กระแสข่าวมีผู้ร่วมขบวนของ “จัน คนเขมร” กว่า 6,000 คน ทำให้ เมืองขุขันธ์ ทำให้กรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ข้าหลวงเมืองอุบลรีบโทรเลขบอกให้บางกอกส่งคนมาหนุน ซึ่งต่อมาได้สั่งตัดหัวเสียบประจานที่เมืองขุขันธ์
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ เรื่อง
หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่บนเฟซบุ๊กส่วนตัว ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564
ขุขัน (เขียนตามเอกสารสมัย ร.5) หรือ ขุขันธ์ เป็นหัวเมืองใหญ่ด้านเหนือเทือกเขาพนมดงรัก มีบริเวณเมืองในสังกัดครอบคลุมพื้นที่ส่วนด้านล่างของจังหวัดศรีสะเกษถึงบางส่วนของอุบลและสุรินทร์
เมื่อมีการจัดตั้งระบบจังหวัด ปี 2459 ขุขันธ์ได้เป็นตัวตัวจังหวัด กระทั่งปี 2481 จึงย้ายตัวจังหวัดไปที่เมืองศรีสะเกษ เพราะขุขันธ์อยู่ใต้เมืองศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานีรถไฟถึง 50 ก.ม.
ทว่าในยุคอดีต ขุขันธ์ คือ ที่ตั้งเมืองเชิงยุทธศาสตร์ในการเชื่อมต่อกับเมืองมโนไพร ด้านใต้เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตกัมพูชาและพุ่งตรงไปยังเสียมเรียบ
เรื่องกบฏผู้มีบุญ ถูกรายงานไปยังบางกอกเป็นครั้งแรกจากมณฑลอีสานที่อุบล เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2444 ว่า มีเหตุการณ์ร้ายแรงกำลังจะเกิดขึ้นที่เมืองขุขันธ์
ขณะที่มณฑลอุดรรายงานไปยังบางกอกในวันถัดมา (27 กุมภาพันธ์) ว่าประชาชนคนมณฑลอุดรเดินทางไปยังเมืองเสลภูมิ ร้อยเอ็ด เพื่อไปเอาหินแฮ่ (ก้อนกรวด หรือ หินลูกรัง) มาบูชาเพื่อจะกลายเป็นเงินเป็นทองตามลายแทงถึงวันละ 300-400 คน (นงลักษณ์, น.78-79)
ทั้งยังรายงานด้วยว่า ชาวบ้านในทั้งสามมณฑลภาคอีสานได้ฆ่าเป็ดไก่หมูที่มีในบ้าน เพราะไม่เช่นนั้นหินแฮ่ก็จะไม่เป็นเงินเป็นทองตามวันเวลาที่ระบุไว้
รายงานจากอุบล โทรเลขจากกรมขุนสรรพสิทธิประสงค์ เจ้านายผู้เป็นข้าหลวงต่างพระเนตรของรัชกาลที่ 5
มีศูนย์บัญชาการที่เมืองอุบล สำเร็จราชการเหนือหัวเมืองในมณฑลอีสาน (คลอบคลุมพื้นที่กว่าครึ่งภาคอีสาน ปัจจุบันเป็นจังหวัดอุบล อำนาจเจริญ ยโสธร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ) โดยแบ่งออกเป็น 4 “บริเวณ” (อาณาเขตภายใต้เมืองใหญ่ ได้แก่ บริเวณอุบล บริเวณร้อยเอ็ด บริเวณสุรินทร์ และบริเวณขุขันธ์) ไปยังกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทยที่บางกอก
รายงานว่า “มณฑลอีสานกำลังแตกตื่นผู้มีบุญทุกแห่งทุกหนทุกตำบล”
กรมขุนสรรพสิทธิ์ประเมินว่า เรื่องผู้มีบุญครั้งนี้น่าจะขยายใหญ่โตขึ้น ซึ่งใช้คำว่า “เปนข้างโจรขึ้นใหญ่โต”
ทั้งนี้ “ทางฝ่ายลาว” คือ คนลาวในมณฑลอีสานตามที่บางกอกเรียกนั้น เหตุการณ์ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ “แต่ทางฝ่ายเขมร” นั้น คือ คนเขมรในมณฑลอีสาน กรมขุนสรรพสิทธิ์คิดว่า น่าจะมีการ “ปล้นเมือง” ขุขันธ์ในสองวันข้างหน้า
กรมขุนสรรพสิทธิ์รายงานว่า เพราะ จัน หรือ “ตัวอ้ายบ้าผู้มีบุญนั้น” เป็นลูกพระยาขุขันธ์ที่สิ้นไปแล้ว ส่วนพระยาขุขันธ์คนปัจจุบันที่ชื่อ “เทยิ่ง” นั้น ดูจะกลัวเกรง “ครั่นคร้าม” ผู้มีบุญนั้นเสียแล้ว เพราะ “คนบ้านทั้งปวงก็ตื่นเข้าผู้มีบุญ” ในรายงานกล่าวว่า มีผู้เข้าร่วมถึง 6,000 คน (นงลักษณ์, น.90; สุมิตรา, น. 51-52)
ดังนั้นกรมขุนสรรพสิทธิ์ก็ขอให้ทางบางกอกสั่งการให้ทหารจากโคราช “สัก 100 คนโดยเร็วที่สุด” เดินทางมาช่วยปราบ “ตัวอ้ายบ้าผู้มีบุญนั้น” ที่เมืองขุขันธ์
วันเดียวกันนั้น กรมขุนสรรพสิทธิ์มีโทรเลขฉบับที่ 2 ถึงกรมหลวงดำรง อย่างสั้นๆ ว่า ขอให้ระงับการส่งกองกำลังทหารมาช่วยปราบที่เมืองขุขัยธ์ โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจมีการประเมินสถานการณ์ใหม่
หลังจากแตกตื่นตกใจไปตามแบบโทรเลขฉบับแรก เพราะภายใต้บัญชาของตนเองก็มีทหารสมัยใหม่จากบางกอกพร้อมอาวุธปืนยาวที่อุบลอยู่แล้ว 200 คนและมีทหารคนพื้นเมืองฝึกหัดอีกกว่า 300 คน รวมแล้วกว่า 500 คน (สุมิตรา, น. 53) แล้วทำไมจึงไม่ส่งทหารจากอุบลไปปราบเอง
ทว่าโทรเลขฉบับแรกที่มีไปยังกรุงเทพ กล่าวว่า จันผู้มีบุญมีสมาชิกถึง 6,000 คน ก็คงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องเรียกประชุมนายทหารและเสนาบดีผู้รับผิดชอบระดับสูง เพื่อสั่งการรักษาความสงบและการปราบปรามทันที
โดยสั่งเตรียมทหารบางกอกพร้อมอาวุธที่โคราช 200 คน พร้อมจัดส่งเงินเบี้ยเลี้ยงทหารล่วงหน้า 5,000 บาท (สุมิตรา, น. 57)
ด้านอุบล ทหารบางกอกประจำการที่เมืองนี้ หน่วยใต้บัญชาการของนายร้อยเอกหลวงชิตสรการ ได้สั่งให้นายร้อยโทหวั่น มีร้อยตรีเจริญ และร้อยตรีอินเป็นผู้ช่วย นำกำลังพลทหาร 36 คน ไปปราบจันผู้มีบุญที่ขุขันธ์ พร้อมทั้งได้กำลังจากกรมการเมืองและราษฎรขุขันธ์อีกจำนวนหนึ่ง (นงลักษณ์, น.117)
13 มีนาคม 2444 หรือ 15 วัน หลังจากโทรเลขรายงานฉบับแรกถึงจันผู้มีบุญเมืองขุขันธ์ กองกำลังทหารบางกอกพร้อมอาวุธปืนสมัยใหม่ภายใต้บังคับบัญชาของนายร้อยโทหวั่น ก็สามารถฆ่าจันและพรรคพวกอีกราว 10 คน ส่วนสมาชิกอื่นๆ ก็แตกกระเจิงไป
นายร้อยโทหวั่นสั่งตัดหัวจันเขมรผู้มีบุญกลับมายังเมืองขุขันธ์ด้วย ซึ่งเป็นไปได้แบบที่อื่นๆ คือ ปักหัวเสียบไม้ไว้ที่หน้าเมืองเมืองขุขันธ์ เพื่อประกาศถึงความสำเร็จในการปราบผู้มีบุญที่เมืองนี้ (นงลักษณ์, น.90; สุมิตรา, น. 53-54 )
การปราบด้วยการสังหารที่เมืองขุขันธ์ ซึ่งเป็นเมืองแรกสุดของการปราบผู้มีบุญ นับจากนี้ไปผู้มีบุญที่จับได้จะถูกทหารบางกอกฆ่าตัดหัวเสียบประจานอีกหลายแห่งต่อมา จนถึงกรณีทุ่งสังหารบ้านสะพือ อุบล เมื่อ 4 เมษายน 2445 หรือในช่วงราวหนึ่งเดือนของการปราบปรามผู้มีบุญลาวเขมรอีสาน
อ้างอิง
สุมาตรา อำนวยศิริสุข. กบฏผู้มีบุญในมณฑลอีสาน พ.ศ.2444-2445. สารนิพนธ์มานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2524.
นงลักษณ์ ยิ้มศิริ. ความสำคัญของกบฏหัวเมืองอีสาน พ.ศ.2335-2445. วพ. ประวัติศาสตร์ อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2524.
หมายเหตุ : ความคิดเห็นหรือมุมมองต่างๆ ที่ปรากฎบนเว็บไซต์เดอะอีสานเรคคอร์ด เป็นข้อคิดเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่ได้เป็นมุมมองหรือความคิดเห็นของกองบรรณาธิการเดอะอีสานเรคคอร์ด
ร่วมระดมทุนเพื่อทำข้อมูลและทำบุญใหญ่เพื่อผีบุญได้ที่เว็บไซต์ GoFundMe หรือ ธนาคารกรุงเทพเลขที่ 521-440-5925 บัญชี มูลนิธิเพื่อการศึกษาและสื่อภาคประชาชนอีสาน