เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564  แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จัดงานเสวนา ห้องเรียนสิทธิมนุษยชนออนไลน์  ตอน เกณฑ์ทหารกับสิทธิมนุษยชน: ประเทศไทยอยู่ตรงไหนในโลก? เนื่องด้วยวันต้านการเกณฑ์ทหารสากล เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหารและการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยมีวิทยากรคือ พริษฐ์ วัชรสินธุ CEO Startdee และอดีตทหารเกณฑ์, พงศธร จันทร์แก้ว อดีตทหารเกณฑ์, ณิชกานต์ หงษ์กาญจนพงษ์ ผู้ช่วยวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และ พริม มณีโชติ ผู้ดำเนินรายการ

เนื่องด้วย วันที่ 15 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันต้านการเกณฑ์ทหารสากล โดยเฉพาะในยุโรปจัดกิจกรรมรำลึกถึงบุคคลที่ลุกขึ้นมาปฏิเสธการเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารและการเกณฑ์ทหาร (Conscientious Objectors) ในอดีต หลายคนถูกลงโทษจำคุกหรือแม้แต่ประหารชีวิต คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNCHR) มีมติรับรองว่าการปฏิเสธเข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารและการเกณฑ์ทหารบนพื้นฐานของเสรีภาพทางความคิดและมโนธรรมนี้ เป็นไปตามสิทธิในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

“เราก็เป็นแค่ของเล่นเขา” งานวิจัยที่ว่าด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหาร

ณิชกานต์ หงษ์กาญจนพงษ์ ผู้ช่วยวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า วิจัยหัวข้อ “เราก็เป็นแค่ของเล่นเขา” (“We were just toys to them”) ซึ่งเผยแพร่ไปเมื่อปีที่แล้ว ในงานวิจัยพบการละเมิดทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศต่อทหารเกณฑ์ในกองทัพไทย ซึ่งทำให้ได้รู้ว่า ผู้ที่เป็นอดีตทหารเกณฑ์และให้ข้อมูลมาทำวิจัยชิ้นนี้ทุกรายนั้นต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวทั้งสิ้น 

 “เนื่องจากในค่ายทหารนั้น มีการละเมิดสิทธิอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีความรับผิดชอบหรือกระบวนที่ทำให้เกิดความยุติธรรมกับทหารเกณฑ์ ยกตัวอย่างเช่น การลงโทษหรือการซ่อม ซึ่งมักจะพบว่าเกิดขึ้นอย่างไม่เหมาะสม เป็นต้นว่าทหารเกณฑ์จะถูกสั่งให้วิดพื้นหนึ่งร้อยครั้งในระยะเวลาที่เป็นไปไม่ได้ หรือถูกลงโทษเพราะครูฝึกมองว่าทหารเกณฑ์บางนายไม่ให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา หรือกอดผู้เข้ามาเยี่ยมแน่นเกินไปเพราะตามกฎอนุญาตให้แค่จับมือหรือกอดหลวมๆ”

“นอกจากนี้ยังมีการทำให้อับอายโดยไม่ได้ใช้กำลังโดยตรงหรือล่วงละเมิดทางเพศ แต่เป็นการลงโทษโดยการลดทอนศักดิ์ศรีโดยการใช้วาจา เช่น เรียกด้วยชื่อที่ไม่ชอบ หรือถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่น่าอับอาย เช่น เทอาหารร่วมกันลงพื้นแล้วกินจากพื้น ทั้งยังมีกรณีที่รุนแรงอย่างการให้โดดลงบ่อเกรอะจนมิดหัว ซึ่งส่วนใหญ่พบในค่ายที่ต่างจังหวัดซึ่งอาจมีกระบวนการตรวจสอบที่น้อยลง นอกจากนี้ยังมีการขูดรีดเงินโดยครูฝึก หรือบังคับให้จ่ายค่าสบู่หรือค่าเครื่องแบบอันเป็นสิ่งที่ทหารเกณฑ์ควรได้รับตามสิทธิอยู่แล้ว  ” ณิชกานต์กล่าว

ณิชกานต์กล่าวต่อว่า ดังนั้นเพื่อจะแก้ปัญหานี้ รัฐสภาไทยต้องจัดตั้งคณะกรรมการการตรวจสอบ เพื่อยุติการละเมิดสิทธิของทหารเกณฑ์ในอนาคต และผ่าน “ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ….” ให้ได้ 

พงศธร จันทร์แก้ว เป็นนักสังคมสงเคราะห์และอดีตทหารเกณฑ์

กองทัพ ทหารและความเป็นชายอันแสนเป็นพิษ

พงศธร จันทร์แก้ว นักสังคมสงเคราะห์ และอดีตทหารเกณฑ์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่ต้องฟังหรือสื่อสารประเด็นนี้ก็มักรู้สึกว่าเป็นภาระทางอารมณ์เสมอ เนื่องจากตนเคยไปอยู่ในค่ายทหารและผ่านประสบการณ์การถูกล่วงละเมิด อาการหายใจติดขัดและพูดตะกุกตะกักยังเกิดขึ้นกับตนทุกครั้งที่ต้องสื่อสารเรื่องนี้

โดยพงศธรมองว่า ในรั้วทหารนั้นมีแนวคิดเรื่องความเป็นชายและความเป็นทหารอยู่ อะไรที่ผิดไปจากนี้นับเป็นความอ่อนแอและจะถูกกลั่นแกล้ง ทำให้อับอายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทหารเกณฑ์บางส่วนถูกเลือกไปเป็นทหารรับใช้บ้านนายพล โดยอาจจะใช้เส้นสายเข้าไปเพื่อจะได้ไม่ต้องฝึกหนักเท่าคนอื่น ตนก็เคยเป็นทหารรับใช้และยืนยันว่าชีวิตสบายกว่าคนอื่นจริง กับอีกประการคือถูกเลือกเข้าไป โดยต้องเป็นทหารเกณฑ์ที่มีบุคลิกเรียบร้อย ทำให้ส่วนหนึ่งของทหารที่ถูกเลือกไปทำงานรับใช้เป็นผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศเพราะกองทัพมักโยงผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้ากับงานบ้านต่างๆ เช่น กวาดลานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้า เสิร์ฟน้ำ จองตั๋วเครื่องบิน อาบน้ำหมา เป็นต้น

“ถ้าจะมีสิ่งที่ต้องเปลี่ยนในระบบการเกณฑ์ทหารคือ วิธีการเข้าไปในนั้น การพาเข้าไปในนั้นก็นับเป็นการละเมิดตั้งแต่แรก เราเองเสียเวลาในค่ายทหารหนึ่งปี เป็นหนึ่งปีที่รู้สึกถึงความต้อยต่ำที่สุดในแง่ของคุณค่าในชีวิต และการถูกปฏิบัติที่เป็นมนุษย์น้อยที่สุดตั้งแต่เกิดมา ดังนั้น จึงต้องแก้ไข พ.ร.บ.เกณฑ์ทหารฯ ให้เป็นรูปแบบการสมัครใจ และประการต่อมา ต้องทำให้มั่นใจว่าเมื่อเข้าไปแล้ว ทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีศักดิ์ศรีอย่างเป็นมนุษย์ เคารพกัน และดึงศักยภาพออกมาได้มากที่สุดจริงๆ ” 

พงศธรเสริมว่า สมัยที่ตนเป็นทหารเกณฑ์และได้รับความไม่เป็นธรรมนั้น ก็ไม่เคยเข้าไปในกระบวนการร้องเรียนเลยสักครั้ง เพราะเมื่อเข้าไปในรั้วทหารจะรู้ได้ทันทีว่าการร้องเรียนตามกระบวนการต่างๆ ของทหารนั้นไม่ได้ผล ทั้งที่ในชีวิตจริงๆ โดยวิสัยแล้วตนมักร้องเรียนและทวงสิทธิของตัวเองอยู่เสมอ 

“ในฐานะประชาชน สิ่งที่เราสามารถทำได้ในฐานะประชาชนในระบบประชาธิปไตย คือการพยายามหานักการเมืองที่พูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน ให้ส่งเสียงพูดเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เพราะนี่เป็นอำนาจโดยตรงของประชาชน แต่เมื่อพรรคก้าวไกลเสนอแล้วโดนปัดตกก็ทำให้เกิดคำถามเรื่องที่มาของรัฐสภาและเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเดียวกันหมดเลย” อดีตทหารเกณฑ์กล่าว

การเกณฑ์ทหาร งบประมาณและความคุ้มได้ไม่คุ้มเสียทางเศรษฐกิจและทรัพยากร

พริษฐ์ วัชรสินธุ CEO บริษัท Startdee และอดีตทหารเกณฑ์ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศที่เป็นส่วนน้อยมากที่ยังเกณฑ์ทหารอยู่ในช่วงที่ไม่มีสงคราม การยกเลิกการเกณฑ์ทหารไม่ได้แปลว่าจะให้ยกเลิกกองทัพ คือยังมีกองทัพอยู่แต่ประกอบไปด้วยคนที่สมัครใจ เพราะปัจจุบันแม้จะมีคนที่สมัครใจแต่ยังมีอีกหลายคนที่ถูกบังคับเข้าไปอยู่

โดยพริษฐ์เล่าถึง การที่กองทัพบอกว่าการเกณฑ์ทหารยังจำเป็นเนื่องจากหากยกเลิกการเกณฑ์ทหารจะไม่มีกำลังพลมากพอ ซึ่งไม่จริง หากคำนวณว่าประเทศกำลังบังคับผู้ชายจำนวนหนึ่งแสนคนหรือ 1 ใน 3 ไปเป็นอาชีพทหารเพียงอาชีพเดียว นับเป็นการไปลดจำนวนคนทำงานในสาขาอาชีพอื่นลง นับเป็นการสูญเสียราคาทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เนื่องจากมีหลายคนที่มีรายได้เยอะมาก แต่ต้องเสียเวลาไปเป็นทหาร หรือเมื่อออกมาแล้วก็กลับไปทำรายได้แบบเดิมไม่ได้อีก หรืออาจต้องพลัดพรากจากครอบครัว ภาระการพิสูจน์ว่าการเกณฑ์ทหารนั้นจำเป็นจึงเป็นสิ่งที่กองทัพต้องตอบให้ได้ หากอธิบายไม่ได้จะสร้างราคาอันมหาศาลต่อเศรษฐกิจภาพรวมและต่อชีวิตคนรายปัจเจก

อย่างไรก็ดี ในบรรดาทหารเกณฑ์หนึ่งแสนคนที่กองทัพเรียกร้องนี้ อยากตั้งคำถามว่าเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผลแล้วหรือในโลกสมัยใหม่ ตนคิดว่าไม่จำเป็น ตามสถิติของประเทศทั่วโลก ประเทศไทยสูงเป็นอันดับ 6 รองจากประเทศที่อยู่ในภาวะสงคราม เช่น เกาหลี รัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีภัยความมั่นคงชัดเจน จึงเห็นได้ชัดว่าไทยมีกำลังพลสูงเกินไปหากเทียบกับจำนวนประชากร ทั้งในจำนวนหนึ่งแสนคนนี้ก็มียอดผี หรือคนที่จ่ายสินบนเพื่อไม่ต้องเข้าไปในค่ายทหาร ทำให้เห็นว่าแม้กองทัพจะขาดคนจำนวนนี้ไปก็ไม่ส่งผลใดๆ ต่อประเทศ โดยอย่าลืมว่า เกือบทุกปีนั้นมีคนที่สมัครใจไปเป็นทหารอยู่แล้วราว 4-5 หมื่นคน ถามว่าอะไรทำให้กองทัพต้องหาคนอีกครึ่งหนึ่งมาถมให้เต็มหนึ่งแสนในสภาวะเช่นนี้

“ทั้งยังมีประเด็นเรื่องการทุจริต ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบการเกณฑ์ทหารมีข้อครหาว่าเป็นบ่อกำเนิดการทุจริต อุปกรณ์หลายอย่างที่มีการจัดซื้อจัดจ้างที่ราคาสูงกว่าราคาท้องตลาด การยกเลิกการเกณฑ์ทหารจึงช่วยลดการทุจริตตรงนี้ได้ และอีกประเด็นหนึ่งคือ เรื่องของความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ที่ถูกคัดหรือได้ใบแดงไปเป็นทหารมักมาจากครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินไม่ดีเท่าไหร่เพราะไม่ได้เรียนมัธยมปลายซึ่งจะทำให้ได้เรียน รด. เพื่อละเว้นการเกณฑ์ทหาร จึงมีเรื่องความเหลื่อมล้ำแฝงอยู่ด้วย” พริษฐ์กล่าว

รายงาน “เราเป็นแค่ของเล่นเขา” การละเมิดร่างกาย จิตใจ และทางเพศต่อทหารเกณฑ์ในกองทัพไทย โดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย

ดูแลทหารกองประจำการดุจญาติมิตรในครอบครัว ?

กองทัพไทยมีนโยบายในการดูแลทหารกองประจำการ “ดุจญาติมิตรในครอบครัว” พร้อมย้ำว่าการปฏิบัติต่อทหารกองประจำการมีระเบียบปฏิบัติของทางราชการที่วางไว้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ก็นับเป็นนโยบายที่ต้องถกเถียงกันต่อไปว่าเหมาะสมหรือไม่

ณิชกานต์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีข่าวที่ทหารถูกละเมิดสิทธิมากมายทุกปี โดยกองทัพไม่เคยต้องรับผิดชอบ เห็นได้จากกรณีกราดยิงโคราชเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา หากครอบครัวของผู้เสียหายพยายามร้องเรียนสิทธิอันชอบธรรมของคนในครอบครัวตัวเองต่อกองทัพ ก็จะถูกคุกคามหรือข่มขู่ กองทัพต้องกลับไปมองนโยบายและการปฏิบัติของตัวเองว่า เมื่อให้คำพูดที่เบาหวิวขนาดนี้โดยไม่ปฏิบัติใดๆ เลย ก็ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากกองทัพจนไม่น่ามีใครเชื่อถือในคำพูดของกองทัพอีกแล้ว

ขณะที่พงศธรเสริมว่า นโยบายที่ว่ารักกันดุจพี่น้อง ญาติมิตรนั้น อย่าลืมว่าทหารมีแนวคิดเรื่องทหารที่ต่างไปจากคนอื่น มันก็นำมาสู่วัฒนธรรมการทารุณกรรมและมีเรื่องชนชั้นทางอำนาจมาเกี่ยวข้องอยู่ดี จึงต้องแทรกซึมเรื่องสิทธิมนุษยชนเข้าไปในค่ายทหารให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

ด้านพริษฐ์ ซึ่งระบุว่าตนไม่เห็นด้วยกับนโยบายรักกันดุจพี่น้อง ญาติมิตรเลย กองทัพไม่ได้เป็นอะไรกับเรา เราไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้เป็นสมาชิก หรือหากสมัครไปแล้วไม่พอใจก็ควรจะเดินออกมาได้ การจะบอกว่าพลทหารเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคือการบอกว่าเราเลือกตัดขาดออกมาไม่ได้ และประเทศไทยเองมีปัญหาเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ทั้งทางร่างกายและการล่วงละเมิดทางเพศ ดังนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าในครอบครัวใดก็ตาม และหากกองทัพพยายามเปรียบเทียบตัวเองเป็นครอบครัว จะมีค่านิยมที่ครอบงำจนทำให้กองทัพไม่มีความเป็นมืออาชีพ เช่น บางครั้งเมื่อเห็นสามีตีภรรยา คนที่เข้าไปช่วยจะถูกห้ามว่าไม่ควรไปยุ่งเพราะเป็นเรื่องภายใน ค่านิยมแบบนี้เมื่อนำมาใช้ในกองทัพก็จะเป็นการยอมรับว่า คนนอกนั้นไม่สามารถตรวจสอบกองทัพได้ ต้องเป็นแค่กองทัพตรวจสอบกันและกันเท่านั้น หรือมีวาทกรรมเช่น ทำร้ายร่างกายเพราะรัก ก็คงไม่ใช่สิ่งที่เราอยากเห็น 

 “เมื่อไรก็ตามที่เริ่มเปรียบเทียบพลทหารเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพ จะมีเรื่องของบุญคุณแทรกเข้ามาทันที ถ้าผู้บังคับบัญชาทำไม่ดีกับเราอาจมีการอ้างบุญคุณด้วยได้ ดังนั้นจึงอันตรายมากหากเอาค่านิยมครอบครัวเข้ามาใช้ในกองทัพ กองทัพควรบริหารอย่างมืออาชีพมากกว่า” พริษฐ์ กล่าว  

อ่านเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

image_pdfimage_print