วิทยากร โสวัตร เรื่อง
เมียฝรั่งบ้านผมเกิดจากผลพวงของสงครามอินโดจีน หญิงสาวสองคนแรกที่หนีออกจากบ้านเป็นญาติสนิทกันและเกิดพร้อมๆ กันประมาณปี 2496 (ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ และผมได้สัมภาษณ์หนึ่งในสองคนนั้น ซึ่งตอนนี้มีชีวิตในวัยชรา-แต่ใจยังสาว อยู่ที่บ้านเกิด อีกคนมีครอบครัวอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์และคนนี้เองที่เป็น “เมียฝรั่ง” ตามความหมายที่สมบูรณ์ในปัจจุบัน และเป็นจุดเริ่มต้นของการพาลูกหลานญาติพี่น้องไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์และแต่งงานกับผู้ชายที่นั่น)
ทั้งสองหนีออกจากบ้านประมาณปี 2511-2512 ด้วยการขโมยสร้อยทองสลึงหนึ่งของแม่ แล้วคว้าเอาสวิงลงทุ่งไปหาอยู่หากินเหมือนปกติ แต่พอไปถึงริมหนองข้างกอไผ่ห้วย ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าทิ้งอุปกรณ์หากิน ข้ามห้วยใหญ่ (ห้วยสีทน) ตัดขึ้นไปบ้านคำเม็ก ซึ่งตอนนั้นทางสายยุทธศาสตร์ทางทหารจากขอนแก่น-มหาสารคาม-กาฬสินธุ์-สมเด็จ-สกลนคร-มุกดาหาร ถูกสร้างขึ้นแล้วเพื่อทำสงครามกับ พคท.บนฐานที่มั่นภูพาน (ทุกวันนี้ถนนสายนี้ถูกเรียกจากการเดินรถว่าเส้น ขอนแก่น-มุกดาหาร) เพราะถ้าเข้าเมืองตามเส้นทางปกติมันจะผ่านหมู่บ้านของตัวเอง ซึ่งจะทำให้การ “ลักหนีออกจากบ้าน” ไม่สำเร็จพอตกเย็นทางบ้านก็รู้และออกตามหาไปจนถึงพัทยา-สัตหีบ
ช่วงปีนั้น ข่าวการ “ใจแตก” ของสาวอีสานที่หนีเข้ากรุงเทพฯ (ตอนนั้นเลิกเรียกภาคกลางหรือกรุงเทพฯ ว่าไทหรือเมืองลุ่ม/เมืองล่างแล้ว) และถูกพาไปหากินอยู่ตามฐานทัพอเมริกามีมาอย่างหนาหู
และเธอทั้งสองก็ตระเวนหากินอยู่ตามเมืองที่มีฐานทัพ โดยเฉพาะคนที่ผมสัมภาษณ์นั้นมีประสบการณ์ที่โลดโผนมากและไปหลายที่มาก โดยเฉพาะฐานทัพในอีสาน
แทรกไว้ตรงนี้หน่อยว่า ในช่วงหลังสงครามเย็นที่ไม่มีฐานทัพอีกแล้ว การหนีออกจากบ้านของหญิงสาวและการค้ามนุษย์ก็ยังมีต่อมา ตามข้อมูลที่ได้จากญาติผู้หญิงคนหนึ่งของผม (ลูกของน้องสาวแม่) ก่อนที่แกจะเสียชีวิต แกเล่าให้ฟังว่า ช่วงต้นๆ ปี 2520 ถึงขนาดมีรถมารับเด็กสาวเหล่านี้ที่ในเมืองกาฬสินธุ์ และญาติผมคนนี้ ซึ่งตอนนั้นไปอยู่กับน้าผู้หญิงอีกคนในตัวเมือง ก็ไปด้วยวิธีนี้ และไปโด่งดังอยู่ที่พัฒน์พงษ์ ฉายาแกคือ “เล็กนมโต” (ผมชอบที่เวลาแกพูดถึงชื่อนี้แล้วจะมีประกายตาภูมิใจและปริ่มสุข และเสียดายที่ผมยังไม่ทันเขียนเรื่องของแกตามคำร้องขอ แกก็มาตายไปเสียก่อน) แต่รุ่นแกไม่ได้เป็นเมียเช่าฝรั่ง แต่เป็นเมียเก็บของเสี่ยคนไทย
มีรูปถ่ายสีซีดๆ แผ่นหนึ่งที่ผมเคยเห็นอยู่ที่บ้านเพื่อนเก่า น่าจะเป็นภาพสีรูปแรกของหมู่บ้าน เป็นรูปแม่ของเขาที่อุ้มท้องเขา และมีพี่ชายของเขาตัวเล็กๆ อยู่ด้วย เป็นภาพใต้ถุนเรือนที่มีคนนั่งอยู่เต็ม แต่ดูเหมือนว่าคนถ่ายตั้งใจถ่ายให้เห็นแม่ของเพื่อนผม คนถ่ายเป็นฝรั่งชาวสวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งคนนี้เป็นอดีตทหารจีไอและเป็นสามีของผู้หญิงหนึ่งในสองคนแรกที่หนีออกจากหมู่บ้านในปี 2511-12 และเธอเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันกับแม่เพื่อนผม และรูปแผ่นนั้นก็ถูกส่งตรงมาให้แม่เพื่อน
ผมเคยถามแม่ของเพื่อนว่าไปทำอะไรในรูป แกบอก “ไปเบิ่งฝรั่ง” และแม่ผมก็ยืนยันว่าในวันเดียวกันนั้น แม่ก็อยู่ที่นั่นด้วยก็ “ไปเบิ่งฝรั่ง” เหมือนกัน และพอผมเกิดมามีผมสีทอง (ตระกูลผมส่วนใหญ่ตอนเกิดและตอนเด็กจะมีผมสีทอง) และผิวขาวมาก และพอโตมามักถูกรุ่นพี่ล้อว่า “บักฝรั่งดังแดงกินแกงหน่อไม้ กินบ่ได้มันผิดดังแดง” (ดัง แปลว่า จมูก)ผมนี่โกรธมาก แต่แม่ผมมักจะหัวเราะและปลอบว่าผมเป็นลูกฝรั่ง (ผมก็ยิ่งโกรธแม่เข้าไปอีกคน)
แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้คือมุมมองต่อฝรั่งหรือเมียฝรั่งในหมู่บ้านผมค่อนข้างดีมากตั้งแต่แรกเริ่ม จำได้ว่าครั้งแรกที่พี่ผู้หญิงที่ไปได้สามีอยู่สวิตเซอร์แลนด์พาแม่ของเธอไปที่นั่น มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากของคนในหมู่บ้าน และพอแกกลับมา ผู้คนเทียวไปถามไถ่ ผมได้รู้วิธีการนั่งเครื่องบิน ชีวิตความเป็นอยู่ของคนต่างประเทศ เงินตรา ความเจริญก็จากยายคนนี้โดยผ่านครูสอนภาษาอังกฤษที่ถูกเชิญไปกินเลี้ยงที่บ้านหลังนั้นและได้ถามไถ่อะไรเหล่านี้จากพี่คนนั้นและยายคนนี้แล้วเอามาเล่าให้พวกเราฟัง
หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่ขายบริการทางเพศก็ไม่ค่อยถูกมองด้วยทัศนคติด้านลบ รุ่นน้องคนหนึ่งของผมสวยมากและเธอก็มีอาชีพนี้ หลังจากจบ ป.6 เราต่างก็ออกจากบ้านไปแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าตามชะตากรรมของคนยากจน เคยมีโอกาสเวียนมาเจอกันครั้งเดียวตอนงานคืนสู่เหย้าโรงเรียนประมาณปี 2543 – 2544 ตอนนั้นเธอมากับเสี่ยพ่อหม้าย เราได้คุยกันเพียงสั้นๆ จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเลยจนถึงวันนี้
ในกรณีของรุ่นน้องคนนี้ ถือว่าเป็นคนรุ่นสุดท้ายที่มีอาชีพขายบริการทางเพศที่ชัดเจน แต่ “น้ำเสียง” ของคนในหมู่บ้านไม่ได้มีความรังเกียจอะไรเลย “เฮ็ดเอาโลดอีหล่า มันดีเบิ่ดหล่ะแนวมันได้เงิน” โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุเป็นผู้หลักผู้ใหญ่มักจะพูดแบบนี้
ต้องหมายเหตุไว้ที่นี่ด้วยว่า ถ้าจะมีบ้างที่มีทัศนะไม่ดีต่อเมียฝรั่งในยุคแรกและผู้หญิงที่ขายบริการก็คือจากกลุ่มคนชั้นบนที่สังกัดอยู่ในโครงสร้างอำนาจเก่านั่นแหละ เช่นพวกตระกูลข้าราชการ
ในช่วงปี 2533 ที่ผมเรียนอยู่ประถมปลายนี่เองที่หมู่บ้านเริ่มมีการขยายตัวของเมียฝรั่งอย่างจริงจัง เริ่มจากญาติพี่น้อง (ผู้หญิง) ของผู้หญิงหนึ่งในสองคนแรกที่หนีออกจากบ้านในปี 2511-12 ที่ไปมีครอบครัวอยู่สวิตฯ และกลุ่มแรกๆ ที่ไปคือคนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เช่น ลูกป่วยไม่มีเงินรักษา สามีตาย ลูกหลายคนกำลังเรียน
เมียฝรั่งกลุ่มที่ 2 นี่แหละที่เป็นจุดเริ่มสำคัญในการสั่นคลอนโครงสร้างอำนาจหลักที่ครอบงำสังคมหมู่บ้านของผมอยู่
ด้วยเมียฝรั่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเข้าถึงฐานทางเศรษฐกิจโดยไม่ต้องผ่าน “ระบบ” แบบเดิม ขอแค่มี “โอกาส” เข้าถึง และโอกาสก็ไม่ได้หายากอะไร แค่การมาเยี่ยมบ้านของเมียฝรั่งในทุกๆ ปี ก็จะพาเพื่อนฝรั่งผู้ชายโสดมาด้วยเหมือนมาเที่ยวบ้านหรือคณะผ้าป่า แล้วก็แนะนำให้รู้จักกับลูกหลานญาติพี่น้องหรือคนในหมู่บ้าน เมื่อปิ๊งกันก็อาจจะนำไปสู่ความรัก และต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องของคนสองคนว่าจะไปถึงขั้นแต่งงานหรือไม่อย่างไร ก็จะสามารถยกระดับครอบครัวของตัวเองขึ้นมาได้ มีเงินเป็นสวัสดิการในการรักษาลูกที่ป่วยเป็นมะเร็ง โรคทางเดินปัสสาวะ หรือโรคร้ายต่างๆ ที่สมัยนั้นต้องใช้เงินค่าดูแลรักษาสูงมากถึงจะหายได้ และส่งลูกที่เรียนอยู่ให้จบได้อย่างสบาย ด้วย “ค่าเงิน” ฟรังสวิสและเงินยูโร
ที่สำคัญ การบริการสาธารณะที่แต่เดิมถูกผูกขาดด้วยชนชั้นข้าราชการหรือคนรวยชั้นบน ถูกแทนที่ด้วยเมียฝรั่งเหล่านี้ ภาพที่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ชัดเจน คือการที่เมียฝรั่งเหล่านี้ได้รับเกียรติในงานใหญ่ๆ ในฐานะเจ้าภาพหรือเป็นแหล่งทุนสนับสนุน ประมาณว่าแทนที่คนในหมู่บ้านจะวิ่งเข้าหาชนชั้นนำแต่เดิมอย่างเจ้าอาวาสหรือครูใหญ่หรือเจ้านายข้าราชการ เขากลับเดินมาหาแม่ของเมียฝรั่งและเมียฝรั่งเหล่านี้แทน
ที่พลิกผันกว่านั้นก็คือว่าแม้แต่คนระดับชั้นบนของสังคม เช่น เจ้าอาวาสหรือครูใหญ่หรือเจ้านายข้าราชการ ก็ยังเข้าไป “ดีล” ผลประโยชน์หรือขอความอนุเคราะห์กับเมียฝรั่งเหล่านี้ เอาง่ายๆ ว่าพวกข้าราชการได้ขอเหล่าจากเมียฝรั่งก็แล้วกัน
เมื่อเราดูช่วงเวลาของเมียฝรั่งกลุ่มที่สอง มันจะเป็นช่วงเดียวกับช่วงปลายยุคเปรมมายุค “นิกส์” ของชาติชาย ซึ่งช่วงนั้นการเข้าถึงสภาพเศรษฐกิจของชนชั้นล่างที่เป็นแรงงานอพยพเริ่มขยายตัวมากขึ้นๆ นี่จึงเป็นเหมือนสองแรงบวกของคนที่ไม่ผ่าน “ระบบ” โครงสร้างอำนาจเดิมแต่สามารถเข้าถึงฐานเศรษฐกิจจนมีอำนาจต่อรองกับชนชั้นบนนั้นได้
อีกทั้งข้อมูลข่าวสารของการพัฒนาของโลกที่ทันสมัยของชีวิตที่ดีกว่าทั้งในจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในประเทศและในต่างประเทศถูกกระจายข่าว ถูกวิพากษ์เปรียบเทียบจากปากของแรงงานอพยพและเมียฝรั่งเหล่านี้ ให้คนในหมู่บ้าน “ฝัน” ถึงชีวิตที่ดีกว่า เศรษฐกิจสังคมที่ดีกว่า
มองมุมนี้มันเหมือนหน่ออ่อนของขบถ ของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลง เหมือนที่หมู่คนที่ไม่ใช่ชนชั้นเจ้าได้มีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ แล้วกลับมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการมาของรัฐธรรมนูญปี 40 และเมียฝรั่งรุ่นที่ 3 – 4
พอเมียฝรั่งรุ่นสองลงหลักปักฐานได้ก็พาลูกๆ ของพวกเขาไปอยู่ที่นั่นด้วย บางคนก็ไปเรียนต่อที่นั่น บางคนก็เรียนจบมัธยมแล้วค่อยไป สุดท้ายก็มีครอบครัวอยู่ที่นั่น แล้วขยายไปสู่ลูกหลานญาติพี่น้อง ช่วงนี้เองที่เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านเริ่มมีสถานะที่ได้รับความเกรงใจจากคนชั้นบน เพราะเด็กหญิงเหล่านี้ “มีโอกาส” ที่จะเข้าไปสู่ฐานทางเศรษฐกิจของภาคพื้นยุโรปได้อย่างไม่รู้ตัว และเด็กชายก็อาจกลายเป็นเจ้าชายได้ทันที่ถ้าแม่หรือพี่ของเขาได้สามีฝรั่ง
เมียฝรั่งกลุ่มนี้เป็นคนสมัยใหม่ เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจสุดๆ ในช่วงฟองสบู่และเห็นภาพฝันที่พังลงตอนฟองสบู่แตกและพวกเขาก็เติบโตขึ้นในช่วงที่รัฐธรรมนูญ 40 ให้ดอกผลและการมาถึงของนายกรัฐมนตรีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้คนอีสานอยู่ดีกินมากกว่าตอนยุคฟองสบู่ การกระจายเศรษฐกิจก็ทำให้คนอีสานกลายเป็นคนชั้นกลางใหม่ แรงงานอพยพก็ลดลงตามงานที่ก่อเกิดในชุมชน
เมียฝรั่งกลุ่มนี้แหละที่เป็นหัวหอกในการก้าวข้ามค่านิยมข้าราชการและท้าทายระบบโครงสร้างอำนาจนิยมแบบเดิมอย่างถึงแก่น พูดง่ายๆ ก็คือ เขาสามารถลดทอนความน่าเชื่อถือของข้าราชการลงได้ เพราะการได้เห็นได้เปรียบเทียบมาจากประเทศที่เขาไปอยู่ และมันยังไปสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสมัยนั้นที่ปรับเปลี่ยนให้ข้าราชการกลายเป็นพนักงานของรัฐและบริการประชาชนอย่างจริงๆ จังๆ และสุภาพ นี่ก็เท่ากับว่าฐานอำนาจเดิมที่เป็นรัฐซ้อนรัฐนั่นได้ถูกสั่นคลอนแล้ว
และวิสัยทัศน์ของทักษิณกับเมียฝรั่งกลุ่มนี้มันจูนกันติดโดยบังเอิญ ดังนั้นจึงเหมือนกลายเป็นแนวร่วมกันโดยไม่รู้ตัว เมียฝรั่งกลุ่มนี้สนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นชายที่อยู่เมืองไทยก็ถูกผลักดันให้เข้าไปสู่สมาชิก อบต. เทศบาล และไปถึงนายกฯ รองนายก (อบต./เทศบาล) ว่ากันว่า ใครที่ลงสมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากเมียฝรั่งแทบจะนอนมา
ในขณะเดียวกัน โลกก็อยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร ก็เมียฝรั่งเหล่านี้เองที่ส่ง “ข้อมูล” ดีๆ จากต่างประเทศมาให้พี่น้องที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นและที่เป็นมวลชนประชาธิปไตย คือถ้ามองเทียบในยุคนี้ มันก็เหมือนกับเพจรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสตลาดหลวงนั่นแหละ คืออะไรที่เรารู้ตอนนี้ มวลชนของเมียฝรั่งเขารู้กันมาก่อนแล้วครับ แค่อาจไม่เป็นวิชาการหรือไม่มีปัญญาชนหรือนักวิชาการมาแสดงหลักฐานข้อมูลเท่านั้น
ลองนึกดูนะว่า ช่วงนั้นยูทูบ เฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ยังไม่แพร่หลายขนาดนี้ พลังของเมียฝรั่งเหล่านี้จะมีมากแค่ไหน แน่นอนเมียฝรั่งเหล่านี้หลายคนประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นแดง เป็นฝ่ายประชาธิปไตย และให้การสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย (ที่กินได้) อย่างเต็มกำลัง และนี่แหละที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนบ้านผมทั้งในหมู่บ้านและที่เป็นแรงงานอพยพในกรุงเทพฯ ไปชุมนุมปี 53 อย่างคับคั่ง
และน่าสนใจว่า จากนี้ไปบทบาทของเมียฝรั่งกับการเปลี่ยนแปลงสังคมจะเป็นอย่างไรต่อไป…
หมายเหตุ: ความคิดเห็นหรือมุมมองต่างๆ ที่ปรากฏบนเว็บไซต์เดอะอีสานเรคคอร์ด เป็นข้อคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่ได้เป็นมุมมองหรือความคิดเห็นของกองบรรณาธิการเดอะอีสานเรคคอร์ด