เปิดตัวชายคาเรื่องสั้นออนไลน์เรื่องแรก “2444″ เป็นเรื่องราวจากจินตนาการของ “มาโนช พรหมสิงห์” ที่สวมวิญญาณเล่าขานหัวอกของ “ผีหัวหน้ากบฏผีบุญ” ที่โอดครวญถึงความอยุติธรรมและเหตุการณ์ถูกตัดหัวเสียบประจาน ณ ลานประหาร ทุ่งศรีเมือง แม้ผ่านมากว่า 120 ปีแล้ว แต่วิญญาณยังไม่ไปสู่สุคติ 

มาโนช พรหมสิงห์ เรื่อง

หัวของนักโทษประหารกบฏผีบ้า

…ให้ข้อยเว้าแนเถาะ แม้ว่าจะถูกตัดหัวเสียบประจานไว้ แม้ว่าบ่ได้ฮ่ำฮอนอาลัยอาวรณ์ถึงไผหรือสิ่งใด๋ กะย้อนบ่มีหัวใจ แม้ว่าบ่คึดอยากข้าวอยากน้ำ ย้อนว่าบ่มีท้องมีไส้ มีแต่ปากพอได้เล่าพอได้เว้าส่งเสียง จากหัวแก่หัวเก่าบ่เน่าบ่เปื่อย ตากแดดตากลมตากฝนโอ้อ่าวเหงาหงอยมาร้อยกว่าปีแล้ว บ่ไปไสมาไส บ่ได้ผุดได้เกิด เสียบคาไม้แก่แด่อยู่กลางท่งศรีเมืองนี่หละ ถูกเหยียบย่ำข้ามหัวไปมา ทนเฝ้ามองเบิ่งความจื่อจำของแผ่นดิน ของประวัติศาสตร์โบราณแตกป่นมุนอุ้ยปุ้ยเป็นผุยผง… ข้อยถูกประหารย้อนเพราะว่ามงกุฎองค์มั่นหัวหน้ากบฏมันอยู่ในย่ามในพกของข้อย ข้าหลวงเพิ่นจับองค์มั่นบ่ได้ เพิ่นกะเลยสั่งว่าประหารบักน้อยที่มีมงกุฎนี่หละ ใส่มงกุฎหมวกหนีบไว้นำ ราษฎรสิได้เข้าใจว่าหัวหน้าโดนตัดหัวแล้ว จะได้บ่มีไผกล้าหืออวดดีอวดเก่งหัวแข็งอีก บ่คือหมู่เสี่ยวซุมหนึ่งที่บ่ถูกประหาร แต่ถูกเนรเทศจับขึ้นเกวียนไปขังคุกอยู่มณฑลนครศรีธรรมราช แล้วอีกสิบปีต่อมากะร่วมมือกับกบฏมณฑลปัตตานี กบฏจากเมืองสงขลากับมณฑลไทรบุรี มันพากันแหกคุกออกมาเป็นเสนาธิการวางแผนให้กบฏภาคใต้พู้น

หัวเสียบอยู่กลางท่งกลางเมืองอุบลราชธานีศรีวนาไลประเทศราชนี่หละ ท่งแล้งแปนเอิดเติดมีแต่ฝุ่นผงไงง่องมืดมัว คือกันกับแผ่นดินอีสานทั้งหมด ฝนบ่ตกมาหลายปีแล้ว ตกเทือสุดท้ายจักปีใด๋เดือนใด๋ จือจำบ่ได้แล้ว หมู่คนอึดอดอยาก ยาดแย่งหญ้ากินกับงัวควยกลางท่ง พอข้าหลวงกรุงเทพกรุงไทยเข้ามา เปลี่ยนชื่อมณฑล เปลี่ยนให้คนลาว เขมร กูย ผู้ไท กลายเป็นคนชาติไทยบังคับสยาม แล้วกะเอิ้นเก็บภาษีชายฉกรรจ์สามบาทสี่บาท มันแฮงอุกอั่งเดือดร้อนกดทับหัวคน เงินบ่ได้หาได้ง่ายๆ ไผกะมีของกินของใช้เฮ็ดทำเอาเองปลูกสร้างเอาเองหาเอาเอง บ่ได้ใช้เงินซื้อดอก ขายของกินของใช้ต้องไปขายตลาดพู้น ตลาดอยู่ไสหละ มันมีแต่เมืองใหญ่ๆ ทอนั่น ข้อยเคยได้ยินว่าต้องหาบไก่เป็นสิบๆ ย่างเดินหลังแอ่นเป็นร้อยหลักกิโล ไปตลาดเมืองใหญ่โคราช ขายไก่โตละสลึง กว่าจะกำเงินสี่บาทมาจ่ายภาษีให้หลวง

ไทบ้านทุกข์ยากกันอีหลี ข้อยกะทุกข์ย้อนพ่อแม่พาทุกข์ พ่อแม่เพิ่นเป็นซุมพี่น้องป้องปายกับอัญญาสี่เมืองอุบล แต่หมู่ซุมพวกข้อยแตกกันกับเพิ่นมาตั้งแต่สมัยเจ้าโคตรของพ่อ ย้อนบ่เห็นนำกับเพิ่นที่พากันปล่อยปะทิ้งพี่น้องทางเจ้าอนุวงศ์ ปล่อยปะทิ้งถีบหัวส่ง เห็นซุมกรุงเทพกรุงไทยดีกว่าสายเลือด โคตรเหง้าทางพ่อกะเลยหนีไปอยู่ไร่อยู่นาบ่ยุ่งเกี่ยว ถือตนเป็นไพร่ไร้สังกัด ข้อยผู้ลูกหลานจึงเป็นไทอิสระ มีความคิดความอ่านหลวงหลายให้ฟังให้จือจำให้เชื่อ เฮ็ดเวียกงานการสร้างอีหยังกะได้ บ่มีกรอบ บ่ต้องถูกขู่ว่าผิดฮีตคองผิดขะลำ พอเกิดมีกลุ่มกู้เมืองกู้ชาติผีบุญ ข้อยกะเลยตามเขามา อยากลองฟัง ลองคึดตาม กะย้อนมันห่าวมีไฟคนหนุ่ม เห็นไทบ้านเดือดร้อนอดบ่ได้ทนบ่ได้ สิให้ทำเฉยเตยเวยบ่ร้อนบ่หนาวคือหมาตด มันกะบ่ได้ดอก

ตอนพ่อพามาอยู่บ้านพับแล้งเมืองวาริน เพิ่นกะมีนากว้างใหญ่ติดน้ำมูน กะเลยพากันเฮ็ดไร่นากับไทบ้าน พอได้อยู่ได้กินได้แลกเกลือแลกปลา บ่หลวงหลายดอก ฝนบ่ดีกะพอได้กินคุ้มปี พอได้เว้าจาเรื่องบ้านเมือง เรื่องซุมกรุงเทพกรุงไทยเรื่องฝรั่งเศส กับองค์ลิ้นก่านที่อยู่คุ้มเดียวกัน บางทีกะมีองค์บุญจากพิบูลมังสาหาร องค์เขียวจากเมืองอุบล มีฮอดหลวงประชุมกรมการเมืองอำนาจเจริญ กำนันสุ่ยบ้านส้างมิ่งเมืองเกษมสีมา(ตระการพืชผล) มานั่งซุมคุยโสเหล่กันจนดึกดื่น ซุมเพิ่นมีฮอดครูบาพระสงฆ์อยู่ในศีลกินในธรรมเมืองสิงห์ท่า(ยโสธร) เป็นหมู่ซุมเดียวกันพู้นหละ บ่แมนมีแต่ไทบ้านโง่ๆ ดอก

ข้อยเองนั่น พ่อแม่พาเฮ็ดไร่นาปานไทบ้านปานไพร่ผู้หนึ่ง บ่ได้คึดว่ามีเชื้อเจ้าเชื้อนาย บ่ได้คร้านงานการสร้างเอาแต่หาเลาะเล่นสาว พอแล้วเวียกงานปั้นข้าวกินกับแม่ แล้วจึงสิมานั่งแอบจอบฟังพ่อกับหมู่ซุมผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายกบฏเพิ่นคุยโสเหล่กัน

พ่อแม่กะสิสังเกตสังกาอยู่ดอก หลังจากข้าหลวงต่างพระองค์ย้ายที่ทำการมณฑลจากโคราชมาอุบล แล้วกะแต่งงานกับลูกสาวท้าวหมั้นกับนางดวงจันทร์ได้ห้าหกปี องค์ต่างๆ รวบรวมไพร่พลเงียบๆ อยู่แถวโขงเจียม ก่อนสิไปซุมผู้คนอยู่เมืองเขมราฐ พ่อแม่กะบ่ได้ขัดขวางอีหยังดอก ตอนข้อยเอ่ยปากว่าสิตามหมู่ซุมกบฏไป เพิ่นบอกแค่ว่าลูกใหญ่แล้วเป็นตัวของตัวเองแล้ว คึดได้เองว่าอีหยังดีอีหยังชั่ว ไปซะบักหล่า ไปสร้างบ้านแปงเมืองของเฮา พ่อแม่บ่ห้ามดอก ลูกเอย…

มื้อนั่น พอข้อยสะพายย่ามข้าวของลงคันไดเฮือน แดดจักมาแต่ไส สาดเข้าเต็มหน้าเต็มท่ง หน่วยตาข้อยมืดตึบ เหลียวกลับมาเบิ่งแม่ที่ยืนส่งอยู่บนเฮือน บ่เห็นแม่บ่เห็นเฮือน มืดปานอยู่ในถ้ำ ก้าวขาสั่นออกย่างเดิน เงายาวของข้อยก้าวขาไวๆ ไปคือกัน อีหยังนั่น… เงาดำบนขี้ดิน บ่มีหัว… ใจข้อยสั่น บ่หาญกล้าเหลียวกลับ ย่านกลัวว่าแม่สิฮ้องบอกทั้งน้ำตาว่า… บักหล่าเอ้ย เงาหัวเจ้าบ่มี อย่าไปเถาะ… ชะตาสิขาด หัวสิขาด กะบ่เป็นหยังดอกแม่ ไผมันกะตายคือกัน เจ้านาย ไพร่ ขี้ข้า หมาขี้เฮื้อนกลางทางมันกะตายคือกัน บ่ต้องห่วงลูกดอกอีแม่เอย… คึดพลางย่างไปหน้า แดดกล้า เหงื่อตก เสียงกาฮ้องกู่อยู่ไกลๆ หมู่ฝูงหมาเห่าหอน ขี้ฝุ่นฟุ้งไหง่มืดอึ้มครึ่ม ปรากฏหมู่คนย่างเดินนำกันยาวเหยียดปานฝูงมดปลวก สาวเคี้ยวหมากปากแดงยิ้มให้ แข้วยังบ่ดำปานใด๋ งามอีหลีงามคักแท้ เสียงเป่าแคนดังขาดๆ หายๆ ป่าเงียบมิดจี่ลี่ หมู่นกแตกตื่นออกจากป่าฮกข้างทาง หูแว่วยินเสียงแม่ฮ้องว่า บักหล่าหัวเจ้าขาดแล้ว… ทางมัวมืดตึบ ผู้สาวก้มบ้วนน้ำหมากแล้วย่างเดินมาจับแขน ฮ้อนฮนปานย่างเดินในหม้อนรก ฟ้าฮ้องอยู่ไกลๆ นกเค้าตกจากง่าไม้ลงมาชักตายต่อหน้า ฟ้าผ่าลุกไหม้ป่าหญ้า กิ่งไม้ใหญ่หักโค่น เหม็นกลิ่นหมื่อดินปืนกลบทีปกลบแดน… เฮาถูกปืนใหญ่พวกไทยแล้วเสี่ยว… สาธุ ซา ซา ซา… เสียงฮ้องคร่ำครวญ เลือดสาดฟ่งปานห่าฝน ซุมห่าแดกดากผีบ่อยากแถนบ่เอา มันยิงเฮาแล้ว มันฆ่าเฮาแล้ว ห่ากินหัวแม่มึง คันแน่อีหลี มายืนเห็นหน้าเอาพร้ามาฟันกับกูตัวต่อตัวโลด… ว่าแล้วกะพากันโหง่ยล้มชักตาตั้งกองกันอยู่ ปานกับกองแมงเม่ายามฝน สามสี่ร้อยเป็นผีเฝ้าป่าบ้านสะพือใหญ่ ปืนใหญ่สองลูกแตกกลางขบวน ตัวไปทาง แขนขาไปทาง ฝนสีแดงซัดสาดท่วมป่าท่วมดง หมู่ที่ยังบ่ทันตายพากันลอยคอสำลักหนองเลือดสีแดงคาว ฮ่ำฮ้องโอดโอย ไห้หากัน แล้วขื่อคากะเข้าสวมคอ กระชากลากไปอย่างหมืนโกรธโหดร้าย… แม่ ข้อยแวะมาเฮือนคราวเดียว เพื่อสิมาบอกแม่ว่า หัวข้อยขาดหายไปแล้ว ทอนั่นละอีแม่ ข้อยสิต้องไปก่อนเด้อ

ร้อยกว่าปีของความโอ้อ่าวเหงาหงอย หัวข้อยยังตั้งอยู่หม่องนี่ หัวเดียวที่มีความจือจำ ท่ามกลางหมู่คนพลุกพล่านผู้พากันลืมเลือน บ่จักหน้าจักหลัง บ่มีความคิดอ่าน หัวข้อยจึงเป็นหัวเดียวในเมืองคนหัวขาดนี่หละ

สาวหีจื้นผู้เย็บมงกุฏกบฏผีบุญ

ตัดหัวแล้ว ข้าหลวงเพิ่นกะสั่งให้ลากเอาตัวกบฏไปทิ้งบ่อทิ้งส้างฮ้าง ส่วนหนึ่งโยนขึ้นเกวียนเอาไปทิ้งลงน้ำมูนหน้าเมือง ให้เลือดแดงฉานทั่วคุ้งน้ำ เน่าอืด ให้พวกหัวแข็งเห็นเป็นตัวอย่าง ข้อยเองกะลอยอืดเน่าอยู่กับหมู่ฝูงปลาที่พากันมาตอดกิน กะดีแล้วหละ ถูกใจอยู่ที่อยู่นำฝูงปลา ย้อนเพราะว่าในชีวิต สิ่งที่ฮักมั่นแก่นฮักแพงนั่นมีสองอย่าง หนึ่งกะคือผู้สาวปากแดงน้ำหมาก ผู้เอาผ้าทอมาเฮ็ดมาเย็บหมวกมงกุฎองค์มั่น อีกอย่างกะคือปลาแดกที่เฮ็ดจากปลามูนนี่หละ

ผู้สาวผู้นี่งามหลาย แต่ว่าหลายคนทั้งชายทั้งหญิงกะเรียกเอิ้นให้ได้ยินบ่อยอยู่ว่า-อีหีเปียกจื้น ย้อนว่าหมู่ซุมผู้บ่าวหน้ามึนยามเมาเหล้าพากันโสเหล่ว่า อีนี่ไผอยากกะเอาได้ หัวหน้าแกนนำองค์ใด๋อยากได้ กะถกซิ่นเอาได้หมด ข้อยเลยว่า แม้สิเป็นเรื่องจริง มันกะเป็นความเงี่ยนความอยาก บ่แมนความฮัก มีแต่ความฮักแพงทอนั่นจึงจะเอากายกับใจสาวนั่นมาได้ แต่ว่าแม่ของอีนางนั่น ผู้คอยเป็นแม่ครัวเฮ็ดแนวกินแนวอยากให้หมู่กบฏ เคยเว้าว่า-อีนางลูกสาวข้อย มีผีป่ามาฮักตั้งแต่มันเกิดแล้ว ตอนข้าหลวงกรุงเทพกรุงไทยมาฮอดเมืองอุบลเทือแรก อีนางกะถูกคัดตัวจากสาวหลายบ้านเข้าไปในวังสงัดเมืองอุบล ให้ข้าหลวงเพิ่นชี้นิ้วเลือกเป็นหมู่ซุมนางใน ผีป่ากะยังตามไปเฮ็ดให้อีนางเป็นไข้ออกตุ่มเต็มตัว แล้วไผมันสิเลือกเอาสาวหน้าบวมตุ่มละหือ เพียบ้านกะเลยส่งมันเมือกลับบ้าน บ่ได้เป็นข้ารับใช้… ย้อนบุญผลาผีป่า บ่จังซั่นกะคือข้อยสิเสียลูกไปบ่ได้พบพ่อหน้ากันอีก…

ผู้สาวผู้นี่ทอผ้ากะงาม หน้าตาเนื้อตัวกะงาม นมใหญ่งามหลาย ข้อยลักเห็นยามนางอยู่กับหมู่แม่หญิง ปะปล่อยนมบ่อายกัน หรือว่ายามหน้าร้อนที่ผู้แส่ผู้สาวบ่ใส่ใจกับผ้าเคียนคาดอก ยามนางนั่งจกขันหมากสี่เหลี่ยมฐานเอวขันสิมแกะลายงาม เอาหมากใส่ครกตำ จักคราวกะเอาใส่ปากเคี้ยว เว้าจายิ้มหัว ปากสีปูนแดงเป็นตาฮักแท้ๆ ข้อยหลงฮักแพงหลายจนบ่หาญโค็ยแข็ง อยากซุกหน้าลงกับน้ำเต้าโต้นคู่งาม กับท้องน้อยขาวมน นอนหลับอยู่นั่นตายอยู่นั่น ปานทหารขี้แพ้ ปานข้าทาสของนาง

ยามวันบุญวันศีลในกองบัญชาการกบฏที่เขมราฐ องค์มั่นกะสิให้หมู่ซุมผู้หลักผู้ใหญ่นุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินธรรม สวดภาวนา ฮ้องกลอนลำส่งข่าวจากหัวค่ำจนซอดแจ้ง ยามแบบนี่หละข้อยสิชวนสาวทอผ้าปากแดงงาม มานั่งริมโขงเบิ่งเดือนดาว เว้าจากันประสาคนฮัก นางนอนหนุนตักข้อยแล้วกะเว้าจาปานละเมอถึงยามบ้านเมืองสงบ ยามองค์มั่นพาหมู่ซุมกบฏไล่ซุมกรุงเทพกรุงไทยออกจากบ้านเมืองเฮาไป เฮาสิพากันไปอยู่เมืองอุบล ถ้าบ่เป็นบ้านพับแล้งกับพ่อแม่ กะสิเป็นบ้านปากกุดหวายกะได้

เฮาสิสร้างเฮือนเกย ชานกว้างๆ ล่องตาเว็น ปลูกหมากพริก หมากเขือ สิงไค บักหุ่ง หมากพลู ปูปลาในมูนกะมีบ่อึดบ่อยาก หาได้หลายกะเฮ็ดปลาแดก แล้วนางกะว่า ข้าน้อยสิทอผ้า ปลูกฝ้าย ปลูกมอน เลี้ยงไหม ข้อยกะว่าสิพาเฮ็ดนาพอได้ข้าวกิน แล้วเฮาสิมีลูกนำกัน เป็นครัวใหญ่เต็มเฮือน บ่เป็นขี้ข้าผู้ใด๋

คุยกันจนดึกดื่น แว่วเสียงกลอนลำวอยๆ จากเฮือนองค์มั่น มันล่องดังมากับลม ลอยข้ามเกาะแก่งข้ามน้ำของไปไกลพู้นหละ

โอ… โอ้ละหนอ ลือแซะแซงแซ่ลำโขง หนองซำเป็นเขตลาสีมา ฝูงไทยใจฮ้าย ตายสิ้นบ่หลอ โอนอ… กรวดหินแฮ สิกลายเป็นเงินคำกำแก้ว โตไหมสิกลายเป็นงู หมูแลควยเขาตู้สิเป็นยักษ์เที่ยวกินคน ฝอยฮากไม้กลายเป็นโตไหม ฟักเขียวกลายเป็นช้าง ดอกจานบานเป็นครั่งย้อมไหม วันอาทิตย์ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนฉลู ตรีศกศักราช ๑๒๖๓ จะเกิดลมพายุพัดพาคนไป เกิดฟ้ามืดมิดเจ็ดมื้อเจ็ดคืน ให้หาไม้ลิ้นฟ้า มาจุดไต้เป็นไฟส่อง ให้ปลูกต้นสิงไค ใกล้คันไดเฮือน เอาไว้จับเหนี่ยวยามมีลมพายุ เงินสิกลายเป็นเหล็ก ให้ฟ่าวไปใช้สอย หญิงสาวหาผัวบ่ได้ ให้ฟ่าวหาออกเฮือน โอ้… โฮนอ…

อีเกิ้งแรมลอยเหนือลำของ ผิวน้ำเลื่อมพริบยิบยับ นกเค้ากู่เสียงแหวกหมู่ไม้ฮกริมฝั่งน้ำ ทางช้างเผือกกับหมู่ดาวหมุนค่วง ฟ้าฝั่งพู้นมืดตึบฟ้าเหลื่อมพาบๆ ฮ้องคำรามใกล้เข้ามา พอสายฟ้าฟาดลงตรงโขดหินทางหน้า ท้องฟ้าบนหัวกะลุกไหม้ ฟ้าแจ้งออก แสงตาเว็นสาดลงมาปานหัวสิแตก หมู่ซุมกบฏนั่งนอนอยู่เต็มท่งศรีเมือง ตากแดดลมฝนมาสามมื้อสามคืน ลางคนนอนหมูบตายคาขื่อคา ลางคนไข้หนาวสั่นหมดแรงสิลุก ลางคนนอนขดหายใจรวยริน ชีวิตสูญสิ้นไปหมดทุกอย่างทุกแนว มื้อสองมื้อมานี่ ลางคนถูกลากขึ้นเกวียนเอาไปประหารอยู่บ้านของเพิ่น แล้วตัดหัวเสียบไม้ไว้กลางเดิ่นบ้าน ให้ไทบ้านหุ่มเบิ่ง ลางคนเป็นไข้หนาวยังบ่ทันหมดลมหายใจ เจ้านายทหารกะลากไปโยนลงส้างลึกกับหมู่ศพกบฏอื่นๆ ส้างน้ำลึกแน่นอื้อตื้อ แล้วกะยกหินโกยขี้ดินถม กบเขียดหนีแล้งจำศีลในส้าง บ่มีที่อยู่ หันใจบ่ออก ตายเน่าเหม็นไปกับคน

วิญญาณกบฏตกหม้อนรก ย้อนครูบาพระสงฆ์บ่ได้สวดงันให้ บ่ได้ไปผุดไปเกิด ย้อนเพราะว่าครูบาในบ้านกลัวย่านทางการกล่าวหาว่าเป็นหมู่กบฏ ครูบาธรรมยุติเพิ่นกะเกลียดชังหมู่เฮา

ตอนประหารองค์มั่นหัวหน้ากบฏผีบ้าผีบุญ เจ้านายกะให้พวกที่รอถ่าเนรเทศพากันขุดหลุม ตัดท่อนไม้ใหญ่มาฝังเป็นหลักประหารกลางท่งศรีเมือง เอาตัวองค์มั่น-ซึ่งอีหลีกะคือข้อยนั่นหละ เอาเชือกมัดไว้กับเสาไม้ เอามงกุฎใส่หัวไว้ตั้งแต่ก่อนเพล แล้วกะป่าวประกาศให้ราษฎรในเมืองอุบลมาเบิ่งมาดูการประหารในยามแลง ข้อยยืนตากแดดบ่ได้กินข้าวน้ำ คอพับหายใจติดขัดหมดสติปานตาย ฝันไปว่าพวกเฮาชนะในศึกครั้งนี้ เฮาไล่ฆ่าซุมกรุงเทพกรุงไทยแตกหนีไปหมด หมู่องค์ต่างๆ ในชุดสีแดง เหลือง สิ่ว ท่องคาถาเป่าเสกให้คนตายแล้วคืนมา คนป่วยไข้ลุกขึ้นเฮ็ดเวียกงานได้ ท้าวธรรมิกราชเสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า มาชุบเสกหินแฮให้เป็นเงินคำกำแก้ว ข้อยสร้างเฮือนอยู่ริมน้ำมูนกับสาวทอผ้าผู้งาม ลูกหลานเต็มเฮือนชาน… ได้แต่เป็นสุขอยู่ในใจ ปากแห้ง ยิ้มบ่ออก หน่วยตาลืมบ่ขึ้น ฟ้ามืดตึบมิดอิ่มสิ่ม หมดแล้วชีวิตนี่ ข้อยสิหมดลมแล้วหละ

วันพุธ ขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนห้า ปีฉลู

ข้าน้อยย่างมานำขบวนหมู่ซุมกบฏ ออกจากเขมราฐแล้ว ข้ามน้ำข้ามป่ามาตั้งทัพอยู่บ้านสะพือใหญ่ เมืองเกษมสีมา จัดเตรียมหาปืนแก๊ป ปืนคาบศิลา มีดพร้า จากในบ้านเพิ่มตึ่ม ข้าวเหนียวตากแห้ง พริก เกลือ ห่อยัดใส่ไถ้ผูกเอวไว้ จัดหมวดหมู่ปานเข้าสงครามใหญ่

บ่กี่มื้อมานี่ หมู่เฮาสู้กับกองทหารของนายร้อยตรีหรี่เกือบซาวยี่สิบคนที่มาสอดแนม เฮาฆ่าซุมนั่นตายหมด เหลือไทพิบูลไว้ผู้หนึ่ง ให้มันกลับไปบอกซุมไทย สิได้ฮู้ว่าเฮาเก่งซำใด๋

พอตาเว็นขึ้นเลยยอดไม้ ได้เวลาฤกษ์ชัยวันปีใหม่ เพ็งเดือนเต็มดวง  องค์มั่นกะพาหมู่เฮาลำเซิ้งด่าซุมกรุงเทพ…ทิงสองบั้งสังมายังบ่ทันขาด สังมาคะลาดล้มเต็งน้องเนตรนอง หัวหนองบ่ทันเศร้า สังมาเทียวทางใหม่ เป็ดไก่เลี้ยงสู่มื้อบ่คุ้นแก่นคน สังบ่สนเคาไว้ไถนาคือสิค่อง ข้าวกากไกลข้าวก้องสองซู้สิห่างกัน ขางเฮือนไกลขางเล้า หนีไปเซาไกลท่า ไก่ป่าไกลไก่บ้านขันท่าอยู่ละเนา… แล้วกะพาพากันโห่เอาฤกษ์เอาชัย สาธุ…ซ่า ซ่า ซ่า

แล้วกะพากันออกย่างเดินสู่เมืองอุบล เลาะทางเกวียนมาเหงื่อยังบ่ทันออก พอฮอดหัวโค้งทางแคบๆ ผ่านป่าฮกทึบมืดอึ้มคึ่ม ได้ยินเสียงปืนเล็กยาวยิงเข้าใส่ แล้วซุมมันกะพากันแลนวิ่งแตกหนี หมู่กบฏกะเลยพากันฮือนำตามไป ได้ยินปืนใหญ่ลอยข้ามหัวไปแตกระเบิดตึ้มอยู่ไกลๆ หมู่เฮาพากันคึดว่าของวิเศษกับผีป่าคือปกปักคุ้มหัวเฮาไว้ เลยบ่แตกใส่หมู่เฮา มันเฮ็ดให้หาญกล้าขึ้นอีกหลาย แต่แล้ว… พอปืนใหญ่ตกมาแตกกลางขบวนอีกสองลูกทอนั่นหละ ฝันกับชีวิตหมู่กบฏทั้งหลายกะแหลกแตกออกซายซะ แตกดับหมดหน่อหมดแนว ชีวิตทุกข์ยากนี่บ่เหลืออีหยังอีกแล้ว

หมู่เฮาแพ้แล้ว ข้าน้อยแพ้แล้ว… ซากศพหมู่เฮาฉีกขาดกองกันอยู่ปานภูเขา แขวนคาบนง่าไม้กิ่งไม้กะหลาย ลางคนบ่ทันตาย นอนชักฮ่ำฮ้องโอดโอย ปานเสียงกบเขียดเสียงอึ่งฮ้องโฮในหนองน้ำยามฝน ส่วนหมู่ซุ่มบ่ทันตายกะถูกคุมใส่ขื่อคาย่างเดินไปเมืองอุบล เห็นแต่ฝุ่นนำทางฟุ้งกระจายขึ้นคลุมป่าไม้ ปานว่าฝนใหญ่สิมา เลือดแดงท่วมป่าไหลลงหนองขุหลุกับห้วยถ้ำแข้จนล้นออก ล้นเลาะป่าไม้เฮือนชานบ้านซ่องอยู่เจ็ดมื้อเจ็ดคืนจึงตกลงแม่น้ำของ

ข้าน้อยลอยคอข้ามหนองเลือดกว้างใหญ่อยู่มื้อหนึ่ง แล้วไปปีนขึ้นดอนผีปู่ตา ค่อยย่างเดินลัดป่าดงเมือเฮือนผู้เดียว น้ำตาไหลท่วมหน้าท่วมอกตัวสั่นงกๆ ป่าทั้งป่าเงียบปานว่าโลกนี่คือผีป่าช้า ได้ยินแต่เสียงแร้งกาฝูงใหญ่กรีดฮ้องอึงอลบนฟ้ามืดมัว

ไกลอีหลีย่างเดินหลายมื้อจึงฮอดเฮือน มองบ่เห็นแม่ บ่เห็นหมู่หมาแมว ตักน้ำส้างล้างตีนล้างหน้าตา ย่างขึ้นคันไดไปหมดแฮงทรุดนั่งอยู่ชานเฮือน แดดยามแลงดับแล้ว ข้าน้อยสินั่งรอถ่าผู้บ่าวอยู่นี่หละ…

…ร้อยกว่าปีแล้ว ข้าน้อยยังนั่งรอถ่าอยู่คือเก่า คอยถ่ายามสิไปปลูกเฮือนใกล้น้ำมูนอยู่กินตามประสา นั่งอยู่โดนนานจนเห็นไร่นาป่าไม้หล่มหายไปหมดแล้ว ฮ่ำไห้จนหมดน้ำตา แถนกะบ่เคยลงจากเมืองบนมาเบิ่งมายามมาถามมาไถ่ ข้าน้อยหมดความนับถือศรัทธาแล้วหละ แต่บ่เคยหมดหวังกับความฮักแพง ข้าน้อยว่าแม้นสิเหลือแค่วิญญาณ ผู้บ่าวของข้าน้อยกะสิกลับคืนเมือบ้านเมือเฮือน คืนมาหาข้าน้อย…

วิญญาณที่ยังมีหวังกับฮักแพงมั่นแก่น บ่เคยดับดอก

​​

image_pdfimage_print