ชีวิตที่สับสนอลหม่านมีวันดีๆ และวันร้ายๆ ซึ่งชีวิตที่ไม่อยู่ท่ามกลางสงครามอย่างในยูเครนก็ยังดีกว่า แต่มนุษย์มักมีห้วงคำนึงที่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดเสมอ แม้จะตื่นหรือฝัน ชายคาเรื่องสั้นตอนที่ 5 “หลังฝนซามีเรือลำหนึ่งล่องไปในมหาสมุทร” ชวนผู้อ่านตั้งคำถามกับชีวิตที่หม่นๆ นี้ 

จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์ เรื่อง

ฝนหายไปสองวัน เสียงหยดน้ำที่ดังถี่ๆ เริ่มลดลง กลายเป็นจังหวะที่ทิ้งช่วง ให้ความรู้สึกที่ต้องรอ บางคืนได้ยินเสียงสม่ำเสมอและคอยลุ้นจังหวะที่มันจะหล่นลงบนหลังคา ติ๋ง!!

หลังฝนทิ้งช่วงยาวนาน ทุกสิ่งก็แผ่วจางหายไป, ระยะทาง และการรอคอยอะไรบางอย่างนั้น เป็นราวกับการเนรมิตความฝัน ในโลกจินตนาการที่ความฝันถูกสร้างขึ้นจากจิตใต้สำนึก และฝันที่มาแบบสัญจรรอนแรม พลัดหลงเข้ามา แล้วก็จากไปโดยพลัน มีร่องรอยเล็กน้อยบนพื้นผิวความทรงจำและค่อย ลบเลือนไป

สิบวันหลังวาเลนไทน์ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมข่าวสงครามรัสเซีย-ยูเครน

24 กุมภาพันธ์ 2565 กองทัพรัสเซียยิงจรวดโจมตีหลายเมืองในยูเครน พร้อมส่งทหารบุกขึ้นชายฝั่งทางภาคใต้ หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน อนุมัติสิ่งที่เรียกว่า ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร

หลายวันต่อมาปรากฏภาพข่าว ห้างสรรพสินค้ากลางเมืองยูเครนพังย่อยยับ มีผู้เสียชีวิต 8 ราย เศษหิน เศษปูนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปทั่ว, ซากหินก้อนหนึ่งติดอยู่ในหัวผมนับแต่ได้เห็นภาพข่าวนั้น

………..

ถ้าหากไล่ความคิดเรื่องการมีชีวิตอยู่ออกไปพ้นได้ ผมคงไม่ต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็ได้ ความทุกข์ยากจากสงครามและผลสะเทือนของมันไม่น้อยกว่าโรคระบาด ซึ่งกินพื้นที่ชีวิตมาตลอดสามปีกว่า สงครามมันเริ่มต้นจากไหน ถ้าไม่ใช่ความบ้าคลั่ง การเมืองและการกดขี่กันเองของมนุษย์ เป็นโรคระบาดที่อยู่กับมนุษย์มาทุกยุคสมัย

ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับความรู้สึกว่า พออายุมากขึ้น ความสัมพันธ์บางอย่างที่เคยมีกับใครต่อใครก็เริ่มห่างออกไป เหมือนคนหนึ่งยืนอยู่บนฝั่ง อีกคนนั่งเรือออกไปในท้องทะเลกว้างใหญ่ ภาพจำระหว่างกันค่อยเล็กลงเรื่อย ในท้ายที่สุดมองเห็นเพียงเวิ้งว้างว่างเปล่าของท้องฟ้า นานจะมีนกบินมาสักตัว หรือนานถึงจะเห็นเรือลำอื่นเป็นจุดเล็ก อยู่ไกล ทุกภาพดูมัวหม่น จางลง และค่อย ลบเลือนไป

ครั้งแรกที่เจอเธอ เราขับรถออกจากย่านเมืองเก่า ไปเดินเล่นริมทะเลแห่งหนึ่งด้วยกัน ในท่ามแสงยามเย็นของบรรยากาศหมู่บ้านชาวประมงแถบชานเมือง เรือประมงจอดลอยอยู่เรียงรายริมหาด เรามองดูชาวบ้านออกมานั่งรับลมชมวิว และพวกเด็กกำลังเล่นน้ำทะเลกันริมหาด เธอก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งยื่นให้ผม หินสีดำผิวเรียบลื่น รูปไข่ ขนาดหัวแม่มือ แต่น้ำหนักที่เกินขนาดของมันกลับเป็นอะไรที่เร้นลับสำหรับผมในเวลาต่อมา 

คืนแรกหลังการจากลา ผมนอนกำหินก้อนนั้นจนหลับ ตื่นมาผมก็พบกับความฝัน มองเห็นตัวเองวิ่งหนีไปบนภูเขาที่ไหนสักแห่ง บางครั้งภาพนั้นก็พาผมวกกลับมายืนมองผนังหน้าบ้าน รอยแตกร้าวตรงผนัง และภาพของแม่ที่แขวนอยู่ เป็นภาพขยายจากบัตรประชาชนของแม่ พี่ชายนำมาอัดขยายเพื่อวางไว้หน้าโลงศพ ภาพฝันเหล่านั้นพาผมกลับไปบนภูเขาอีกครั้ง เธอซึ่งกำลังเล่นน้ำอยู่ในลำธาร ผิวกายขาวสะอาดไร้อาภรณ์ของเธอเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำเหมือนฝูงปลา

คืนต่อมา ผมกลัวจนนอนไม่หลับ พยายามข่มตาเท่าไหร่ก็หลับไม่ลง บรรยากาศหลังฝน เต็มไปด้วยความชื้น ผมออกไปนั่งตรงระเบียงหลังห้อง หิ่งห้อยตัวหนึ่งบินวนอยู่ตรงหน้า นาน จะเจอสัตว์ชนิดนี้ตรงหลังบ้าน ผมนั่งมองแสงวับแวมในความมืด และเงียบสงัด นั่งมองจนหิ่งห้อยตัวนั้นบินหายไปในดงกล้วย 

ท้ายที่สุด เป็นเวลาตีสามที่ผมตัดสินใจว่า ต้องออกไปที่ไหนสักแห่ง ออกไปจากห้องนอนและบ้านที่กำลังบีบความรู้สึก ผมขับรถออกจากบ้านตอนตีสี่ วางหินก้อนนั้นตรงเบาะข้าง, เสียงเพลงในรถพอจะช่วยให้ผมรู้สึกไม่เหงาจนเกินไป เสียงเพลง “คิดถึงฉันบ้าง” ของวง “ฉัน” วงดนตรีเล็ก ที่ร้องนำโดยผู้หญิง ผมเคยสั่งซื้อซีดีจากวงนี้ เมื่อซีดีส่งมาถึงผม ผมกลับพบว่า ลายเซ็นหน้าปกเป็นชื่อคนอื่น ความผิดพลาดเล็กน้อยที่ผมเลือกจะมองข้าม ด้วยเหตุผลว่า มันไม่ได้ทำให้ความไพเราะของเพลงหายไป เหมือนทุกเช้า เหมือนบางวัน คงมีบางสิ่งเท่านั้นที่เปลี่ยนไปจากเดิม เสียงที่ดังอยู่รอบ หรือเป็นเสียงที่ดังอยู่ในหัว คล้ายเสียงคลื่น เหมือนเสียงลม เสียงฝน หรือเสียงใบไม้ปลิดปลิว เสียงลมที่กวาดใบไม้ลงจากกิ่ง แล้วพามันพลิกใบหงายหลายตลบไปตามถนนหนทาง

ผมมองไม่เห็นอะไรเลย กระทั่งไม่รู้สึกว่า ยาวนานชั่วกัปกัลป์นั้นเป็นเช่นไร เหมือนเวลาที่เราจมอยู่ในความคิดบางอย่าง แล้วหลับตาให้ความรู้สึกดิ่งลงในความมืด ตะเกียกตะกายอยู่ในก้นบึ้งของมัน และนึกถึงความตายขึ้นมา จากนั้นชีวิตมันก็จบสิ้นลง ไม่เหลือญาติมิตร พี่น้อง คนรัก หรือแม้กระทั่งทรัพย์สินใดที่เคยสร้าง ตัวเปล่า มีเพียงความทรงจำเท่านั้นที่หนักอึ้งอยู่บนบ่า หวังเพียงว่า วันหนึ่งเราจะได้ค่อยวางมันลง ทิ้งตัวนอนราบ ผ่อนลมหายใจช้า หลับตา แล้วก็หายไปในอีกชั้นของความรู้สึก มีบางวันที่ผมตื่นขึ้นในสภาพเบลอ จดจำความฝันได้ไม่ปะติดปะต่อ แต่นั่นอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็เป็นได้ ผมกลัวว่า มันจะเป็นเช่นนั้น

สงครามยังไม่ยุติ เสียงปืน และเสียงระเบิด มาพร้อมกับความหวาดกลัวว่า มันจะลุกลามเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ความหวาดกลัวที่ไม่สิ้นสุดของประชาชนชาวยูเครนที่กำลังละทิ้งบ้านเกิด พวกเขาหนีสงครามเพื่อไปเผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้หนทาง แต่ดูผมสิ ผมกำลังกลัวและกังวลกับอะไรอยู่ ประเทศผมไม่ได้มีสงคราม ไม่ได้ลำบากยากแค้น (แน่นอนว่า ผมยังไม่ขอพูดถึงความไร้เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง) ผมกลัวตัวเองหรือกลัวฝันร้าย ที่เป็นเหมือนสงครามที่กำลังปะทุขึ้นอย่างเงียบ ซึ่งมันกำลังยึดครองทุกสิ่งไปจากผม และค่อยๆ ทำลายตัวตนของผมไปอย่างช้าๆ อย่างที่ร่างกายไม่อาจต้าน?

ในฝันคืนนั้น

(คุณไม่เห็นอะไรเลย นอกจากเรือจอดเทียบท่าเรียงราย และความกว้างใหญ่ไพศาลของผืนทะเลสาบ ฝั่งโน้นลิบลับ สะพานทอดข้ามแผ่นดินระหว่างเกาะยอ สองปีก่อน คุณเคยมาพักที่เกาะ ขับรถวนรอบ มองผืนน้ำไปสุดฝั่งสะทิงพระ ยังทอดยาวไปถึงพัทลุง แล้วถามตัวเองว่า ภาพของเรือลำหนึ่ง กับนกตัวหนึ่งบนท้องฟ้านั้น อย่างไหนดูโดดเดี่ยวมากกว่ากัน แล้วคุณก็ตอบตัวเองในนาทีนั้นว่า แท้จริง ความโดดเดี่ยวเป็นของคนที่มองเห็นมันต่างหาก 

ผ้าทอเกาะยอลวดลายสวยงาม โพงพาง ไซนั่งเรียงรายกลางผืนน้ำ เรือบางลำแล่นผ่านไปอีกฝั่ง เสียงน้ำกระซิบหาดทราย ดงโกงกางลึกลับ ต้นจากใบเขียวกำลังออกผล ปูตัวน้อย ปลาซิว ผุดว่ายในร่มเงา รากโกงกางเหมือนนิ้วยื่นลงไป กดลงในดิน พยุงลำต้นเอาไว้ ความขุ่นข้น และรอยเท้า ปรากฏอยู่ตรงนั้นตรงนี้

อาจเป็นเช้าของวันหนึ่ง ในวันที่คลื่นลมแรง น้ำทะเลฝั่งอ่าวไทย ขุ่นข้น คลื่นสูงซัดกระทบฝั่งไม่ขาดสาย คุณนั่งอยู่ริมหาดชลาทัศน์ เบื้องหน้าตรงวงเวียนมีรูปปั้นคนอ่านหนังสือ หมาตัวหนึ่งนอนหลับอยู่บนม้านั่งยาวริมหาด มวลอากาศ และแรงลมกลบทุกเสียง ผู้คนบางตา เป็นยามเช้าที่ไร้จุดหมาย ทุกสิ่งหยุดนิ่ง เมืองทั้งเมืองตกอยู่ในแสงมัวหม่น อยู่ในการรอคอยการมาถึงของอะไรสักอย่าง ใครบางคน หรือสีของท้องฟ้าแบบที่สวยกว่าวันนี้ หรือพรุ่งนี้)

ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนจะรออะไรหลายสิ่งและบางครั้งก็เหมือนไม่รู้สึกว่า ต้องรออะไรอีกแล้ว มันเป็นช่วงที่หม่นหมอง สิ้นหวัง มีความหวังอย่างปลอมอยู่ในฝันบางค่ำคืน ตื่นขึ้นมาทุกวัน หันมองไปรอบ เหมือนชีวิตไม่ได้ผ่านอะไรมาเลย แต่บางครั้งก็หนักหน่วง เหมือนผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมานับครั้งไม่ถ้วน 

ความคิดถึงและการอยู่เพื่อรอ…อาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมยังมีความหวังอยู่บ้าง ผมเหนื่อยหน่ายที่จะอ่านเพื่อคิดถึงแง่มุมใดที่มีอยู่ในโลก ผมสร้างโลกขึ้นมาใบหนึ่ง เพื่ออยู่ในนั้น โลกที่ทดแทนความสิ้นหวัง แต่ในนั้นกลับดูสิ้นหวังยิ่งกว่า นี่คือความเป็นจริงที่เราเป็นอยู่ขณะนี้

ในฝัน หลายคืนหลังจากนั้น

(คุณไม่ได้กลับไปย่านเมืองเก่าอีกเลย ภาพฝันเดียวที่คุณมี คือแสงยามเย็นที่ทิ้งตัวลงเหนือเส้นโค้งของภูเขา ในภาพนั้นมีสะพานอยู่ข้างหน้า มีเรือลำเล็ก ลอยเคว้งอยู่ในกลางระยิบระยับของแดดยามเย็น หากกำหนดบางสิ่งให้เกิดขึ้นได้จริงตามฝัน คุณปรารถนาจะเป็นเพียงเรือลำหนึ่ง จอดนิ่งอยู่ริมหาดร้างที่ไหนสักแห่ง ไม่มีกำหนดการณ์ใด เกี่ยวกับทะเล ไม่ปรารถนาจะไปอยู่ใจกลางมหาสมุทร ปล่อยตัวเองผุพังไปที่ละส่วน เริ่มจากใต้ท้องเรือ กราบเรือ และหัวเรือ หักพังลงมากองอยู่บนเนื้อทรายนุ่มเนียน พืชบางชนิดเลื้อยขึ้นคลุม แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนกลืนกลายเป็นเนื้อดิน หลอมรวมกับเนื้อทราย โปรยปลิวไปกับสายลมยามเย็น หรือคลื่นซัดขึ้นฝั่ง พาฝุ่นผงเหล่านั้นลงไปปะปนอยู่กับความขุ่นข้น และบ้าคลั่งของผืนทะเล)

สงครามเกิดขึ้นนานแล้ว บางสิ่งเหล่านั้น อาจยังเดินทางมาไม่ถึง ที่ว่างจึงยังเป็นที่ว่าง ความทรงจำเคยมีอยู่ตรงนั้น ความสิ้นหวังยังอยู่ในนั้น ในความว่างอาจซ่อนน้ำหนักของบางสิ่งเอาไว้ 

หรือแท้จริงแล้วกับหนึ่งชีวิตของใครบางคน มีจิตวิญญาณทั้งหมดอยู่เพื่อจะรักและศรัทธา และพร้อมจะตายไปกับมัน สำหรับผมแล้ว แม้ว่าเธอจะปล่อยน้ำหนักชีวิตทั้งหมดลงในมหาสมุทร แต่เหมือนเธอยังคงยืนอยู่ตรงนั้น และคล้ายว่าเห็นเธอยืนอยู่ริมหาดทราย มองไกลออกไป ท้องทะเลเหมือนสิ่งมีชีวิต เพียงลมหายใจไม่เคยขาดหาย และเสียงคลื่นก็ไม่เคยสิ้นสุด 

ผมยังคงอยู่ในวังวนของความฝัน บางครั้งผมจะลืมตา แล้วค่อยๆ เดินห่างออกมา ในรู้สึกอันปรารถนาจะอยู่รอไปจนถึงวันที่ได้กลับไปภาพฝันก่อนหน้านั้นอีกหน 

คล้ายพลัดหลงอยู่ในใจกลางของโลกอันผุพัง, จังหวะแผ่วเบาของฟองคลื่นคลอเคลียหาดทราย และการสัมผัสครั้งสุดท้าย ไกลโพ้นในแสงยามเย็นที่กำลังทิ้งตัวลงช้าๆ มีเรือลำหนึ่งล่องลอยอยู่ในมหาสมุทร

………………….

ความเห็นของบรรณาธิการ เป็นเรื่องราวของผู้คนบนโลก กับโลกแห่งความจริงและความฝัน ความเป็นกับความตายในสงคราม ความเงียบเหงาว้าเหว่ในสายตาและในใจสำหรับใครคนหนึ่งผู้มีจิตวิญญาณสูงส่ง เพื่อที่จะรักและศรัทธา เป็นผลงานสูงค่าของนักเขียนหนุ่มแห่งยุคสมัยเผด็จการเช่นนี้ – มาโนช พรหมสิงห์

image_pdfimage_print