1

6 อดีต กสม.ออกแถลงการณ์จี้รัฐยกเลิกการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง

กรุงเทพฯ – เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 6 คน ประกอบด้วย วสันต์ พานิช, สุนี ไชยรส, นัยนา สุภาพึ่ง, นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ, เตือนใจ ดีเทศน์ และอังคณา นีละไพจิตร ได้ออกแถลงการณ์ให้รัฐบาลประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง และเคารพสิทธิการชุมนุมอย่างสงบของประชาชน

แถลงการณ์ระบุว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกโดยการชุมนุมอย่างสงบของประชาชน เพื่อเรียกร้องเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุติการคุกคามประชาชน รวมถึงปฏิรูปการศึกษา และกระบวนการยุติธรรม ที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ นับตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 จนถึงปัจจุบันบนพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) 

นอกจากนี้แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า ล่าสุดการชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา เยาวชนและประชาชนที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร” ระหว่างวันที่ 13 ถึง 15 ตุลาคม ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกและแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รวมถึงให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่รัฐบาลกลับอาศัยอำนาจตามมาตรา 5 และมาตรา 11 ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร

“เรามีความกังวลและห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเปราะบาง โดยเห็นว่าการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงของรัฐบาลขาดความชอบธรรม เนื่องจากการชุมนุมของประชาชนยังไม่มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การก่อให้เกิดความรุนแรง ดังนั้นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงจึงเป็นการละเมิดสิทธิการชุมนุมอย่างสงบสันติของประชาชน สร้างความหวากกลัว และเป็นการใช้อำนาจเกินเลยเพื่อสลายการชุมนุมและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชน”แถลงการณ์ระบุ 

แถลงการณ์ของอดีตกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ

แถลงการณ์ยังระบุอีกว่า นอกจากนี้การที่รัฐบาลได้ปล่อยให้มีการเผชิญหน้าของกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่าง อาจนำพาไปสู่การใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนกับประชาชน อีกทั้งเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้สถาบันกษัตริย์ขัดแย้งกับประชาชน ซึ่งการกระทำของรัฐบาลนอกจากไม่ช่วยคลี่คลายหรือลดความรุนแรงแล้วยังเป็นการขยายขอบเขตความขัดแย้งให้บานปลายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เราขอเสนอให้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ที่มีความฉุกเฉินร้ายแรงเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เพราะรัฐบาลสามารถแก้ไขได้โดยใช้กฎหมายปกติ”แถลงการณ์ระบุและว่า “ขอเรียกร้องให้ปล่อยแกนนำทุกคนที่ถูกควบคุมตัวและเปิดเจรจาเพื่อแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วมเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจริงใจในการหาทางออกจากวิกฤติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี”ใจความสำคัญของแถลงการณ์ระบุ 

สำหรับกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องจับกุม ควบคุมตัวประชาชนที่ใช้ความรุนแรงรัฐบาลต้องคุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับกุม ทั้งสิทธิในการพบญาติ ทนายความ รวมถึงผู้ซึ่งผู้ถูกควบคุมตัวไว้วางใจ และหากผู้ถูกควบคุมตัวเป็นเด็กหรือเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามหลักความยุติธรรมสำหรับเด็ก (juvenile justice) อย่างเคร่งครัด โดยให้มีสหวิชาชีพร่วมในการสืบสวนสอบสวนทุกครั้ง

“เราขอเน้นย้ำว่าสิทธิการชุมนุมโดยสงบนั้นมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกได้อย่างอิสระและเปิดเผย ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมของประชาชน รัฐจึงควรแก้ไขปัญหาขัดแย้งทางการเมืองโดยยึดแนวทางรัฐศาสตร์มากกว่าการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ควรมีความอดทน อดกลั้นและยืดหยุ่นเพื่อหาทางออกร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำความสงบสันติคืนสู่สังคมไทย”แถลงการณ์ระบุ