ศาลขอนแก่นให้ประกัน 2 นศ.ม.ขอนแก่นข้อหาเผาป้าย ร.10 แต่ทั้งสองปฏิเสธ พร้อมให้การเป็นตัวอักษรภายใน 30 วัน ส่วน ผบช.ภ.4 ลั่นเป็นคดีสำคัญและตำรวจหลักฐานแน่นก่อนจับกุม
ขอนแก่น – หลังตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่นได้เข้าจับกุมนักศึกษาคณะศิลปกรรม ม.ขอนแก่น 2 คนที่บ้านพักเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (16 กันยายน 2564) ตามหมายค้นและหมายจับ หลังมีข้อมูลว่า ทั้ง 2 คนมีส่วนเกี่ยวกับการวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 หน้าโรงพยาบาลศรีนครินทร์
หลังจากนำตัวมาที่ สภ.เมือง เพื่อบันทึกจับกุมตามหมายจับ โดยมีรองคณบดีฯ อาจารย์ที่ปรึกษา ทนายความ และบุคคลที่ไว้วางใจเข้าไปภายในสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งความเอาผิดฐานวางเพลิงเผาป้าย ร.10 โดยศาลจังหวัดขอนแก่นได้มีคำสั่งฝากขังตามหมายจับ
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น.ศาลขอนแก่นได้ให้ประกัน โดยไม่ต้องวางหลักประกันในคดี โดยมีรองคณะบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.ขอนแก่น เดินทางมายื่นประกันตัวและให้เข้ารายงานตัวทุกครั้ง หากผิดสัญญาประกันให้ต้องถูกปรับคนละ 35,000 บาท
ด้าน เสฐียรพงษ์ ล้อศิริรัตน์ ทนายความระบุว่า ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธและจะให้การเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน พร้อมกับขอตรวจสอบหลักฐานกล้องวงจรปิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เปิดเผยรายละเอียด
“ผมทราบว่า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้นำภาพวงจรปิดมาแจ้งความร้องทุกข์ ตำรวจจึงรวบรวมหลักฐานและแจ้งความ เบื้องต้นทั้ง 2 คนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยไ่ม่มีหลักทรัพย์คำประกันและต้องมารายงานตัวทุกครั้ง ส่วนทางทนายจะใช้เวลา 30 วันในการรวบรวมเอกสารยื่นต่อศาลเพื่อสู้คดีต่อไป”เสฐียรพงษ์ กล่าว
.
พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 แถลงข่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 2 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา คดีนี้ตำรวจได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งมีจัดเก็บรวบรวมพยานหลักฐานทุกขั้นตอนโดยละเอียด จนเชื่อว่า ทั้ง 2 คนเป็นผู้ก่อเหตุและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติออกหมายจับดังกล่าว
“ยืนยันว่า ตำรวจมีพยานหลักฐานชัดเจนที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา ทั้ง 2 คน หากพบว่า เข้าข่ายความผิดฐานใดเพิ่มเติมจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”ผบช.ภ.4 กล่าว
.
ทั้งนี้ พล.ต.ต.เนติพงศ์ ธาตุทำเล รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะโฆษก ภ.4 กล่าวเอกสารประชาสัมพันธ์ว่า ขอแจ้งเตือนว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องร้ายแรงและทำลายความรู้สึกของคนไทย โดยความผิดฐาน วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 217 มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท