคะ ฉัน… ได้ยินเสียงกิโยตินค่ะ”
เช้าวันรุ่งขึ้น หญิงสาวหายตัวไปอย่างลึกลับราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่.