ทนายความเข้าเยี่ยม “ไผ่ ดาวดิน” หลังถูกฝากขังทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางตั้งแต่ 9 สิงหาคม ผลตรวจโควิดสองครั้งยังรอด เผยห่วงกลุ่มทะลุฟ้า “พวกเราแค่ต้องการให้ประเทศดีขึ้น” 

ณัฐาศิริ เบิร์กแมน เรื่อง 

เมื่อวาน (20 สิงหาคม 2564) ไปเยี่ยมไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ซึ่งเวลาปกติใช้ควบคุมตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติด 

ตั้งแต่เป็นทนายความไม่เคยมาที่นี่เลย เพราะไม่เคยทำคดียาเสพติด แต่วันนี้ภายใต้สถานการณ์ไม่ปกติ คนที่ไม่ได้ถูกดำเนินคดียาเสพติดก็ถูกกระจายมาควบคุมตัวที่นี่ รวมถึงไผ่และอานนท์ (นำภา) ด้วย

ในสถานการณ์ปกติทั้งสองคนต้องถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ แต่เพราะสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมา เรือนจำพิเศษกรุงเทพมีผู้ต้องขังติดโควิดเป็นจำนวนมาก จนต้องมีมาตรการกระจายผู้ต้องขังเข้าใหม่ไปขังที่เรือนจำอื่นแทนเพื่อลดการระบาด 

อย่างวันก่อนเราไปเยี่ยมผู้ต้องหาที่ถูกส่งตัวข้ามแดนมาจากสเปน เขาก็ถูกส่งไปควบคุมตัวที่เรือนจำกลางคลองเปรม ไม่ใช่เรือนจำพิเศษกรุงเทพเหมือนเคย

ก่อนโควิดระบาด การเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ สามารถทำได้โดยยื่นคำร้องขอเยี่ยม แนบด้วยสำเนาใบอนุญาตทนายความ ซึ่งก็คิดว่าทุกเรือนจำจะทำเหมือนกันหมด แต่ตอนไปเยี่ยมผู้ต้องขังที่เรือนจำกลางคลองเปรม เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ต้องมีใบแต่งตั้งทนายความจึงจะเยี่ยมได้ ทั้งที่เป็นการเยี่ยมครั้งแรก ไม่เคยคุยกันมาก่อนจะกล้าแต่งตั้งทนายได้อย่างไร 

พอเมื่อวานนี้ไปเยี่ยมไผ่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่าต้องใช้ใบแต่งทนายความจึงจะเยี่ยมได้ ซึ่งขัดระเบียบของกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการเยี่ยมผู้ต้องขังฯ ที่กำหนดว่า ทนายความที่ได้รับอนุญาตให้เป็นทนายความตามกฎหมายทนายความ จะขอเข้าพบผู้ต้องขังระหว่างการสอบสวนให้ยื่นสำเนาใบอนุญาตทนายความ ไม่ได้ระบุถึงใบแต่งตั้งทนายความจากศาล 

ประสบการณ์จากเรือนจำกลางคลองเปรม ทีมทนายความช่วยกันค้นระเบียบกรมราชทัณฑ์ไว้แล้วและเราก็ปริ๊นท์ติดมือไปเพื่อเอาให้เจ้าหน้าที่ดูพร้อมกับจดหมายขอเยี่ยม เจ้าหน้าที่ไปพิจารณานานพอสมควรในที่สุดก็อนุญาตให้ยื่นสำเนาใบอนุญาตทนายความประกอบคำร้องและเข้าเยี่ยมได้

ใช้เวลาสักพักกว่าจะได้คุยกับไผ่ ไม่ได้เจอหน้ากันหรอกคุยผ่านโทรศัพท์ภายใน แต่ได้ยินเสียงก็ยังดี 

เราแนะนำตัว แล้วไผ่ก็ตอบกลับมาว่า “ผมจำพี่ได้” และบอก “ขอบคุณที่เอาหนังสือเรียนไปให้คราวอยู่ที่เรือนจำกรุงเทพ แต่ผมจำชื่อพี่ไม่ได้ ผมเลยถามหาทนายความผู้หญิงที่ใส่แว่นตา” 

เรานึกในใจว่า โชคดีที่หากันเจอ เพราะทนายความผู้หญิงที่ใส่แว่นตาก็ไม่ได้มีคนเดียวเสียด้วย หึหึ

เหตุการณ์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ก่อนที่ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน จะเข้ามอบตัวที่ สน.ทุ่งสองห้อง เครดิตภาพเฟซบุ๊ก Pai Jatupat

เมื่อวาน (20 สิงหาคม 2564) พนักงานสอบสวนยื่นคำร้องขอฝากขังอีก 12 วัน โดยให้เหตุผลว่า ยังรวบรวมพยานหลักฐานไม่เสร็จ ต้องสอบพยานเพิ่มอีก 4 ปากและขอฝากขังต่อ 

ศาลถามไผ่ผ่านวีดีโอคอนเฟอเร้นท์ว่า จะคัดค้านการฝากขังหรือไม่ ไผ่ขอคัดค้าน โดยแถลงศาลว่า พยานของพนักงานสอบสวนเป็นตำรวจ ซึ่งไผ่ไม่สามารถไปข่มขู่คุกคามอะไรได้จึงไม่มีเหตุที่ระหว่างนี้ไผ่ต้องถูกควบคุมตัว

ไผ่ย้ำกับศาลว่า ถ้าศาลอนุญาตให้มีการฝากขังต่อเขาอาจได้รับอันตรายต่อสุขภาพ เพราะเรือนจำไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย เพราะเรือนจำไม่มีพื้นที่เพียงพอในการกักตัว สถานการณ์โควิดในเรือนจำน่ากังวล ถ้าเขาติดโควิดจากในเรือนจำ ซึ่งจะเป็นผลโดยตรงจากการที่ศาลอนุญาตให้ฝากขัง แต่ในที่สุดศาลอนุญาตให้ฝากขังต่อ

หลังจากคุยเรื่องคดีเรียบร้อยแล้ว เราจึงบอกไผ่ว่า พ่อกับแม่ฝากมาบอกว่า สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง พ่อกับแม่ขอให้ไผ่เข้มแข็งและดูแลตัวเอง 

เราถามว่าข้างใน (เรือนจำ) ลำบากไหม ไผ่บอกว่า ก็ลำบาก ถ้าไม่มีทนายความมาเยี่ยมก็จะไม่ได้ออกจากห้องเลย 24 ชั่วโมง ทำทุกอย่างอยู่ในนั้น ทั้งวัน ทั้งคืน ห้องที่ไม่มีหน้าต่างและเปิดไฟตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหนังสืออ่าน ตอนกลางวันไม่มีอะไรทำ 

ไผ่บอกว่า ถ้าครั้งหน้ามาเยี่ยมติดหนังสือมาสักเล่มได้ไหม หนังสืออะไรก็ได้ ขุนศึกฯ ก็ได้ (ถ้าใครมีหนังสือที่อยากให้ไผ่อ่านส่งมาให้เราได้นะ)

ตั้งแต่เข้าเรือนจำไปเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2546 ตอนนี้ไผ่ตรวจโควิดไปแล้วสองรอบ ผลยังเป็นลบอยู่ แต่การกักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ต้องใช้เวลาทั้งหมด 28 วัน การที่ต้องอยู่ในห้องตลอด 24 ชั่วโมงก็ทำให้เครียด แม้จะพยายามออกกำลังกายก็ได้ก็แค่การยืดเส้นยืดสายเล็กๆน้อยๆ หรือวิดพื้นตามสภาพ 

ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่า อาหารไม่อร่อย และน้ำหนักเริ่มลด การที่อยู่ในห้องโดยไม่ออกไปไหนเลย 28 วัน มันย่อมส่งผลกระทบกับสภาพร่างกายและจิตใจทั้งทางตรงและทางอ้อม เราจึงไม่แปลกใจเลยที่ไผ่ขอบคุณที่เราไปเยี่ยมหลายครั้ง ก่อนที่การเยี่ยมจะจบลง

ก่อนออกมาไผ่ขอให้สั่งอาหารให้หน่อย อะไรก็ได้ อย่าลืมสั่งอาหารให้ด้วย เอาน้ำเปล่าด้วยนะ กาดอกจัน 8 ดอก เราก็กาดอกจันทร์ 8 ดอกตั้งใจจะสั่งอาหารให้ 

แต่โควิดทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เจ้าหน้าที่แจ้งว่าช่วงนี้สั่งของออนไลน์ได้เท่านั้นและต้องลงทะเบียนก่อน ใช้เวลา 2-3 วันจึงจะได้รับการอนุมัติ เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วจึงจะสั่งอาหารได้ ลงทะเบียนและสั่งออนไลน์ได้เฉพาะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลาตี 5 ถึง บ่าย 2 โมง ส่วนเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดต่างๆ สั่งไม่ได้ สรุปคือ ถึงจะออนไลน์แต่ก็ต้องทำในเวลาราชการ (ขอโทษด้วยไผ่พี่พยายามแล้ว)

ไผ่ถามถึงกลุ่มทะลุฟ้าว่า เป็นยังไงบ้าง เราเลยบอกว่า ทะลุฟ้าก็ยังทะลุฟ้าอยู่ ยังมีการจัดการชุมนุมอยู่และหลายกลุ่มจัดการชุมนุมอยู่ แต่เท่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ปราบปรามรุนแรงขึ้น มีคนเจ็บมากขึ้น ไผ่บอกว่า เป็นห่วงน้องต๋งจากทะลุฟ้ามาก ที่ถูกจับไม่รู้เป็นไงบ้าง อยากขอบคุณน้องที่เข้าร่วมกับทะลุฟ้า รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานร่วมกันและรู้สึกดีใจมากที่ยังได้ข่าวว่า ทะลุฟ้ายังมีการชุมนุมอยู่ เวลาได้ยินแล้วรู้สึกดีใจ ไผ่บอกว่า “พวกเราแค่ต้องการให้ประเทศดีขึ้น”

เจ็ดปีที่แล้วเรารู้จักไผ่จากข่าวที่กลุ่มดาวดินไปยืนชูสามนิ้วไล่ประยุทธ์ (จันทร์โอชา) ที่ขอนแก่น จำได้ว่า รู้สึกโกรธมากที่เห็นเจ้าหน้าที่เข้ามาลากไผ่และเพื่อนออกไปจากหน้าเวที 

หลังจากนั้นเราก็เห็นไผ่ในการเคลื่อนไหวตลอด แนวทางในการต่อสู้ที่ผ่านมา คือ ยึดหลักอารยขัดขืน ทั้งการยืนหน้าหอศิลป์ ยืนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เดินปิดเหมือง ขึ้นเวทีร้องเพลง ทั้งที่แสดงออกอย่างสงบแล้วแต่เขาก็ยังถูกจับ ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ถูกคุมขังในเรือนจำ เวลาที่หายไปหลังกำแพงเรือนจำ คือ เวลาที่อาจเอาคืนมาไม่ได้ ทั้งที่เขาแค่ต้องการเห็นประเทศนี้ดีขึ้น ทั้งที่เขาใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรม

ในขณะที่ทั่วโลกพยายามที่จะลดการแพร่ระบาดของโควิด ไผ่และผู้ชุมนุมคนอื่นๆ กลับถูกส่งตัวเข้าเรือนจำ ทุกคนรู้เรือนจำเป็นพื้นที่เสี่ยง ปัจจุบันก็ยังมีคนป่วยโควิดเพิ่มขึ้นในเรือนจำเรื่อยๆ มีคลัสเตอร์เรือนจำ เรือนจำในประเทศไทยถูกออกแบบมาให้รองรับผู้ต้องขังได้ 110,000 คน แต่ปัจจุบันมีผู้ต้องขังอยู่ในเรือนจำประมาณ 305,284 คน คือ ล้นยิ่งกว่าล้น ที่ไผ่บอกว่า เรือนจำเป็นสถานที่เสี่ยงเราเห็นด้วยกับไผ่มาก และทุกคนก็คงเห็นไม่ต่างกัน

การรักษาระยะห่างจะทำได้อย่างไรคิดไม่ออก มาตรการป้องกันโควิดไม่รู้จะใช้ได้ดีแค่ไหน แทนที่รัฐบาลจะเอาเอาคนออกจากเรือนจำให้มาก ที่เหลือโทษไม่ถึงหนึ่งปีก็ควรปล่อย ถ้าใช้โทษอย่างอื่นแทนจำคุกได้ควรให้ไปใช้ ที่ให้ประกันได้ก็ควรให้ประกัน แต่ไผ่และเพื่อนกลับไม่ได้สิ่งนั้น เราแค่หวังว่า ไผ่จะไม่เป็นอีกคนที่เข้าไปติดโควิดในเรือนจำ เพราะตอนนี้เขาเสียเสรีภาพไปแต่ถ้าเขาติดโควิดขึ้นมาสิ่งที่เขาเสียไปอาจจะมากกว่าเสรีภาพ ทั้งๆที่เขาแค่ต้องการเห็นประเทศดีขึ้น

วันจันทร์ (23 สิงหาคม 2564)เราจะไปเยี่ยมไผ่เพื่ออัพเดทคดีอื่นๆ ที่อยู่ในกระบวนการให้ฟัง ใครมีข้อความหรือต้องการส่งกำลังใจให้ไผ่ฝากมาได้นะคะ 

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ผ่านเพซบุ๊ก https://www.facebook.com/natalie.k.bergman เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2564 

ณัฐาศิริ เบิร์กแมน เป็นทนายความในเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน โดยรับทำคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและการละเมิดสิทธิมนุษยชนไทย 

image_pdfimage_print