แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยา เรื่อง

สงกรานต์ผ่านไป เพื่อนๆ ที่คอยห่วงใยแนะนำให้ฉันออกมา “เบรค” ข้างนอกบ้าง แต่ฉันก็อิดออดจนแทบไม่ได้ออกจากหมู่บ้านเลย ใจหนึ่งเป็นห่วงพ่อๆ แม่ๆ ใจหนึ่งก็เป็นห่วงพี่โก พี่เลิศถึงกับใช้มาตรการบังคับให้ฉันไปดูงานเหมืองแร่ในพม่า อาการติดอยู่กับความสัมพันธ์ในหมู่บ้านของฉันตอนนั้นอาจคล้ายๆ ที่เรียกกันว่า ‘ติดกับดัก’ หรือไม่ก็ไม่รู้ แต่ถึงจะรู้หรือมีเหตุผลอื่นมากกว่านั้น ฉันก็ดื้อรั้นจะอยู่ในหมู่บ้านอยู่ดี

ความดื้อรั้นของฉัน สร้างความหงุดหงิดให้พี่เลิศพอสมควร ไปพม่าด้วยกันหลายวันเขาแทบไม่พูดไม่จา กลับจากพม่าเขาถามฉันว่า

“ตกลงคุณเลือกจะทำงานภาคสนาม หรือเลือกจะทำงานนโยบาย”

พี่เลิศคาดคั้นต่ออีกว่า “คุณต้องเลือก เพราะบางครั้งคนทำงานสนามก็ไปในทางเดียวกันกับคนทำงานนโยบายไม่ได้”

วันนั้นฉันไม่สามารถตอบคำถามพี่เลิศ ได้แต่ร้องไห้ โดยไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเอง ในใจหวนคิดถึงพี่โกที่เคยตั้งคำถามบีบคั้นไม่ต่างกัน “แย้มมีอิสระในการทำงาน หรือแย้มทำงานตามคำสั่ง”

หรืออีกคำถามจากรุ่นน้องอดีตเอ็นจีโอและรู้จักกันมานาน “ตกลงพี่เข้าไปทำอะไรในหมู่บ้านกันแน่ ไปหนุนเสริม หรือไปทำอะไร”

พี่เลิศเสียงอ่อน เมื่อเห็นท่าว่า ฉันจะไม่หยุดร้องไห้ลงง่ายๆ “ผมทำให้คุณเสียใจหรือ” 

“เปล่า พี่ไม่ได้ทำอะไรหรอก เป็นที่ต๊ะเอง” ฉันตอบพร้อมหยาดน้ำตา

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ออกมาจากหมู่บ้านแทนที่จะเป็นการพักเบรคกลับเป็นช่วงเวลาที่ฉันสับสนยุ่งยากใจ บทบาทของตัวเอง คือ อะไร ฉันต้องเลือกอะไรหรือไม่ … หรือต้องมีคำถาม มีผิดมีถูก ด้วยหรือกับการอยู่ในหมู่บ้าน หรือฉันแค่ไม่ต้องการรับแรงกดดันหรือความคาดหวังจากใครนอกจากความต้องการของฉันเอง

ฉันแบกอารมณ์แกว่งไกวกลับเข้าหมู่บ้าน ใช้เวลามากขึ้นในการทำงานข้อมูล เขียนบทความ และสื่อสารน้อยลงกับเพื่อนพ้องที่อยู่ในกรุงเทพฯ 

ปลายเดือนเมษายน พี่เลิศส่งข่าวให้มาช่วยชาวบ้านที่บ้านแหง อำเภองาว จังหวัดลำปาง ที่กำลังวางแผนจะชุมนุมหน้าอำเภอเพื่อกดดันให้ผู้ว่าฯ ยกเลิกใบอนุญาตให้เหมืองถ่านหินเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ หลัง สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ผ่านอีไอเอให้เหมืองไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ฉันกับพี่โกบอกกับพ่อไม้และแกนนำ จากนั้นขับรถวิ่งออกจากนาหนองบงไปจังหวัดลำปาง

ภูทับฟ้า บ้านนาหนองบง อ.วังสะพุง จ.เลย ช่วงก่อนพลบค่ำ เครดิตภาพ : อติเทพ จันทร์เทศ

ระหว่างเส้นทางจากวังสะพุง ผ่านภูเรือ ผ่านน้ำหนาว ลัดเลี้ยวไปตามทิวเขา ฉันเพิ่งสังเกตว่า เพลงเก่าที่พี่โกชอบเปิดซ้ำไปซ้ำมาในรถเปลี่ยนทำนองไปเป็นเพลงยุค 90 ที่ฉันเปิดฟังบ่อยๆ เวลานั่งทำงาน พอเล่นมาถึงเพลง ‘ก่อน’ ของโมเดิร์นด็อก พี่โกก็เอื้อมมือไปกดปุ่มให้มันเล่นซ้ำ

พี่โกจู่โจมด้วยคำถามที่ฉันไม่ทันตั้งตัว “แย้มแต่งงานกับพี่มั้ย” 

ฉันตอบกลับทันทีว่า “ไม่ ต๊ะเคยบอกแล้วไงว่า พอใจที่จะอยู่คนเดียว”

พี่โกยิ้ม ลากเสียงยาวคุยต่อ “พี่รู้ว่าแย้มอายุก็ไม่น้อยแล้ว เรื่องแบบนี้เป็นผู้หญิงคิดนานๆ ก็ดีแล้ว ดูกันไปนานๆ” ฉันฟังมุกฝืดๆ ของพี่โกแล้วมีความขำเข้ามาแทนความเคือง 

ฉันถือโอกาสซักซอกแซกถามเรื่องส่วนตัวของพี่โกซึ่งไม่เคยถามมาก่อน …ระยะทางยาวไกลไหลผ่านสายตาไปพร้อมๆ กับเรื่องราวแผลเก่าในอดีตกับชีวิตคู่ที่ล้มเหลว ความรักแต่ละครั้งที่จบลงแบบแยกจาก …ฉันสัมผัสถึงความโดดเดี่ยว ความเงียบเหงา ความเศร้า และเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่หล่อหลอมตัวตนด้วยอุดมคติทางสังคมจนแทบไม่เห็นมิติชีวิตในด้านอื่น

“ทำไมถึงเรียกต๊ะว่า แย้ม” ฉันถาม

“ตอนแย้มเข้ามาในหมู่บ้าน พี่เห็นแค่ผู้หญิงเมืองวางท่ายโส ใส่เสื้อผ้าราคาแพง คงคิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรจริงจัง เหยียบขี้ไก่คงไม่ฝ่อเหมือนคนรุ่นใหม่ๆ ที่พี่เห็นตอนนี้ แต่นานไปมันดูเข้าท่าขึ้นนะ แล้วมันก็ทำให้โลกที่ใกล้จะมืดของพี่สว่างขึ้น” เธอพูดยาวไปมือก็พยายามกดปุ่มเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ พอเพลงก่อนบรรเลงขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็ทำหน้าทะเล้นทำเสียงตลกๆ ว่า “เหมือนเพลงนี้ไงแย้ม”

ถึงที่หมายพวกเราได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนกับโจ้ (แววรินทร์ บัวเงิน) แกนนำบ้านแหงในหลายๆ เรื่อง ไม่เจอกันนานโจ้ดูเป็นผู้ใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นมาก เธอใช้ความรู้ทางกฎหมายที่ดั้นด้นเข้าไปฝึกงานในกรุงเทพฯ กับพี่สอ (ส.รัตนมณี พลกล้า) เพื่อนำกลับมาทำงานให้กับกลุ่มรักษ์บ้านแหงได้เป็นอย่างดี 

“ชาวบ้านอย่างเราวันนี้ไม่รู้กฎหมาย ไม่สนใจการเมืองไม่ได้แล้วพี่ โครงการเหมืองก็ถูกผลักดันมาจากทุกรัฐบาล ไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่ไม่เอาเหมือง กฎหมายก็เขียนมาให้นายทุนเปิดเหมือง ชาวบ้านพึ่งใครไม่ได้นอกจากพึ่งตัวเอง” โจ้พูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว 

สำหรับการชุมนุมที่บ้านแหงในครั้งนั้น ถึงชาวบ้านจะไม่ได้คำสั่งยกเลิกใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าจากหน่วยงานรัฐตามที่หวัง แต่ในแง่ของการปลุกความเคลื่อนไหวของมวลชนและการสื่อสารกับสาธารณะ โจ้กับแกนนำบ้านแหงก็รู้สึกพอใจกับความฮึกเหิมกล้าหาญของพ่อแม่พี่น้อง และเตรียมพร้อมที่จะรับมือหากมีใครถูกฟ้องคดีจากการปิดถนนตอนชุมนุมที่หน้าอำเภอ

ฉันเก็บคลิปวีดีโอและภาพกลับมาเปิดให้พ่อๆ แม่ๆ ที่นาหนองบงดู ทุกคนตื่นเต้น ร่วมอารมณ์และเห็นถึงพลังของเพื่อนมวลชนที่ต่อสู้ร่วมกันในการค้านเหมือง 

ฉันมองดูแม่ๆ ที่นั่งดูวีดีโอและกำลังรุมด่าพฤติกรรมของข้าราชการบนโต๊ะเจรจากับกลุ่มรักษ์บ้านแหง ชีวิตของโจ้ก็ไม่ได้ต่างจากชาวบ้านนาหนองบง เป็นชาวนาชาวไร่ที่ทุ่มเทสุดตัวกับการต่อสู้ สูญเสียวิถีชีวิตที่เคยปกติสุข สถานะความมั่นคงของครอบครัวสั่นคลอน แต่ด้วยจิตสำนึกรักษ์บ้านเกิดอันแรงกล้า ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาต่อสู้ยาวนานแค่ไหน ไม่ว่าจะถูกเหล่าข้าราชการหรือนายทุนดูถูกเหยียดหยามมากี่ครั้ง มันไม่ได้ทำให้พวกเขาอ่อนแอลง แต่ยิ่งทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น เพราะที่นี่คือบ้านเกิดเมืองนอนที่ลูกหลานในอนาคตจะต้องใช้ชีวิตสืบไป

ย่างเข้าเดือนพฤษภาคม ชาวบ้านเริ่มวางแผนสำหรับฤดูกาลเพาะปลูก บ้านฟากห้วยกำลังปรึกษากันเรื่องจะปลูกอ้อยในนาข้าวบริเวณร่องห้วยเหล็กที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีในบ่อเก็บกากแร่ที่ไหลลงมาปนเปื้อนจนนาข้าวตายร้างมาสามสี่ปี ทุกคนไม่แน่ใจว่าอ้อยจะตายเหมือนข้าวหรือไม่ แต่ก็เสียดายที่นาหลายสิบไร่ที่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว ส่วนพ่อไม้วางแผนกับแม่ๆ จะทำแปลงนารวมเพื่อระดมทุนเข้ากลุ่ม ชาวบ้านเริ่มเตรียมพันธุ์ข้าว เตรียมเมล็ดพันธุ์ เตรียมกล้าไม้ ช่วงเวลาก่อนฝนจะมา มีงานหลายอย่างที่ต้องเตรียมการ 

ฉันเริ่มชวนคุยกับกลุ่มแม่ๆ ที่คุ้มน้อยเรื่องการลดรายจ่าย การหารายได้เสริมทั้งในครัวเรือนและงานในกลุ่ม แม่ๆ มีความคิดว่าหน้าฝนปีนี้จะเข้าป่าหาหน่อไม้มาทำหน่อไม้ปี๊ปเก็บไว้เป็นวัตถุดิบในการจัดงานต่างๆ ของกลุ่ม กลุ่มแม่รสในคุ้มน้อยจะเตรียมปลูกพริกเพื่อตากเป็นพริกแห้ง แปรรูปกล้วยฉาบ และฟื้นการปลูกฝ้าย รวมถึงการรวมกลุ่มกันทอผ้าและหาตลาดให้เป็นกิจจะลักษณะขึ้น แม่ๆ ดูตื่นเต้นกระตือรือร้นกับแผนงานด้านเศรษฐกิจที่กลุ่มยังไม่เคยร่วมกันทำมาก่อน

พี่โกชวนไปดูไร่กล้วยบนภูเขาของเธอที่กำลังแตกหน่อ เธอเล่าความเป็นมาของที่ดินผืนนี้ว่า “เลิศเคยบอกว่าจะหาเงินเดือนให้เพราะพี่ไม่มีรายได้ แล้วก็โอนเงินเข้าบัญชีมาให้พี่ แต่อยู่ในหมู่บ้านไม่ได้ใช้เงินอะไรมากพี่ก็แทบไม่ได้ไปเบิกเงิน มาเช็คบัญชีดูอีกทีถึงรู้ว่าเลิศโอนเงินให้ทุกเดือน ในช่วง 1 ปี พี่เลยเบิกเงินออกมาซื้อที่ดินผืนนี้แล้วลงกล้วยไปตอนฝนที่แล้ว”

ฉันยืนอยู่บนพื้นราบแหงนมองไร่กล้วยบนเนินเขาผืนนั้น เนื้อที่เกือบ 8 ไร่ อยู่เลยบ้านคุ้มน้อยขึ้นไปทางทิวเขาด้านทิศเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร แวดล้อมไปด้วยสวนยางพารา ถึงถนนจะขรุขระและลาดชันในบางระยะ แต่ก็ดินดำ น้ำดี ต้นกล้วยที่ปลูกไว้ลำใหญ่อวบงาม 

“ทำไมถึงมาซื้อที่ดินที่นี่” ฉันถาม

“ซื้อไว้เพื่อสร้างเงื่อนไขในการทำงาน” พี่โกตอบด้วยแววตาเป็นประกาย แต่ฉันไม่เข้าใจคำตอบของเธอเลย คำถามง่ายๆ ทำไมต้องให้ตีความกันหลายชั้น เหมือนกับทุกครั้งที่ฉันคาดคั้นคำอธิบายจากการสนทนา พี่โกหรือรวมทั้งพี่เลิศก็มักจะพูดคำเดียวกันว่า “เราไม่ต้องพูดสิ่งที่คิดทั้งหมดก็ได้” 

สรุป คือ ฉันคุยกับชาวบ้าน คุยกับน้องๆ สนุกกว่ามากมาย

ชายฉกรรจ์สวมโม่งและใช้ไม้เป็นอาวุธเข้าทำร้ายชาวบ้านนาหนองบง อ.วังสะพุง จ.เลย จนได้รับบาดเจ็บ ขณะเข้าห้ามปรามไม่ให้ขนแร่ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557

น้องๆ ดาวดินยังหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านไม่เคยขาด บางครั้งโบกรถมากันเป็นกลุ่มใหญ่ กว่าจะถึงตีสามตีสี่โทรหาพ่อๆ ปลุกให้ขับรถออกไปรับ เข้ามาแต่ละครั้งแม่ๆ จะเตรียมอาหารที่ชอบไว้รอรับเสมอ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นพี่สาวคนโตในครอบครัวใหญ่ มีน้องนุ่งวัยหนุ่มสาวกำลังกินกำลังนอนอยู่เต็มบ้าน และแม่ๆ ก็ตามใจน้องมากด้วย ไม่อาบน้ำ นอนดึก ตื่นสาย ที่นอนไม่เก็บ กินข้าวไม่เป็นเวลา จานไม่ล้างก็ไม่เคยดุ ไม่เคยว่า ส่วนน้องสาวทั้งหญิง บุษ (บุษยา แจ่มฟ้า) เฟรม (ศศิประภา​ ไร่สงวน) บี๋ (จิรัชญา หาญณรงค์) ตาล (วศินี บุญที) เฟิร์น (ขวัญหทัย ปทุมถาวรสกุล) มาทีไรเด็กน้อยในหมู่บ้านจะชวนกันไปวิ่งเล่นส่งเสียงเจื้อยแจ้วเจี๊ยวจ๊าวอยู่กับพี่ๆ ทั้งวัน 

“แม่ตามใจน้องมากไปแล้วนะ น้องมันจะเคยตัว” ฉันทำเป็นจู้จี้ขี้บ่นให้กับแม่ไหม่ แม่รส แม่ไม้ แม่ป๊อป ที่นั่งอยู่ด้วยกันเมื่อเห็นน้องๆ นอนตื่นสาย ส่วนแม่ๆ ได้แต่หัวเราะที่ฉันต่อว่าลูกรักของนาง

ดาวดินทุกคนทำให้บรรยากาศในหมู่บ้านร่าเริงสดใส พวกเราชวนกันไปนอนด่าน ทำกิจกรรมต่างๆ สำรวจพื้นที่ ออกเยี่ยมราษฎรพร้อมกับพี่โก สำหรับฉันที่พ่อแม่ทยอยตายจากตั้งแต่เรียนยังไม่จบ มีแต่พี่ชายสองคน เป็นลูกสาวคนเล็ก ไม่เคยมีน้อง หลายครั้งก็ตามใจน้องไม่ได้ต่างไปจากแม่ๆ เลย

บ่ายวันหนึ่งชาวบ้านและน้องๆ กำลังนั่งคุยกันเต็มลานหน้าบ้านแม่ไหม่ พี่โกเดินหลบออกไปรับโทรศัพท์ ฉันจับความได้ว่าครอบครัวของเธอส่งข่าวมาว่าแม่นอนอยู่โรงพยาบาล อาการไม่ดี และฉันเคยได้ยินเรื่องนี้มาแล้วตั้งแต่เดือนเมษาฯ แต่พี่โกไม่เคยเล่าให้ใครฟัง และฉันก็ไม่กล้าถาม เพราะพี่โกแทบไม่เคยคุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องในหมู่บ้าน งาน ปัญหา และสังคม แต่ไม่กี่วันหลังจากนั้นพี่โกก็ชวนฉันไปหัวหิน 2 วันเยี่ยมแม่ที่กำลังป่วย ฉันลังเลแต่ก็ตัดสินใจรับปากเมื่อเห็นสายตาห่วงใยหากจะปล่อยให้ฉันอยู่ในหมู่บ้านโดยไม่มีเธอ และช่วงนั้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่น้องๆ ดาวดินจะกลับขอนแก่นเพื่อเตรียมตัวสอบ ส่วนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในหมู่บ้านออกไปขายลอตเตอรี่ต่างจังหวัดยังไม่กลับ 

รุ่งเช้าวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเป็นช่วงเวลาดีที่จะแยกย้ายกันไปทำภารกิจส่วนตัวก่อนที่เหมืองจะขนแร่ในวันที่ 29-30 พฤษภาคม ตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ สถานการณ์ในหมู่บ้านค่อนข้างเงียบสงบ พี่โกกับฉันพากันนั่งรถโดยสารไปหัวหิน น้องๆ กลับขอนแก่น ส่วนชาวบ้านยังคงเฝ้าระวังเพื่อป้องกันไม่ให้มีการขนแร่ออกจากเหมืองอย่างเข้มงวด แต่แล้วพวกเราก็คาดผิด สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้นเป็นความรุนแรงอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ตีหนึ่งกว่าเสียงโทรศัพท์แว่วๆ ในกระเป๋าเป้ปลุกฉันขึ้นมาด้วยอาการงัวเงีย และความเพลียจากการเดินทาง แต่ฉันก็รีบกระโดดไปปลุกพี่โกด้วยอาการแตกตื่นที่เห็นสายโทรศัพท์จากบ๋อยที่ไม่ได้รับถึง 11 สาย

พี่โกคว้าโทรศัพท์โทรกลับหาบ๋อยแต่โทรไม่ติด เธอยังกดโทรศัพท์ต่อไปไม่หยุด ฉันได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นไม่เป็นส่ำ รีบเปิดคอมฯ สื่อสารกับเพื่อนพ้องในกรุงเทพ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงบ๋อยจากปลายสาย “อาจารย์ มันยกกันมาขนแร่ มันจับชาวบ้านทั้งหมดไว้ที่ด่าน มันมัดมือมัดตีนไขว้หลังบังคับชาวบ้านให้นอนลงแล้วก็ซ้อม” บ๋อยเล่าละล่ำละลักด้วยเสียงร้องไห้ ฉันนั่งฟังอยู่ข้างๆ ตัวเกร็งเหมือนหยุดหายใจ 

“พวกมันทำลายกำแพง ขนแร่ออกไปแล้ว” บ๋อยยังร้องไห้เสียงสั่นและเล่าเหตุการณ์แทบไม่ปะติดปะต่อ สัญณาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยดี พี่โกต้องบอกเป็นระยะ “บ๋อย ตั้งสติให้ดีๆ ค่อยๆ เล่า ทุกคนปลอดภัยหรือเปล่า” 

“ไม่รู้ค่ะ ไม่รู้ว่าใครอยู่ที่ไหนบ้าง แต่ชาวบ้านที่ด่านทั้งหมดโดนจับ ชาวบ้านที่ออกมากรีดยางผ่านมาก็ถูกจับ แต่มันปล่อยพวกหนูกับชาวบ้านที่วอ2 ออกมาแล้ว แต่มันยังจับพ่อไม้ไว้เป็นตัวประกันอยู่” บ๋อยตอบ

พี่โกรู้ว่าเวลานี้ทุกคนต้องการรู้สถานการณ์ เธอบอกกับบ๋อยว่า “บ๋อยต้องตั้งสติให้ดีนะ เช็คว่ามีใครเป็นอะไรกันบ้างหรือเปล่า ชาร์ทแบตโทรศัพท์ไว้คอยรับสาย มีอะไรก็ให้รีบโทรมา” 

ไผ่กับปาล์มพอรู้เรื่องก็ขับรถจากขอนแก่นถึงนาหนองบง แต่ติดอยู่ที่หน้าด่าน วอ1 ที่มีคนเอารั้วเหล็กมากั้นขวางถนนเอาไว้โดยมีกองกำลังถือปืนยืนคุมเชิงอยู่ 

ฉันกับพี่โกนั่งติดตามเหตุการณ์ผ่านแชทกลุ่ม ไผ่ส่งคลิปในพื้นที่เข้ามา พวกเราเห็นแต่ความมืดมิดและสะเก็ดไฟจากเสียงปืนที่ดังเป็นระยะ เสียงแก้วแตก เสียงแท่งเหล็กกระทบกัน เสียงชาวบ้านก่นด่าอื้ออึงจนฟังไม่ได้ศัพท์ หลังจากนั้นไผ่กับปาล์มคอยส่งข่าวเข้ามาเป็นระยะๆ เพื่อส่งข่าว

ประมาณตีสี่พี่โกโทรหาบ๋อยอีกครั้ง “มันปล่อยชาวบ้านหมดแล้วค่ะอาจารย์ เหลือแต่พ่อไม้ มันบอกว่าจะขนแร่ออกไปให้เสร็จก่อน ขู่ไม่ให้ชาวบ้านตามรถ” 

ฟังจากที่บ๋อยเล่า เหมืองขนแร่ออกไปหมดแล้วพร้อมกับกองกำลังที่เข้ามาทำร้ายชาวบ้าน พี่โกบอกกับบ๋อยก่อนจะวางสาย “บ๋อยทำใจดีๆ ไว้ ดูแลกัน ผมกับต๊ะจะรีบไป”

พี่โกวางสายจากบ๋อยแล้วร้องไห้ น้ำตาของเราไหลพรากอีกครั้งตั้งแต่เริ่มรู้ข่าว ฉันเอื้อมมือไปโอบกอดเธอในบางครั้ง ในใจรู้สึกโทษตัวเองซ้ำๆ ที่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน

กลุ่มคนรักษ์บ้านเกิด จากหมู่บ้านนาหนองบง อ.วังสะพุง ร่วมกันออกมาสกัดไม่ให้มีการขนแร่

ตีห้ากว่าๆ เราสองคนรีบเดินออกจากบ้านเพื่อขึ้นรถเที่ยวแรกกลับนาหนองบง

รายละเอียดของเหตุการณ์ในวันนั้นที่ถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์และฝังลึกในความจดจำของชาวบ้าน 

22.00 น. ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ยินเสียงปืน และเสียงชาวบ้านร้องตะโกนดังมาจากด่าน พอรู้ว่าเหมืองจะมาขนแร่ ทุกคนรีบส่งข่าวถึงกัน พ่อสมัยอยู่ฝั่งคุ้มน้อยประกาศเรียกคนให้มาช่วยกันปกป้องกำแพง ส่วนแม่ไม้อยู่คุ้มใหญ่ก็วิ่งไปประกาศเรียกคนที่หอกระจายข่าวบ้านผู้ใหญ่บ้าน พ่อไม้ได้ยินเสียงประกาศก็รีบวิ่งไปที่บ้านแม่ป๊อป แต่ถูกจับตัวตอนผ่านด่านวอ1 ที่มีกองกำลังปิดล้อมด่านไว้แล้ว 

22.30 น. ไฟสว่างถูกตัด ด่านวอ1 วอ2 วอ3 ถูกยึด และเส้นทางในหมู่บ้านทุกสายถูกปิดกั้นด้วยกลุ่มกองกำลังไม่ต่ำกว่า 300 คนที่ใส่หมวกไอ้โม่งคลุมหน้า ในมือถือปืน มีด และไม้ ชาวบ้านที่นอนเฝ้าด่านทุกด่านถูกจับเป็นตัวประกัน ถูกมัดมือมัดเท้าไพล่หลังให้นอนหมอบอยู่กับพื้น ถูกยึดโทรศัพท์และปลดทรัพย์สิน ไอ้โม่งกลุ่มหนึ่งจับชาวบ้านทั้งชาย หญิง และผู้เฒ่ามาซ้อมทารุณ เพื่อข่มขู่ไม่ให้ชาวบ้านที่เหลือลุกขึ้นสู้ ส่วนพ่อไม้ก็ถูกใส่กุญแจมือแล้วถูกซ้อมอยู่ในบริเวณศูนย์บัญชาการกองกำลัง ส่วนชาวบ้านที่วิ่งกันออกมาจากหมู่บ้านพยายามจะเข้ามาช่วยตัวประกันถูกยิงขู่อยู่บนถนน ไม่สามารถเข้าถึงด่านได้ 

24:00 น. รถบรรทุก 2 คันนำกำลังเสริมเดินทางเข้ามา หลังจากนั้นมีการนำรถแทรกเตอร์ลงมาจากเหมืองเข้าทำลายกำแพงเพื่อเปิดทางให้รถบรรทุก 18 ล้อ ประมาณ 13 คันวิ่งผ่านขึ้นไปยังเหมือง ในขณะที่รถไถทำลายกำแพงและรถบรรทุกวิ่งผ่าน กองกำลังที่ประจำอยู่ในจุดนั้นและที่ซุ่มอยู่ในป่าและบริเวณถนนก็ยิงปืนเพื่อข่มขู่ชาวบ้านเป็นระยะๆ เพื่อตรึงพื้นที่กันไม่ให้กลุ่มชาวบ้านเข้ามาช่วยตัวประกันหรือเข้าขวางรถไถหรือขบวนรถบรรทุก

หลังเที่ยงคืนจนถึงตีห้ารถบรรทุกขนแร่เริ่มทยอยวิ่งลงมาจากเหมืองทอง ชาวบ้านรุมกันเข้าปะทะเป็นระยะ บางคนถูกตีได้รับบาดเจ็บ บางคนถูกจับไปรุมซ้อม แต่ทุกครั้งก็จำเป็นต้องล่าถอยเมื่อฝ่ายตรงข้ามระดมยิงปืนขู่ ขว้างมีด และปาขวดใส่ ในที่สุดรถขนแร่คันสุดท้ายวิ่งลงมาจากเหมือง พร้อมกับรถพ่วงเปล่า 1 คันที่ตามมาขนกำลังพลทยอยขึ้นรถแล้วถอนกำลังออก ก่อนจะขับรถออกไป ชาวบ้านได้ยินเสียงตะโกนว่า “แล้วกลับมาอีก”

แต่ช่วงเวลา 7 ชั่วโมง ตั้งแต่เกิดเรื่อง ชาวบ้านได้ช่วยกันโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือทั้งจาก สภ.วังสะพุง นายอำเภอวังสะพุง ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย รวมถึงสายด่วนแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย 191 และ 1669 แต่คืนนั้นทั้งคืนมีรถสายตรวจประจำตำบลเขาหลวงและรถตำรวจที่วิ่งเข้ามาแล้ววนกลับโดยไม่ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใดเพียงสองคัน  ส่วนรถ 1669 วิ่งเข้ามาตอนตีหนึ่งแต่โดนยิงขู่เข้าพื้นที่ไม่ได้ต้องถอยกลับ ก่อนจะวิ่งเข้ามารับคนเจ็บไปโรงพยาบาลหลังกองกำลังและรถขนแร่ออกจากพื้นที่ไปแล้ว ส่วนพ่อไม้ถูกปล่อยตัวกลับเข้ามาในบ้านเป็นคนสุดท้าย

รุ่งเช้าวันที่ 16 ชาวบ้านจากทุกจุดมารวมตัวกันขึ้นรถไปชุมนุมหน้า สภ.วังสะพุง เรียกให้ผู้กำกับสภ.วังสะพุง ออกมาคุยกับชาวบ้าน แต่จนถึงเก้าโมงเช้ายังไม่มีใครออกมารับหน้า ชาวบ้านจึงเตรียมกางเต็นท์กลางสี่แยกหน้าสถานีตำรวจ เมื่อถูกกดดันหนักขึ้นผู้กำกับและนายอำเภอค่อยเดินออกมารับปากกับชาวบ้านว่า จะเร่งติดตามตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บ 8 คนแรกจึงแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สภ.วังสะพุง ก่อนจะยกขบวนกลับหมู่บ้าน

ฉันกับพี่โกเดินทางถึงหมู่บ้านช่วงเย็น ฉันกุมมือเธอไว้ตลอดทางจากหัวหินถึงกรุงเทพฯ ต่อรถจากกรุงเทพฯ ถึงวังสะพุง บางครั้งก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร แต่เราก็ปาดน้ำตาจนแห้งก่อนเข้าหมู่บ้าน 

แม่เบียร์บ้านฟากห้วยขับรถออกไปรับเราที่ท่ารถ ถึงบ้านแม่ไหม่เห็นพ่อไม้นอนหลับอยู่บนแคร่รักษาตัวด้วยวิธี “ย่างไฟ” แม่ๆ ทุกคนนั่งจับกลุ่มกันแน่นขนัดหน้าบ้าน มีเสียงร้องไห้ผสานกับเสียงพูดคุยอยู่เงียบๆ ตลอดเวลา  

ฉันเดินเข้าไปกอดแม่ๆ ทุกคนเงียบๆ สำรวจตรวจตราใครเป็นอะไร เจ็บตรงไหน ก้อนสะอึกวิ่งขึ้นมาจุกที่ลำคออีกครั้งเมื่อเห็นรอยแผลบนข้อเท้าของแม่ไม้ ผู้หญิงท้องอุ้ยอ้ายที่กำลังร้องไห้จนตาแดงช้ำ 

“แม่คิดว่าพ่อไม้จะตายแล้วต๊ะ” ไม่ทันแม่ไม้จะพูดจบฉันก็เข้าไปกอดเธอที่ร้องไห้จนตัวโยนไว้นิ่งนาน  

คืนนั้นเสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วหมู่บ้าน น้ำเสียงของความโกรธ และความแค้นพรั่งพรูเหมือนสายน้ำไหล ก่อนที่หลายคนจะม่อยหลับไปทีละคนๆ ฉันค่อยๆ หยิบคอมพิวเตอร์ออกมาเริ่มทำงาน ส่วนพี่โกนั่งอยู่หน้าบ้านคุยกันอยู่เงียบๆ กับไผ่ ปาล์ม และชาวบ้านที่ยังไม่นอน 

ในใจฉันอัดแน่นไปด้วยความโกรธแค้นเมื่อนึกถึงกลุ่มคนที่พกอาวุธถือปืน ใส่ชุดดำ คลุมหน้า การล้อมจับชาวบ้านเกือบร้อยที่นอนเฝ้าด่าน ปิดกั้นเส้นทางทุกจุดไม่ให้ชาวบ้านในหมู่บ้านออกมาช่วย จับพ่อไม้ขึ้นรถตู้ไปเป็นตัวประกัน จะมีใครวางแผนทำแบบนี้ได้นอกจากมืออาชีพและกลุ่มคนที่ถูกฝึกมาให้รับคำสั่ง 

ฉันเริ่มรายงานสถานการณ์กับกลุ่มนักข่าว และเพื่อนพี่น้องในช่องทางการสื่อสารต่างๆ อีกครั้ง 

ตั้งแต่เหตุการณ์จนถึงเวลานี้ข่าวการขนแร่โดยใช้กองกำลังติดอาวุธปิดล้อมทำร้ายชาวบ้าน จับชาวบ้านเป็นตัวประกัน อุ้มแกนนำค้านเหมืองทอง กลายเป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่ง และแพร่สะพัดไปจากสื่อทุกสำนัก แต่ฉันกลับไม่ได้สนใจข่าวเหล่านั้นหรือแม้จะเข้าไปอ่านรายละเอียดในข่าวต่างๆ แม้แต่น้อย แต่ต้องสะดุดและแอบเช็ดน้ำตาเงียบๆ ที่เห็นพี่ชายแชร์ข่าวและโพสต์ในเฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า “ช่วยด้วยครับ น้องสาวผมติดอยู่ในหมู่บ้าน”

image_pdfimage_print