ชีวิต “วิทิต จันดาวงศ์” ตั้งแต่สูญเสียพ่อ “ครอง จันดาวงศ์” ต้องระหกระเหิน นอกจากติดคุกในเรือนจำลาดยาวจนทำให้เกือบจะลืมคำว่าอิสรภาพ เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเข้าสู่กลียุคก็ทำให้ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตนั่นคือ การสมัครใจเข้าร่วมปฏิวัติในราวป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในนาม “สหายปาน”   

วิทิต จันดาวงศ์ เรื่อง

หมายเหตุ : เนื่องจากตอนที่ 8 “เข้าสู่สมรภูมิภูพาน” ค่อนข้างยาวทางกองบรรณาธิการขอแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน 

พอมาถึงปี 2516 สถานการณ์การเรียกร้องของนักศึกษาในกรุงเทพฯ รู้สึกได้ว่า ถูกยกระดับไปสู่การเรียกร้องทางการเมืองเข้มข้นขึ้นทำให้ผมค่อนข้างกังวลใจพอสมควร จนถึงต้นเดือนกันยายน สหายปกรณ์มาบอกให้เตรียมตัวเข้าป่าในไม่ช้านี้ผมจัดการตระเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในป่า สิ่งที่ลืมไม่ได้ก็คือแมนโดลินที่คุณจิตรมอบให้ก่อนออกจากคุก แต่เสียดายที่ไม่มีโอกาสเจอแกอีกแล้ว

ปลายเดือนกันยายน  สหายปกรณ์มาบอกให้เตรียมตัวเดินทางวันนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันที่ 22 กันยายน ผมให้สหายปกรณ์เอาสัมภาระไปก่อน ตกตอนบ่ายผมเดินทางไปที่บ้านดอนธงชัย สหายปกรณ์พาเดินทางไปยังป่าห่างจากบ้านดอนวังชัยประมาณ 2  กิโลเมตร เมื่อไปถึงพบสหายอยู่ที่นั่นประมาณ 10 กว่าคน เท่าที่จำได้มีสหายภูวาหรือสหายล่องในเวลาต่อมา (นายประสิทธิ์  นวลจันทึก เขยบ้านง่อน) ซึ่งเป็นฝ่ายนำในเขตงานนี้ สหายทะเลทราย สหายสังคม สหายดำริ สหายเดชา สหายเที่ยงหรือเขาเรียกกันว่าพ่อเที่ยง (พ่อเที่ยง คือ นายสิงห์นามสกุลจำไม่ได้ คนบ้านค้อหนองขาม ก่อนถึงบ้านเหล่าใหญ่ เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมาก่อน เป็นเพื่อนกับครูครอง พวกผมเรียกว่า พ่อสิงห์ ยิ่งกว่านั้นแกเคยผูกเสี่ยวกับโฮจิมินท์สมัยเดินทางผ่านมาทางนี้) สหายเวียงศักดิ์ (นายเวิน พรมจันทร์ คนบ้านง่อนรู้จักกันมาก่อน) นอกนั้นจำไม่ได้ เมื่อคนเหล่านี้เห็นแมนโดลินก็รบเร้าให้ผมดีดให้ฟัง ผมก็เลยเล่นเพลงวีรชนปฏิวัติให้พวกเขาฟัง เพราะเพลงนี้เคยเล่นตั้งแต่อยู่ลาดยาวแล้ว จากนั้นก็เล่นเพลงสาวน้อยขึ้นภูที่จิตรแต่งเช่นกัน สหายอยากให้เล่นเพลงปฏิวัติในป่า ผมตอบว่า ผมร้องเพลงเหล่านั้นไม่ได้จึงเล่นไม่ได้

ก่อนจะเดินเรื่องต่อ ผมขอย้อนความพูดถึงความเป็นมาและเป็นไปของสหายภูวาและสหายเวียงศักดิ์สักเล็กน้อย ทั้งสองคนนี้เป็นกลุ่มคนที่ร่วมงานอยู่ในกลุ่มงานสามัคคีของบ้านง่อน ซึ่งมีนายพล้วย นายคาน พิลารักษ์ สองพี่น้องเป็นแกนนำคนสนับสนุนครูครองทางการเมือง พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อมีการจับกุมครูครองในวันที่ 6 พฤษภาคม 2504 แกนนำหน่วยงานสามัคคีบ้านง่อนเช่นพล้วยและคาน พิลารักษ์และแกนนำอีกหลายคนถูกจับพร้อมกับครูครอง ส่วนประสิทธิ์ นวลจันทึก หรือสหายภูวา ลี และเวิน พรมจันทร์ สองพี่น้องและคนอื่นๆ ที่ยังไม่ถูกจับก็พากันหนีการจับกุมไปหลบที่ป่าคำปลาฝา จากนั้นก็มีธำรง จันดาวงศ์ น้องชายผมไปสมทบ มีคนอยู่ประมาณ 50 กว่าคน หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเข้าไปในเขตจังหวัดหนองคาย หนีข้ามน้ำโขงไปฝั่งลาว เมื่อถึงหนองคายมีคนถูกจับได้ 2 – 3 คนจำชื่อได้ คือ นายด้วง สุริยะชัย (จำเลยที่ 4 ในคดีดำที่  26 ก/2506  ที่มีผม (วิทิต จันดาวงค์ เป็นจำเลยที่ 1 )  ส่วนคนอื่นๆ ที่หนีรอดเดินทางผ่านไปจนถึงเขตของขบวนการประเทศลาว พักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ทางลาวส่งธำรงไปให้พรรคคอมมิวนิสต์ไทยแล้วเดินทางไปจีน ส่วนประสิทธิ์กับพวกที่เหลือเขาส่งไปเรียนการเมืองการทหารที่เวียดนามเมื่อต้นปี 2508 คนเหล่านี้จึงเดินทางกลับไทย   ปฏิบัติงานเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (ข้อมูลจากคำบอกเล่าธำรงน้องชายเมื่อปี  2533)  ที่ผมต้องเล่าเรื่องนี้เพราะต้องการให้สาธารณะชนทั่วไปรู้ว่า บรรดาชาวบ้านที่เข้าต่อสู้ร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์นั้น   ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกพรรคฯ ภายหลังทั้งนั้น ไม่มีใครที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน ต่อจากนี้ขอกลับมาต่อเรื่องราวเดิม

พอตกเย็นประมาณ 5 โมงเย็นพวกเขาร่วมกันกินข้าวเย็น อาหารการกินก็ธรรมดาเพราะอยู่ใกล้มวลชน   มวลชนสนับสนุนจึงอุดมสมบูรณ์หน่อย เวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษพวกเขาพาออกเดินทาง ผมใจหายเล็กน้อยที่ต้องจากบ้านจากครอบครัว แต่ก็ต้องทำใจ เดินทางไปประมาณ 3 กิโลเมตรก็จะต้องข้ามถนนสายอุดร – สกล ก่อนจะถึงถนนประมาณ 1 เส้น เขาส่งคนไปสำรวจความปลอดภัย เมื่อแน่ใจแล้วจึงส่งสัญญาณให้พรรคพวกวิ่งข้าม เมื่อข้ามถนนแล้วยังวิ่งต่ออีก 1 เส้นยังไม่หยุด ผมเหนื่อยจะเป็นลม บังเอิญเขาพบชาวบ้านเดินกลับจากนา สหายจำเป็นต้องจับเพื่อโฆษณาไม่ให้ชาวบ้านไปบอกเจ้าหน้าที่ ผมยืนไม่ไหว ต้องนั่งเอนตัวสาวลมหายใจ พวกสหายเขาแปลกใจว่า ทำไมถึงเหนื่อยเร็วขนาดนั้น ก็เพิ่งเดินมาไม่ไกล ส่วนอีกคนบอกว่าแกไม่เคยเดินอยู่บ้านก็ขี่จักรยาน นั่งรถจะให้ทนเหมือนพวกเราไม่ได้ ผมฟังแล้วยังรู้สึกดีใจที่ยังมีคนเข้าใจเราอยู่บ้างและมีสหายหน่วยเมล์มารับเอาสัมภาระจากบ่าผมไปให้ผมเดินตัวเปล่า ผมขอบคุณในน้ำใจพวกเขามาก

การเดินทางเป็นเวลากลางคืน เดือนมืดไม่ให้ใช้ไฟฉายเพราะกลัวเสียลับ เมื่อคนเดินนำหน้าเจอขอนไม้ขวางทาง เขาข้ามแล้วจะใช้เท้ากระทืบขอนให้มีเสียงเพื่อส่งสัญญาณให้คนข้างหลังรู้จะได้ระวัง ผมไม่รู้เรื่องสงสัยว่าเขากระทืบขอนไม้ทำไม ผมก้าวข้ามไปหน้าตาเฉย

สหายที่เดินตามผมไม่รู้เพราะไม่มีสัญญาณ สะดุดขอนไม้เกือบจะล้ม เขาจึงบอกผมว่าส่งสัญญาณให้กันหน่อยสหาย ผมถามว่าทำอย่างไร เขาบอกว่าข้ามแล้วกระทืบสิ คนข้างหลังจะได้ระวัง ผมจึงถึงบางอ้อ

เวลาประมาณสองยามเศษ คณะเราเดินทางไปถึงกลางดงพระเจ้า เขตงานนี้อยู่ในความรับผิดชอบของสหายสังข์ เมื่อมาถึงเอาละซิ สหายเมล์บอกว่าสหายสังข์ให้พักอยู่นอกทับ (ฐานที่ตั้ง) จัดหาที่นอนกันที่นี่ พวกเราก็ต้องลำบากหน่อย   ต้องตัดไม้ถางป่ากันตอนกลางคืน สหายหลายคนสงสัยเช่นกันว่าทำไมเป็นอย่างนี้ แต่ไม่มีคำตอบ   จนรุ่งเช้าเขาให้คนเอาอาหารมาส่งถึงที่ อาหารเช้าวันนั้นเป็นแกงหน่อไม้ ผมคิดว่าอาหารที่กินเข้าไปจะอยู่ท้องไหมหนอ เพราะอยู่บ้านผมไม่ค่อยชอบ ถ้าแกงใส่กระดูกหมูก็ยังพอทำเนา แต่ก็กินได้เพราะความเหนื่อย สูญเสียพลังในการเดินทาง ก่อนออกเดินทางตอนบ่ายสหายสุริยามากระซิบบอกผมว่า ที่เขาไม่ให้เข้าทับเพราะมีสหายปานมาด้วย เขากลัว ผมแปลกใจคิดเลยไปถึงสหายก้องเคยถาม (เรื่องนี้ผมถามสหายสังข์ตอนพวกเราออกจากป่ามาแล้ว สหายสังข์ยอมรับว่า เป็นความจริง)

เย็นวันนั้นหลังจากทานข้าวเย็นประมาณ 4 โมงเย็นอาหารก็เป็นแกงหน่อไม้เหมือนเดิม จากนั้นสหายก็พาออกเดินทางเพื่อขึ้นสู่เทือกเขาภูพาน เมื่อมาถึงตีนดงพระเจ้ายังไม่มืด เขาพาพักรอจนมืดก่อน เพราะจะต้องเดินข้ามทุ่งนา ผมโล่งอกหน่อยเพราะได้พักเอาแรง พอถึงประมาณทุ่มเศษ ๆ สหายพาออกเดินทางออกทุ่งนา เดินตามคันนา

ไฟฉายก็ห้ามใช้เพราะมีค่าย อส. อยู่ที่บ้านปืน (ชื่อรหัสชื่อจริง คือ บ้านหนองแวง) ผมเดินตกคันนาบ่อยครั้งเพราะไม่มีไฟส่องทาง สหายช่วยดึงลุกเปียกปอนหมด บางคนหัวเราะขบขัน บางคนก็บอกว่าอย่าหัวเราะสหายซิ   เขาไม่เคยเหมือนเรา ดูแล้วพวกเขาก็ล้วนมีน้ำใจกันทุกคน ช่วยเอาสัมภาระบนหลังผมไปแบกให้ทั้งที่ของเขาก็เต็มบ่าอยู่แล้ว เดินตัวเปล่าก็ยังตกคันนาเหมือนเดิม

กว่าจะข้ามทุ่งนาสองสามหมู่บ้านใช้เวลา 3 ชั่วโมง (ถ้ามีแต่พวกเขาเดินจะใช้เวลาชั่วโมงเศษ) ใกล้บ้านบ่อแกน้อยหรือชื่อรหัสว่าบ้านแดงค่อยได้หยุดพักเอาแรงหน่อย เพราะบ้านนั้นไม่มี อส. และเป็นหมู่บ้านพื้นฐานที่แข็งมากบ้านหนึ่ง ทหารบ้านหาข้าวหาปลามาให้กินกันพอได้แรงหน่อย จากนั้นก็ออกเดินทางต่อถึงจุดหมายบนเขาเวลาตีสองจัดการพักนอน มาถึงทับนี้มีสหายยุทธศาสตร์เป็นผู้รับผิดชอบ ยังดีหน่อยที่เขาไม่ไล่ออกไปนอนนอกทับเหมือนสหายสังข์

รุ่งเช้ามาสหายยุทธศาสตร์เข้ามาทักทายพูดคุยถามข่าวด้วยดี เหมือนกับคนรู้จักกันมานาน อาหารเช้าก็แกงหน่อไม้ตามเคย แล้วออกเดินทางต่อ ตอนนี้เดินบนเขาสามารถเดินกลางวันได้ เมื่อเดินถึงสันตากแดด (ลานหินไม่มีต้นไม้นั่งพักเหนื่อย มองออกไปทางด้านทิศเหนือมองเห็นอำเภอสว่างแดนดิน ผมรู้สึกสะท้อนใจคิดในใจว่า อีกกี่ปีหนอกูจะได้กลับมาบ้านอีกที เมื่อพักหายเหนื่อยแล้วสหายพาเดินทางต่อกว่าจะถึงจุดหมายเวลาก็ล่วงเลยห้าโมงเย็น ทับนี้สหายสกลเป็นผู้รับผิดชอบ อาหารเย็นก็แกงหน่อไม้อีก ตอนแรกผมคิดว่า ผมจะกินไม่ลงแต่ที่ไหนได้ กินได้เต็มที่เพราะเหนื่อย หิว ก่อนนอนสหายสกลมาพูดคุยถามข่าวอย่างสนิทสนมเหมือนคนรู้จักกันนานเช่นกัน รุ่งเช้าสหายกิ่งเพชรแฟนสหายสกลเรียกพี่ปานอย่างสนิทปาก พูดจาถามทุกข์สุขดิบเหมือนญาติใกล้ชิด ผมยังนึกแปลกใจว่า พวกนี้เขารู้จักผมตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเราไม่รู้จักเขา

หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเดินทางต่อ การเดินทางติดต่อกันหลายวันเราไม่เคยก็ทำให้อ่อนล้า แถมตอนหยุดพักจุดต่อเมล์ สหายที่มารับเมล์ต่อก็ขอร้องให้ดีดมินโดลินให้ฟัง ผมฟืนเล่นก็เล่นไม่ค่อยได้ดีนัก สหายทะเลทรายบอกว่าเอาละสหาย สหายเขามาเหนื่อยๆ แกไม่เคยเดินทางเลยไม่มีสมาธิเล่นเอาไว้ไปฟังที่ทับก็แล้วกัน ผมนึกขอบคุณสหายทะเลทรายในใจที่แกเข้าใจ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะหงุดหงิดและอาจแสดงอาการไม่เหมาะสมตามประสาคนไม่มีการจัดตั้งพวกเราเดินทางถึงจุดหมายวันนั้นประมาณบ่ายสี่โมง พอเข้าถึงทับเห็นสหายเข้าแถวยืนต้อนรับจับไม้จับมือตามธรรมเนียม ผมจับมือมาถึงผู้ใหญ่จำปาหรือที่ทางราชการให้ฉายาเขาว่านายพลจำปา  ชื่อจัดตั้งในป่าว่าสหายสัจจะสหายในทับล้วนเรียกแกว่าพ่อสัจจะ (เป็นผู้ก่อตั้งบ้านบ่อแกน้อยหรือชื่อรหัสว่าบ้านแดงตั้งแต่ประมาณปี 2499) ผมยกมือไหว้ก่อนจะจับมือท่าน ผมดีใจมากที่เจอคนที่รู้จักกันมาก่อนและรู้จักคุ้นเคยดีมากด้วย   

ทับนี้เป็นทับสุดท้ายของการเดินทางของผม ซึ่งเขาเรียกกันว่า “ทับกลาง” หมายถึงทับศูนย์การนำในเขตจังหวัด   มีสหายระดับนำหลายคนมาประชุม ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน เท่าที่จำชื่อได้ในเวลาอันสั้น   นอกจากสหายสัจจะแล้วมีสหายวัฒนา สหายประชุม สหายประสาน (เคยรู้จักมาก่อน) สหายพิชิตรู้สึกจะเป็นคนหนุ่มที่สุดในคณะนำชุดนี้ นอกนั้นไม่รู้จัก

ความตื่นตัวทางจัดตั้ง

ในระหว่างที่ผมพักอยู่ทับกลางนี้เห็นกลุ่มคณะนำเขาประชุมกัน ความไม่รู้เรื่องของเราเลยคิดในใจว่า ทำไมเขาไม่เรียกเราไปประชุมด้วยแต่ไม่พูดอะไรกับใครได้แต่คิดในใจ ภายหลังมาถึงรู้ว่าเราเองไม่มีวุฒิภาวะทางจัดตั้งหรือความตื่นตัวทางจัดตั้งนั่นเอง ก่อนเดินเข้ามา สหายปกรณ์ให้ผมใช้ชื่อนามแฝงหรือที่เขาเรียกกันในป่าว่าชื่อจัดตั้ง   ผมใช้ชื่อ “ปาน” หรือที่เรียกกันในป่าว่า สหายปาน ชื่อนี้ก็พึ่งตั้งก่อนวันเดินทางไม่กี่วัน เหตุที่ผมใช้ชื่อนี้มีสองประการ คือ เมื่อพ่อออกจากคุกบางขวางเมื่อปี 2500 เวลาท่านเล่าเรื่องในคุกมักเอ่ยถึงชื่อคุณปาล พนมยงค์บ่อยที่สุด ดูรู้สึกเหมือนชื่นชมคนผู้นี้พอสมควรและชื่อนี้ก็เรียกง่ายเวลาคนอีสานเรียกจะไม่เพี้ยน ส่วนประการที่สองก่อนกลับสู่ภูมิลำเนา ผมดูหนังคาวบอยเรื่อง “ปานโจวินล่าผู้พลิกแผ่นดิน” ผมชอบหนังเรื่องนี้มากก็เลยเอาคำหน้าที่ว่า ปาน และตรงกับชื่อคุณปาล พนมยงค์บุตรชายท่านปรีดี  

ตอนพักอยู่ทับกลางนี้บ่อยครั้งที่สหายเรียกชื่อสหายปาน ผมเดินเฉยเขาต้องเรียกซ้ำอีกหลายครั้งผมจึงคิดขึ้นได้ว่าเขาเรียกเรานี่หว่าจึงหันกลับไป   แรกๆ สหายอื่นคิดว่า ผมหูตึง ความจริงเปล่าผมยังไม่คุ้นชื่อเท่านั้นเอง

การใช้ชีวิตประจำวันในทับ พวกสหายจะตื่นตั้งแต่ตี 4 เรียกรวมพลออกกำลังกายผมได้ยินคนนำออกกำลังสั่งว่า   วิ่งกับที่อยู่ประมาณ 15 นาที แล้วก็มีท่าบริหารร่างกาย ส่วนผมนอนเฉยอยู่บนเปล ไม่เท่านั้นยังหงุดหงิดด้วยว่า   ทำไมพวกเขาต้องตื่นเช้าขนาดนี้ เรากำลังหลับเพลินต้องมาตื่นด้วยเสียงปลุก ผมหงุดหงิดกับการตื่นเช้าออกกำลังของสหายอยู่หลายวันแต่ไม่กล้าพูดอะไร อยู่มาวันหนึ่งผมเลยถามสหายหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอเป็นเด็กสาวอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี คาดว่าตอนนั้นเธอน่าจะอายุประมาณ 16 – 17 ปี เธอชื่อสหายวาริน เป็นพนักงานพิมพ์ดีดประจำทับกลาง ผมถามว่า “ทำไมพวกเราต้องตื่นเช้าขนาดนั้น ตื่นมาทำอะไรก็ไม่รู้ ทำไมไม่นอนให้สบายตื่นตอนไหนก็ได้ไม่เห็นมีอะไรจะทำ” เธอมองดูผมแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “พวกเราต้องตื่นเช้าเก็บที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยพร้อมที่จะเดินทางทันที เพราะเราอยู่ในภาวะสงคราม หากศัตรูเข้าจู่โจมตอนเช้ามืด เราจะถอยได้ทัน   สิ่งของจำเป็นจะไม่สูญหาย หากหายกว่าจะซื้อมาได้ต้องใช้เวลาหลายวัน

ส่วนการออกกำลังกายนั้นเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับร่างกาย ทำให้เราแข็งแรง การเดินทางก็ไม่เหนื่อยง่าย เมื่อถูกโจมตีถอยก็ไม่เหนื่อยง่าย อีกประการหนึ่งเมื่อร่างกายเราแข็งแรงก็ไม่เจ็บป่วยง่ายนัก หากเจ็บป่วยแล้วยารักษาโรคของพวกเราก็หาซื้อยาก ที่สำคัญ คือ การต่อสู้ปฏิวัตินั้น ใจพร้อมอย่างเดียวไม่พอ กายจะต้องพร้อมด้วยเราจึงจะต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์ ความจริงถ้าพี่ปานยังไม่พร้อมที่จะตื่นก็ไม่เป็นไร พวกเราก็ไม่เรียกร้องหรอกไม่ต้องกังวลใจ อยู่ในนี้การจะทำอะไรก็ให้เป็นเรื่องความสุกงอมทางความคิดของแต่ละคนไม่มีการบังคับ”

ผมอึ้งกับคำตอบของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง การศึกษาก็แค่ประถมซ้ำยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วย คำอธิบายของเธอเป็นเหตุเป็นผล ไม่มีข้อโต้แย้งบ่ายเบี่ยงใดๆ ผมคิดในใจ นี่เราโดนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งสอนมวยให้อย่างจังแล้ว อายไหมนี่

หลังจากวันที่ถูกสอนมวย ผมก็เริ่มตื่นเช้าพร้อมกับสหายในทับ แต่ก็ยังสงวนท่าทีไม่ไปออกกำลังกายเพราะยังอายอยู่ หลังจากนั้นหลายวันผมเริ่มไปร่วมออกกำลังกายกับสหาย ได้ผลอย่างที่สหายวารินว่าเพราะทำให้ผมไม่ค่อยเหนื่อยง่าย การเดินทางย้ายทับแต่ละครั้งใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงๆ  ผมเดินตามเพื่อนๆ ทันไม่ต้องให้คนส่วนใหญ่รอเราคนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ทั้งยังทำให้เราใกล้ชิดเป็นกันเองกับสหายมากขึ้นและทำให้ผมมีชีวิตชีวาร่าเริงขึ้น

จากที่เรารู้สึกยอมรับในกฎ กติการวมหมู่อย่างสบายอกสบายใจนี้ทำให้ผมหวนคิดถึงสมัยที่ผมเข้าทำงานเป็นลูกจ้างที่อู่เบนซ์ ในตอนนั้นเราต้องเข้าสู่กฎกติกาของบริษัท หากไม่ยอมรับและปฏิบัติตามกฎ กติกาหรือระเบียบข้อบังคับก็ต้องถูกไล่ออกกลายเป็นคนว่างงาน ไม่มีรายได้และก็ไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ทำให้ต้องจำใจปฏิบัติตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานนั้นก็ถือว่าเราเข้าสู่กระบวนการจัดตั้งแต่เป็นความจำเป็น จำใจ  ไม่ใช่ความสุกงอมทางความคิด หากมีโอกาสหลบเลี่ยงก็ทำจึงถือได้ว่าเราปฏิบัติวินัยเพื่อวินัย ไม่ใช่ปฏิบัติวินัยด้วยจิตสำนึก

ส่วนการปฏิบัติวินัยในการจัดตั้งในพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นการปฏิบัติวินัยด้วยจิตสำนึก เป็นการปฏิบัติด้วยความสุกงอมทางความคิด รู้ว่าการปฏิบัติเช่นนี้เป็นเรื่องดี เรื่องถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเองและสังคมโดยรวม   การปฏิบัติตามวินัยด้วยจิตสำนึกนี้จะต้องผ่านการต่อสู้ทางความคิดในตัวเองก่อน ในเบื้องต้นก็ถือว่าเป็นเรื่องเจ็บปวดพอสมควร ตัวผมเองก็เช่นเดียวกัน แรกๆ หลังจากที่คุยกับสหายวาริน เราต้องต่อสู้กับความเคยชินเก่าๆ แบบขุนนาง เรียกร้องคนอื่นละเลยการเรียกร้องตัวเอง พอคิดจะทำตามที่เขาแนะนำก็กลัวเสียหน้า ขายหน้า ขี้แพ้เด็กเมื่อวานซืน นั่นก็คือความคิดเจ้าขุนมูลนาย ขุนนางที่ตกผลึกอยู่ในความคิดเราตั้งแต่เด็กจนโต   การต่อสู้ทางความคิดเช่นนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร จะช้าหรือเร็วต่างกันในแต่ละคนขึ้นอยู่กับมูลฐานภายในของคน

จากการต่อสู้ทางความคิดดังกล่าวมาจนยอมรับกฎ กติกา ระเบียบการปฏิบัติในทับ ในป่าจึงเป็นการเริ่มต้นความตื่นตัวทางจัดตั้งอย่างมีจิตสำนึกของผมและก็ค่อยๆ ยกระดับให้สูงขึ้นตามกาลเวลา เราต้องไม่หยุดความตื่นตัวไว้แค่นั้น หากเราหยุดแค่นั้นเท่ากับเราไม่พัฒนาตัวเองทั้งทางความคิดการเมืองและการจัดตั้ง สุดท้ายก็จะกลายเป็นคนล้าหลังในที่สุด การตื่นตัวทางจัดตั้งตอนนี้ยังถือว่าเป็นเพียงการตื่นตัวขั้นรู้สึกเท่านั้นยังต้องพัฒนายกระดับอีกซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป

ระหว่างที่พักรอการประชุมของคณะนำอยู่หลายวัน ทางจัดตั้งเขาจัดให้ผมร่วมศึกษาเอกสารเกี่ยวกับระเบียบการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (การศึกษาระเบียบการพรรคฯนั้นจะให้ผู้ที่ผ่านการดัดแปลงโลกทัศน์มา   และเตรียมตัวจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคฯ) มีสหายชัยรบเป็นผู้นำการศึกษามีผู้ร่วมศึกษาด้วยคือ  สหายดำริ   สหายเดชา สหายทะเลทราย สหายสังคมหรือสุริยา ระหว่างการออกความเห็นร่วมกัน สหายเขาค่อนข้างแปลกใจที่ผมออกความเห็นได้รู้เรื่องในระดับหนึ่งเมื่อจบการออกความเห็นพวกเขาก็ถามผมว่าเคยอ่านหรือศึกษามาบ้างหรือไม่ ผมตอบว่าผมเคยศึกษาตอนที่ถูกขังในลาดยาวหลายปีแล้วโดยครูภู ชัยชาญเป็นผู้จัดการศึกษาให้  พวกเขาแปลกใจสงสัยว่าในคุกยังมีการศึกษาการเมืองด้วยหรือ ผมบอกว่าเขาจัดโรงเรียนการเมือง ปรัชญาการเมืองและอื่นๆ อีก พวกเขาเริ่มเข้าใจว่าเรามีพื้นฐานการศึกษาด้านนี้มาบ้างแล้ว ในระหว่างศึกษาสหายนำสอบถามสหายชัยรบเกี่ยวกับความเข้าใจทางการเมืองของผม ชัยรบก็ยืนยันว่า ผมเข้าใจดีและสามารถอธิบายทฤษฎีได้ในระดับหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นการตรวจสอบพื้นฐานเบื้องต้น เมื่อรู้พื้นฐานเบื้องต้นแล้วเขาก็จะจัดหน้าที่ให้ทำตามความเหมาะสมต่อไป

หลังจากการประชุมคณะนำเสร็จก็ประมาณสิ้นเดือนกันยายน สหายคณะนำแยกย้ายกันเดินทางกลับเขตงานของตนเอง ซึ่งผมไม่ทราบเลยว่าใครไปไหนบ้างและเราก็ไม่มีสิทธิ์ถามเพราะถือว่าเป็นชั้นความลับ ส่วนสหายภูวาหรือล่องเดินทางกลับทิ้งสหายทะเลทราย สหายสังคมไว้ที่ทับกลางรวมทั้งผมด้วย ตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเขาจะให้ผมไปไหนหรืออยู่ที่ใด เมื่อสอบถามก็ได้คำตอบว่ารอคำสั่งชั้นบน

ต้นเดือนตุลาคม 2516 ผมได้รับคำบอกเล่าให้เตรียมเดินทางร่วมไปกับสหายนำคือสหายวัฒนา สหายพิชิต รวมทั้งสหายทะเลทราย สหายสังคมด้วย ผมอุ่นใจหน่อยที่มีทะเลทรายกับสังคมร่วมทางไปด้วย เพราะเราร่วมเดินทางมาด้วยกันตั้งแต่ต้นพอคุ้นเคยกันมากกว่าคนอื่นและทั้งสองคนก็ดูแลผมเป็นอย่างดีมาตลอด

ในระหว่างเดินทางเราก็ฟังข่าวการเคลื่อนไหวของนักศึกษาที่กรุงเทพฯตลอด ซึ่งเวลานั้นตรงกับการเคลื่อนไหวใหญ่เรียกร้องรัฐธรรมนูญและคิดว่ารัฐบาลถนอม – ประภาสปราบปรามแน่ เมื่อเดินทางถึงที่หมายคือดงมูลเขตรอยต่อจังหวัดกาฬสินธุ์– ขอนแก่น ทราบข่าวว่าถนอม ประภาส ณรงค์ เดินทางออกนอกประเทศ ตอนนั้นผมยังรู้สึกเลยว่า เกินความคาดหมายเราไม่คิดว่านักศึกษาจะชนะ หากรู้เช่นนี้คงไม่เข้าป่าหรอก อยู่รอสมัคร ส.ส. จะดีกว่า ความเสียดายโอกาสที่ว่านั้นเป็นความรู้สึกในใจและก็ไม่เคยพูดให้ใครรู้เลย แต่เอาเถอะเมื่อมาป่านนี้แล้วคงจะหันหลังกลับไม่ได้เสียเชิงนักต่อสู้เพื่อคนยากไร้เปล่าๆ  นั่นคือความคิดขณะนั้นก็ได้แต่ติดตามข่าวต่อไป

ระหว่างอยู่ดงมูล ผมก็ยังอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ออกนอกทับไปไหนเลยเห็นคนอื่นออกไปพบปะประชาชนเราก็อยากไปบ้าง แต่พอไปขออนุญาตจากฝ่ายนำเขาก็ไม่ยอมให้ไปไหน ตอนแรกๆ ก็ไม่ให้เหตุผลใดๆ นานเข้าผมก็อึดอัดมากขึ้นทำให้เราคิดไปต่างๆ นานา ทนไม่ไหวก็เลยเข้าไปคุยกับสหายนำ (สหายวัฒนา) ผมบอกว่า เอาผมมาเก็บไว้ไม่ให้ไปไหนมันก็ไม่ต่างอะไรกับการติดคุก ผมอยากทราบว่าเอาผมมาทำไมหรือว่ากลัวศัตรูเอาไปใช้เลยเอามาเก็บไว้เช่นนี้ สหายวัฒนาฟังแล้วค่อนข้างจะตกใจแกบอกว่า กลัวความปลอดภัยของคุณ อย่าลืมว่าศัตรูกลัวพ่อคุณย่อมกลัวลูกด้วย อีกประการหนึ่งพวกเรากลัวบทเรียนที่จิตร ภูมิศักดิ์โดนยิงตาย ไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดอีกซ้ำสอง ทางชั้นบนกำชับมาให้ดูแลความปลอดภัยเต็มที่ หากเกิดอะไรขึ้นผมคงโดนตำหนิอย่างรุนแรง   อีกประการหนึ่งเขารอเส้นทางเมล์เพื่อส่งคุณไปพบแม่ที่แนวหลัง จึงไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นก่อน ผมฟังแล้วก็ขอบคุณในความห่วงใยของฝ่ายจัดตั้ง แต่ก็ยังมีข้อข้องใจถามต่ออีกว่า “นี่แสดงว่าจะส่งไปพบแม่หรือครับ”   สหายวัฒนาบอกใช่ ผมเลยพูดอีกว่า “ที่ผมเข้ามานี่เพื่อมาปฏิวัติไม่ใช่มาพบแม่ การได้พบแม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแต่ไม่ใช่เรื่องด่วน ผมขออยู่ช่วยงานในพื้นที่จะไม่ดีกว่าหรือ” สหายวัฒนาแนะนำว่าถ้าหากคุณอยากอยู่ที่นี่ก็ให้คุณคุยกับทางชั้นบนด้วยตัวเอง เขาต้องถามความสมัครใจคุณด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นคำสั่งจากส่วนกลาง (คณะนำสูงสุด) ผมยืนยันความเห็นเดิม หลังจากนั้น ฝ่ายนำก็ผ่อนคลาย ให้ผมได้ออกไปพบปะมวลชนร่วมกับสหายอื่นด้วยทำให้ความอึดอัดผ่อนคลายลงบ้าง

หลังจากมีโอกาสออกไปทำงานบ้างแล้ว สิ่งที่คิดไม่ถึงก็เกิดขึ้น วันหนึ่งผมเดินทางร่วมกับสหายแม้จะอยู่ในดง   บังเอิญไปพบกับชาวบ้านระหว่างทาง เขาเป็นคนงานรถลากไม้ซุงที่ได้รับสัมปทานในดงมูล เด็กคนนั้นเป็นคนอำเภอสว่างแดนดิน ผมเข้าใจว่าเขาคงไม่รู้จักผม เพราะผมเองก็ไม่รู้จักเขาและผมก็ไม่ได้พูดคุยกับเขาเลยให้สหายคนอื่นคุย แต่สุดท้ายหลายวันต่อมาทางสายข่าวจากพื้นที่สว่างแดนดินรายงานจัดตั้งว่า เด็กรถไม้เห็นลูกชายครูครองอยู่ที่ดงมูล ฝ่ายนำทราบเรื่องนี้ก็เลยงดไม่ให้ผมออกไปทำงานมวลชนอีก เราต้องจำวัดอยู่ในทับตามเดิม แม้ไม่ได้ออกไปไหนอาการหงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อนน้อยลง เพราะเข้าใจเจตนาทางฝ่ายนำดีและก็คิดขอบคุณในความห่วงใยนี้

ระหว่างวิธีแก้ความอึดอัดก็คือเล่นคนตรี(แมนโดลิน) ทำให้คิดลองแต่งเพลงดูสักเพลงโดยใช้ทำนองเพลงมนต์รักเสียงกระดึงของจิตร ภูมิศักดิ์แต่งที่ลาดยาว เปลี่ยนเนื้อเป็นเพลงแนวปฏิวัติเนื้อเพลงเท่าที่จำได้คือ “ชาวพรรคคอมมิวนิสต์ไทย เข้มแข็งเกรียงไกรหมายมั่นในอุดมการณ์……….”   เมื่อนำมาร้องสหายให้การตอบรับดี ช่วงค่ำเวลาสโมสรก็นำมาเล่นแมนโดลินให้สหายร้อง หลังจากนั้นเพลงนี้ก็แพร่หลายในเขตงาน

ต้นเดือนมกราคมปี 2517 ปีใหม่ สหายนำพาเดินทางกลับไปที่ฐานภูพานที่เขาเรียกกันว่าภูซากลาก เมื่อถึงทับกลางสหายสัจจะเห็นผมกลับมากับฝ่ายนำก็แปลกใจถามผมว่า “สหายยังไม่เดินทางหรือ”ผมเข้าใจเจตนาคนถามจึงตอบว่า “ผมขออยู่ที่นี่ไม่ไปแล้วกำลังรอฟังการตอบรับจากชั้นบนอยู่”สหายสัจจะก็ดีใจด้วย

จากการตัดสินใจของผมครั้งนั้น   ฝ่ายนำก็เริ่มจัดหน่วยสังกัดเพื่อเข้าสู่การทดสอบด้านการทำงาน การดัดแปลงทางความคิด การเมืองและการจัดตั้ง ผมประกอบอยู่ในหน่วยจัดตั้งทับกลางโดยมีสหายสุภาพ(สหายหญิง)เป็นหัวหน้าหน่วย แกเป็นสมาชิกพรรคแล้วแต่ผมยังเป็นมวลชนธรรมดาอยู่ มวลชนที่สมัครใจเข้าทำการปฏิวัติร่วมกับพรรคฯนั้นในระหว่างที่ยังไม่ได้ยกระดับเป็นสมาชิกพรรคฯ เขาเรียกมวลชนปฏิวัติเพราะมีการจัดตั้งประกอบหน่วยแล้ว มวลชนที่อยู่ในหมู่บ้านก็เช่นกัน ถ้ามีหน่วยจัดตั้งมีการศึกษาเป็นประจำเขาเรียกมวลชนปฏิวัติเช่นกัน   นอกจากนั้นจะมีการจำแนกเป็นมวลชนก้าวหน้า แนวร่วม มวลชนล้าหลังเพื่อประโยชน์ในการจัดการความสัมพันธ์และให้การศึกษายกระดับสร้างความเข้มแข็งทางจัดตั้งต่อไป

สำหรับหน่วยที่ผมสังกัดในทับนั้นยังไม่ใช่หน่วยพรรค เป็นหน่วยมวลชนแต่ต้องมีสมาชิกพรรคมานำทำหน้าที่หัวหน้าหน่วย สหายสุภาพแกเป็นคนสุภาพสมชื่อ เขาทำหน้าที่พนักงานพิมพ์ดีดประจำทับกลาง บังเอิญผมพอพิมพ์ดีดได้บ้าง เมื่อสังกัดหน่วยนี้ก็รับหน้าที่เป็นพนักงานพิมพ์ดีดเช่นกัน หน้าที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ทางจัดตั้งมอบให้ก็คือฝึกพนักงานพิมพ์ดีดเพิ่มเติม ผมก็ต้องเป็นครูสอนพิมพ์ดีดด้วยความจำเป็น ผมติดต่อทางในเมืองซื้อแบบฝึกหัดพิมพ์ดีดด้วยตัวเอง ในที่สุดก็สามารถสอนลูกศิษย์พิมพ์สัมผัสได้ทุกคน แต่ตัวเองก็ยังพิมพ์จิ้มอยู่จนถึงปัจจุบัน

การมีชีวิตหน่วยจะต้องมีการสำรวจวิจารณ์กันในหน่วยเป็นประจำทุกเดือน การสำรวจวิจารณ์จะเริ่มต้นจากการทำงาน แต่ละคนมีความสนใจรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายเพียงใด จากนั้นก็สำรวจความคิดตนเองว่าเรามีความคิดที่ไม่ถูกต้องอะไรบ้าง ใช้อารมณ์เอกชน วาจาว่าร้ายและเอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานหรือไม่ แต่ละคนต้องวิจารณ์ตัวเองก่อนว่าเราเห็นความบกพร่องในตัวเรามากน้อยเพียงใด จากนั้นก็ให้สหายร่วมงานช่วยวิจารณ์เพิ่มเติมเพื่อเป็นการช่วยเหลือกัน

ตอนแรกๆ ก็รู้สึกเขินๆ เช่นกัน  ไม่ค่อยกล้าวิจารณ์ข้อบกพร่องของตัวเอง ผลก็คือ ถ้าเราไม่กล้าวิจารณ์ตนเองให้คนอื่นฟัง คนอื่นเขาก็จะไม่กล้าวิจารณ์ช่วยเหลือเรา เพราะเขาจะรู้ว่าเรายังไม่พร้อมที่จะรับฟังคำวิจารณ์ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดความตื่นตัวทางความคิด การเมืองของตัวเราเอง หลักการวิจารณ์และวิจารณ์ตนเองนั้น เราจะต้องกล้าวิจารณ์ความบกพร่องของตัวเองทั้งทางความคิด การเมือง การจัดตั้งให้สหายในหน่วยได้รับรู้ แม้ความบกพร่องนั้นจะไม่มีใครรู้  ใครเห็นก็ตาม นั่นคือความกล้าหาญทางความคิด การวิจารณ์และวิจารณ์ตนเองถือเป็นการยกระดับทางความคิดตนเองและสมาชิกในหน่วยด้วย ทั้งถือว่าเป็นอาวุธที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ในการสร้างความเข้มแข็งเติบใหญ่มั่นคงให้กับพรรคฯ หากละเลยหรือไม่ใส่ใจเรื่องนี้ พรรคนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคการเมืองในระบบทุนทั่วไปและจะล่มสลายในที่สุด

การสำรวจวิจารณ์แต่ละครั้ง หัวหน้าหน่วยที่เป็นสมาชิกพรรคฯจะต้องรายงานต่อกรรมการพรรคประจำทับ   เพื่อรับทราบและวิเคราะห์แนวความคิดแต่ละคนว่าก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดเพื่อคัดเลือกยกระดับเข้าเป็นสมาชิกพรรคฯต่อไป หากใครยังล้าหลังก็มอบหมายให้สมาชิกพรรคฯที่รับผิดชอบ ติดตามให้การช่วยเหลือให้การศึกษาอย่างใกล้ชิดต่อไป

ที่กล่าวมาผมยังรู้สึกประทับใจในวิธีให้การศึกษาและการวางรากฐานในการสร้างคนของพรรคฯเขาพอสมควรทีเดียว หากการกระทำเช่นนี้ต่อเนื่องมีพลัง ไม่พึงพอใจอยู่กับความจัดเจนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและความใจแคบจนกลายเป็นลัทธิคับแคบแล้ว โอกาสที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยจะล่มสลายนั้นยากยิ่ง

หลังจากที่สังกัดหน่วยภายในทับและได้รับมอบหมายหน้าที่การงานดังกล่าวมาแล้ว ผมก็มีโอกาสเดินทางกลับมายังพื้นที่ภูมิลำเนาเพื่อติดต่องานแนวร่วม ส่วนใหญ่ก็เป็นแนวร่วมในกรุงเทพฯ โดยเน้นไปที่ศิษเก่าลาดยาวที่ผมรู้จักเพื่อขอการสนับสนุนอุปกรณ์ในการทำงาน เช่น เครื่องพิมพ์ดีด  เครื่องโรเนียว  กระดาษไข  กระดาษพิมพ์ เป็นต้น ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี

image_pdfimage_print