ภาณุพงศ์ ธงศรี เรื่อง
วรรณกรรมกับการเมืองเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ ด้วยการเมืองเป็นกรอบสังคมที่กวีหรือผู้ประพันธ์วรรณกรรมอาศัยอยู่ วัตถุดิบที่กวีเลือกมาใช้จึงอยู่ภายใต้กรอบของระบบสังคม
ศ.ดร.รื่นฤทัย สัจจพันธ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง(2563) กล่าวว่า วรรณกรรมการเมืองเป็นเรื่องของรัฐ การปกครอง การบริหารแผ่นดิน รวมทั้งความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชนมี 2 รูปแบบ คือ วรรณกรรมการเมืองเชิงปรัชญาและวรรณกรรมการเมืองเชิงปฏิบัติการ ผู้เขียนคิดว่าวรรณกรรมหลายเรื่อง เมื่อใช้แว่นวิจารณ์ของกรอบแนวคิดนี้ ทำให้เราเห็นมิติของความสัมพันธ์ระหว่างคนกับรัฐไว้อย่างน่าสนใจ
งานเขียน “สุนทรภู่” กวีคนสำคัญของแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์หลายชิ้นให้ภาพทางการเมืองและวิจารณ์การล่าอาณานิคม เช่น พระอภัยมณี ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “สุนทรภู่ มหากวีกระฎุมพี” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2549 ว่า สุนทรภู่เป็นกวีที่เกิดในกรุงเทพฯ มีชนชั้นกระฎุมพี กระฎุมพี คือ พวกที่ไม่ได้มีฐานอำนาจหรือฐานผลประโยชน์จากการปกครอง หรือการเกษตรกรรม หรือล่องแพ เป็นพวกที่ได้ประโยชน์จากการค้า
มุมมองของผู้เขียนคิดว่า สุนทรภู่ไม่ได้เป็นกวีราชสำนัก แต่เป็นคนที่ใกล้ชิดกับเจ้าใหญ่นายโตของรัตนโกสินทร์หลายคน พร้อมทั้งเป็นคนที่มีความสามารถทำให้มีผู้สมัครเข้ามาเป็นลูกศิษย์อยู่หลายชนชั้นทั้งเจ้านาย และคนสามัญ (ช่วงอยู่วัด)
กาพย์พระไชยสุริยา เป็นงานเขียนของสุนทรภู่ ในแง่ของความรู้ถือได้ว่าเป็นตำราฝึกอ่านสะกดคำ เรียบเรียงตามลำดับมาตราตัวสะกด เนื้อหาในนิทานสร้างความเพลิดเพลินให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน สนุกกับการฝึกอ่าน ฝึกท่อง กระทั่งมีผู้นำมาเป็นบทสวดโอ้เอ้วิหารราย สำหรับฝึกการเอื้อนเสียง
เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ได้นำไปบรรจุในหนังสือมูลบทบรรพกิจ ซึ่งเป็นแบบเรียนในยุคเริ่มต้นปรับปรุงการศึกษาของรัฐสยาม ปัจจุบันเราใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ซึ่งนิทานเรื่องกาพย์พระไชยสุริยา ถูกบรรจุให้เรียนในสาระวิชาภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีมาตรฐานว่า นักเรียนควรเข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยได้อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
วรรณกรรมเรื่องนี้ หากใช้แว่นของแนวคิดวรรณกรรมทางการเมืองที่ยกมาในตอนต้น ผู้เขียนคิดว่า กาพย์พระไชยสุริยา เป็นวรรณกรรมการเมืองเชิงปรัชญา ด้วยไม่ได้ยกปัญญาจริงในขณะนั้น แต่ผู้เขียนเล่าเรื่องในโลกนิทาน นำเสนอวิถีการเมืองในอุดมคติ พร้อมสอดแทรกคุณธรรมของผู้ปกครองที่ดี ความยุติธรรม ตามแนวของพระพุทธศาสนา
เมื่อพิจารณาตามการอ้างปีที่แต่งพบว่าอยู่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2300 ก็พบว่าสุนทรภู่ต้องการนำเสนอแนวคิดในการปกครองบ้านเมืองและวิจารณ์ลักษณะการปกครองบ้านเมืองที่ไม่ดีไว้หลายประการ ดังนี้
ประการแรก สุนทรภู่นำเสนอการเกิดปัญหาของบ้านเมืองที่นามว่า “สาวะถี” ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระราชาชื่อ “พระไชยสุริยา” พระมเหสีชื่อ “นางสุมาลี” บ้านเมืองนี้เดิมทีสงบสุข ระบบเศรษฐกิจเป็นไปได้ด้วยดี เพราะการค้า อยู่มาวิถีปฏิบัติของพระราชา และเหล่าเสนาในเมืองเปลี่ยนไป ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ดังความตอนหนึ่งที่ว่า
ไพร่ฟ้าประชาชี ชาวบุรีก็ปรีดา
ทำไร่ข้าวไถนา ได้ข้าวปลาแลสาลี
อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวนารี
ที่หน้าตาดีดี ทำมโหรีที่เคหา
ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา
หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ
(สุนทรภู่ : กาพย์พระไชยสุริยา)
ประการที่สอง สุนทรภู่ได้อุปมาบ้านเมือง เสมือนเรือที่เมื่อเกิดความเดือดร้อนขึ้นแล้ว ผู้นำต้องพาไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนั้นไปให้ได้ ปัญหาที่พระไชยสุริยาต้องพบเจอเมื่อพายุใหญ่มา เรือแตก พระไชยสุริยาและพระมเหสี เดินทางขึ้นฝั่งได้ เดินทางแรมรอนกลางป่าด้วยความลำบาก ดังความตอนหนึ่งที่ว่า
ขึ้นใหม่ในกน ก กา ว่าปน ระคนกันไป
เอ็นดูภูธร มานอนในไพร มณฑลต้นไทร แทพไพชยนต์สถาน
ส่วนสุมาลี วันทาสามี เทวีอยู่งาน
เฝ้าอยู่ดูแล เหมือนแต่ก่อนกาล ให้พระภูบาล สำราญวิญญา
(สุนทรภู่ : กาพย์พระไชยสุริยา)
ประการสุดท้าย พระราชาพบพระอินทร์เข้าใจธรรมะ พระไชยสุริยา และพระมเหสีเสด็จออกผนวช ตลอดพระชนชีพ ความตอนนี้มองได้ว่าพระไชยสุริยาได้เข้าใจปัญหาของบ้านเมือง พร้อมที่จะสละหัวโขนของตนออกบวช บำเพ็ญภาวนาเพื่อความสุขของตนเอง ดังความตอนหนึ่งที่ว่า
เห็นภัยในขันธสันดาน ตัดห้วงบ่วงมาร
สำราญสำเร็จเมตตา
สององค์ทรงหนังพยัคฆา จัดจีบกลีบชฎา
รักษาศีลถือฤาษี
(สุนทรภู่ : กาพย์พระไชยสุริยา)
ความในประการสุดท้ายนี้ ผู้เขียนตีความเองว่า สุนทรภู่ต้องการนำเสนอให้ทราบว่าที่สุดแล้ว อำนาจในการปกครองไม่สามารถมีใครควบคุมได้เสมอ เราต้องเรียนรู้ เข้าใจ และรับฟัง เหมือนพระไชยสุริยารับฟังคำสอนของพระอินทร์ เมื่อตระหนักรู้แล้ว ปรับปรุงตนเองก็ย่อมนำความสุขมาให้
ในการนี้สุนทรภู่ชี้ให้เห็นกาลกิณี 4 ประการ ประกอบด้วย 1) การเห็นผิดเป็นชอบ 2) การไม่รู้บุญคุณ 3) การเบียดเบียนทำร้ายซึ่งกันและกัน 4) ความโลภ อันเป็นเหตุทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ดังความที่ว่า
วันนั้นครั้นแผ่นดินไหว เกิดเหตุใหญ่ในปถพี
เล็งดูรู้คดี กาลกิณีสี่ประการ
(สุนทรภู่ : กาพย์พระไชยสุริยา)
อ่านมาถึงตรงนี้ ผู้อ่านคงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้ หนังสือวรรณกรรมเล่มนี้ หากพิเคราะห์จะเห็นปรัชญาการเมืองที่มีแง่มุม คุณค่าจรรโลงสังคมให้ดียิ่งขึ้น หากเป็นไปตามตำนานที่ว่าสุนทรภู่แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้เพื่อถวายพระอักษรแด่พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีตามจริงแล้ว นอกจากสอนมาตราตัวสะกดก็คงสอนแนวคิดทางการเมืองไปด้วยได้
เมื่อนักเรียน นิสิต และนักศึกษา ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง วิพากษ์ วิจารณ์ระบบการศึกษา อำนาจในสังคม ผู้เขียนเองไม่เห็นว่าจะผิดแปลกอะไร แต่ทำไมผู้ใหญ่บางคนต้องขัดขวาง และด่าล้อเลียน
ในเมื่อปรัชญา ความคิดทางการเมือง ทุกคนล้วนมีวิถีทางแตกต่างกันออกไป หากเราพินิจสถานการณ์บ้านเมืองดังความในกาพย์พระไชยสุริยาแล้ว คงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน คดีบางคดีคลี่คลายไม่ได้ “ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม” ก็เห็นว่าน่าเป็นห่วง “ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปราณี” ก็น่าสนใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นดังบทประพันธ์ในวรรณกรรมเรื่องกาพย์พระไชยสุริยาหรือไม่
สุดท้ายนี้ กาพย์พระไชยสุริยา ถือเป็นวรรณกรรมการเมืองในแบบเรียนไทยอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ จำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าต่อไป อาจนำมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 หรือรัชกาลที่ 4 รวมถึงปัจจุบันก็ยังได้ ด้วยความงามทางภาษา และกลวิธีการเอานิทานมาเล่าเรื่องเพื่อสร้างสถานการณ์จำลองของทางการเมืองผสานแนวคิดทางพระพุทธศาสนาของไทยเอาไว้อย่างกลมลืนดังที่กล่าวมา
เอกสารอ้างอิง
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (17 เมษายน 2563). กิจกรรมกลุ่มงานเผยแพร่ฯ สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เรียกใช้เมื่อ 28 สิงหาคม 2563 จาก https://www.youtube.com/watch?v=uxEqG0C0QhE
หมายเหตุ: ความคิดเห็นหรือมุมมองต่างๆ ที่ปรากฎบนเว็บไซต์เดอะอีสานเรคคอร์ด เป็นข้อคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่ได้เป็นมุมมองหรือความคิดเห็นของกองบรรณาธิการเดอะอีสานเรคคอร์ด