เครดิตภาพ Ray ‘Wolverine’ L

ความฝัน ความหวังของคนเป็นแม่ ทำได้เพียงมองลูกกางปีก เติบโต มีชีวิตเป็นของตนเอง แม้วันหนึ่งบ้านที่เคยอยู่ด้วยกันในวันวัยจะกลายเป็นกลายเป็นสถานที่แห่งเพียงความทรงจำก็ตาม ชายคาเรื่องสั้นโดย ปันนารีย์ 

ปันนารีย์

บ้านของฉันไม่ได้ถูกทิ้งร้าง มีจิ้งจกตัวเดิมและบรรดาลูกๆ ของมันออกเดินเพ่นพ่าน ตุ๊กแกตัวหนึ่งเดินย้วยย้ายไปมา ตอนตีห้ากว่าดาวเรียงตัวกันงดงาม บ้านไม่ได้ว่างเปล่า แมงมุมตัวเดิมแอบสานหยากไย่ปั้นรูปประติมากรรม ที่เอาแต่ตามใจตัวเอง ชั้นหนังสือยังมีหนังสือทุกเล่มของเวอร์จิเนีย วูล์ฟที่ฉันโปรดปราน หนังสือบทกวีภาษาอังกฤษเล่มเล็กที่แปลได้บ้างไม่ได้บ้างของเอมิลี่ ดิกคินสัน หนังสือเล่มหนาเท่าตึกของวัฒน์ วรรลยางกูรที่เพิ่งซื้อมา บ้านยังใหม่แลดูสง่างาม ดอกแก้วต้นใหญ่ส่งกลิ่นหอมอยู่ริมหน้าต่างห้องนอนที่ถูกผ้าคลุมทิ้งไว้ โมกต้นเดิมสูงเท่ารั้วแล้ว อายุขวบปียาวนานของระบบราก เชื่อได้เลยว่า มันจะไม่ตายง่ายๆ ดอกโมกแห่งความรักของฉันจะเบ่งบานไปตลอดกาลนาน นานกว่าชีวิตของฉันเสียอีก           

พื้นบ้านปูด้วยกระเบื้องสีขาวยังปรากฏรอยแต้มปริศนาสีแดงหยดกระจาย มันหล่นมาจากที่สูงที่ไหนสักแห่ง มองขึ้นไป ฝ้าเพดานขาวสะอาด มีเพียงชั้นวางหนังสือ ที่ด้านบนสุดใช้วางกรอบรูปของแม่ มันเป็นรูปเดียวกันกับที่เคยวางไว้หน้าหีบศพ ฉันจงใจใช้รูปของแม่ที่มีสีสัน ประหนึ่งว่าเธอยังมีชีวิต สวยงามและเฝ้ามองฉันอยู่เสมอ ส่วนพ่อนั้นคอเอียงไปทางซ้ายเล็กน้อย ภาพถ่ายตอนเด็กของฉันใส่กรอบวางอยู่ชั้นถัดลงมา ดูนั่นสิ วัยเยาว์ของฉัน ช่างเป็นใบหน้าละม้ายคล้ายพ่อไม่มีผิด เอียงคอ เหนียมอาย ไม่เคยมั่นใจอะไรเลย นอกจากพากเพียรสร้างอาณาจักรของเราเอง หากสุดท้ายอาณาจักรภายในก็หาได้ปกป้องชีวิตใคร เราต้องพึ่งสาธารณสุขแห่งชาติอันโงนเงนง่อนแง่น ฉันจดจำภาพของพ่อกำลังนั่งงอตัวด้วยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว เพื่อให้หมอเจาะน้ำในปอดบนเตียงผู้ป่วยรวม 

โอ้…ชีวิตช่างน่าอนาถา ฉัน, ผู้ไม่สามารถปลอบประโลมคนเป็นพ่อ ได้เห็นตัวเองเหลือแต่รากแทงทะลุผิวหนัง ยึดโยงติดกับดักที่ไหนสักแห่ง ได้แต่ดิ้นทุรนทุราย หรือไม่ฉันก็อ่อนแอเกินไป ได้แต่ยอมจำนนต่อโชคชะตา หลายครั้งที่ฉันคิดว่า ควรขายบ้านที่ไม่มีใครอาศัยอยู่นั้นเสียที ที่ซึ่งเฝ้าเก็บรายละเอียดยิบย่อยของความรู้สึก ที่ซึ่งเอาแต่เก็บงำความหลังและความฝัน ฉันมีหวังเพียงเล็กน้อยว่า ลูกคนใดคนหนึ่ง อาทิวหรืออาหลินจะกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง แต่ฉันไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ กาลเวลากระชากทรงจำอย่างแผ่วเบา เหลือเพียงเสียงลมพายุดังกระท่อนกระแท่น ลูกๆ เหมือนเรือลำน้อยที่ล่องออกไปสู่มหาสมุทร โลกกว้างใหญ่ไพศาลอาจทำให้พวกเขากลายเป็นจุดเล็กๆ บนโลกใบนี้ พวกเขาไม่ใช่เด็กน้อยเตาะแตะ เอาแต่เกาะขอบกรงในห้องสีชมพูอีกต่อไป มีแต่ล่องเรือออกไป ไกลออกไปทุกที บ้านหลังสีฟ้าเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กๆ        

“เขาไปทำงาน รายได้ดี” ข้อความโอ้อวดในจินตนาการอันฟูฟ่องไปด้วยความภาคภูมิใจถึงลูก หากทว่าได้ยินแต่เสียงลมเยาะหยันพัดผ่านห้องต่างๆ ภายในบ้านราวกับเป็นห้องของคนแปลกหน้า ทักทายและเอ่ยถ้อยคำไร้เสียง อ้างว้างลึกอยู่ภายใน ที่ซึ่งไม่ต่างกับนกอพยพโยกย้ายออกมาปลิววนรอบบ้าน พวกนกยังขยันหอบเอาเส้นหญ้าบินขึ้นมาทำรัง ดินเคยพูนด้วยศพสุนัขอันเป็นที่รักได้ปลูกต้อยติ่งไว้เหนือหลุมศพเพื่อไว้อาลัย มันงอกงามแตกกระจายผสมผสานกลายสีสันต่างๆ นานา – – – –    

ครู่หนึ่งราวกับเสแสร้ง ผ้าฝ้ายขาวบางที่ใช้คลุมทับขาตั้งภาพวาด มันหลุดลุ่ยลงมาเผยให้เห็นภาพวาดไม่สมบูรณ์ ภาพนั้นเป็นทุ่งดอกทานตะวัน ฉันเองเป็นคนลงสีครั้งสุดท้ายตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว สีเหลืองแห้งสนิทพร้อมจะกลายเป็นเหลืองทองหมองหม่น บ้านสงบและว่างเปล่า ตู้เย็นถูกถอดปลั๊ก ไม่มีอะไรบรรจุอยู่ภายใน ถั่วเคลือบรสวาซาบิถูกวางทิ้งไว้บนหลังตู้เย็น มันอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ครั้งที่หลินออกจากบ้านไป หลินไม่ได้ชอบกินถั่วเคลือบวาซาบิหรอก วันนั้นเราสองคนหยิบถุงถั่วนี้มาจากร้านสะดวกซื้อ (ที่ตั้งอยู่กระจายไปรอบๆ มันบีบรัดจนเราไม่เหลือร้านอื่นให้เป็นทางเลือกอีกต่อไป) หรือบางทีหนึ่งในเราสองคนก็แค่อดคิดถึงอาทิวไม่ได้ เขาชอบกินถั่วเคลือบวาซาบิ เราสองคนผลัดเปลี่ยนกันกินทีละเม็ด ใบหน้าขยี้รอยย่นในรสเผ็ดจี๊ดจ๊าด หลินหัวเราะชอบใจตัวฉันช่างเป็นรสถั่วที่เหลื่อมล้ำศตวรรษ ถุงถั่วยังมัดซุกไว้ในโถแก้วอีกชั้น ฉันหยิบมันขึ้นมาคลี่ถุงออก เสียงกรอบแกรบราวกับว่า ลูกๆ ยังหยอกเย้ากันอยู่ตรงหน้า ภายในบ้านอันมีชีวิตหลินเคยพูดว่า ถุงเดียวกัน ถั่วเม็ดไหนๆ ก็มีรสเผ็ดของวาซาบิ   

“แม่ไม่ชอบอะไรที่เผ็ดสักอย่างนั่นแหละ” หลินว่า

“แต่อาทิวชอบ” ฉันพูดขึ้นมาลอยๆ แต่กลับจูงมือหลินจมดิ่งไปในห้วงน้ำตรงหน้า ตกลงไปในเวิ้งน้ำแทบไม่ปรารถนาโผล่ขึ้นมาหายใจอีก ตั้งแต่เด็กแล้วที่อาทิวเอาแต่ซ่อนตัวเองลอบมองฉันถักเปียให้อาหลิน 

อาทิวเรียนจบเข้าทำนองเกือบไม่จบ (แต่ยังดีกว่าไม่จบ) ฉันบ่นอาทิวบ่อยกว่าหลิน หลายครั้งที่ฉันไม่ทันได้หักห้ามคำพูดของตัวเอง แม้กระทั่งขณะกลัดกระดุมเสื้อนักเรียนของเขา เช่น หัวทื่อเหมือนพ่อ ไม่รู้จักพยายาม ขี้เกียจเหมือนพ่อ เอาแต่นอนตื่นสาย เรื่องพ่อของพวกเขา กลายเป็นถังขยะวางเกลื่อนไปทั่วทุกซอกมุมของบ้าน ฉันเองหอบลูกสองคนหนีมาด้วยข้อกล่าวหาว่า เขาทำตัวเหมือนไร้กระดูก เอาแต่นอนเลื้อยไปมาบนเตียง เขาเป็นศิลปินกับภาพวาดที่ขายงานไม่ได้ เขาออกไปร้องเพลงเปิดหมวกตอนกลางคืน นอนตีสาม ตื่นบ่ายสอง เราไม่พบกันในรอบหนึ่งเดือนทั้งที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน 

การมีเขาอยู่พอๆ กับเขาไม่ได้อยู่ บ้านร้างทั้งที่มีคนอยู่ ดังนั้นเมื่อเขายังอยากร้องเพลงตามสบายของตัวเอง ฉันจึงต้องปล่อยเขาไปจากเส้นทางชีวิต ยอมตรากตรำออกเร่ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด เลี้ยงลูกสองคนแล้วตั้งฉายาแม่แข็งแกร่งแห่งปีขึ้นเสียเอง มอบรางวัลให้ตัวเอง เสกตัวเองให้กลายเป็นวัตถุแท่งเทียนอันสง่างามภายในบ้าน ขณะที่คนเป็นพ่อได้กลายเป็นวัตถุโบราณไร้ทรงจำ 

อาทิวเป็นเลือดข้นที่หลงใหลเสียงกีตาร์ “แม่อยากให้ทิวตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ เรียนจบจะได้มีงานดีๆ ทำ ไม่ต้องมาลำบากเร่ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด” เหมือนแม่…อะไรทำนองนี้ เสียงบ่นที่พึมพำราวกับสายฝนหลงฤดูกาลสม่ำเสมอ บ้าคลั่งเหมือนลมพายุ น้ำหยดติ๋งๆ จากหลังคารั่วอยู่ทุกชั่วโมง คอยเซาะซอนจนเหล็กแกร่งยังกร่อนสนิม อาทิวหายไปในวันฝนตก เขาชอบกินถั่วเคลือบรสวาซาบิ เพราะมันทำให้เขาหายง่วง พร้อมกระโจนไปสู่เสียงเพลงอันเร้าใจ หากวันนี้ถุงถั่วรสวาซาบิที่เปิดค้างไว้ก็คลายรสเผ็ด ฉันกินได้อย่างสบายลิ้น ไม่มีรสเผ็ดหลงเหลือ จมูกไม่ได้กลิ่นแปลกแปร่ง ยากจะอธิบายวัฒนธรรมความคุ้นชิน

“หนูอยากตามเพื่อนไปออสเตรเลีย แม่โอเคหรือเปล่า”

ราวโลกทั้งใบกำลังจะหยุดนิ่ง ลมหายใจขาดห้วงแต่ยังเฝ้ากล้ำกลืนฝืนหายใจต่อไป ฉันยิ้ม..แม่โอเคอยู่แล้ว จากนั้นฉันเหมือนคนเร่ร่อนออกเดินทางไปกับคาราวานรถขายของไม่มีวันหยุด บ้านหลังหนึ่งร้างโดยฉับพลัน แสงสว่างที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้ ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพไกลลิบ มองเห็นอยากเอื้อมมือไปกอดสัมผัสแต่เห็นกันและกันผ่านจอเลื่อนไปมา อาทิวอยู่ที่ไหนสักแห่ง เขาไม่เล่นเฟซบุ๊ก เขาไม่มีไอจี (ฉันไม่เล่นติ๊กต๊อก) เขาเป็นธาตุอากาศอันขาวโพลนในโลกอีกใบและอีกใบ 

เวลานี้ถั่วเคลือบรสวาซาบิก็คลายรสเผ็ดร้อนแรงเป็นเพียงถั่วธรรมดา ฉันผู้กลายเป็นความว่างเปล่าอัดแน่นอยู่ในทรงจำของตัวเอง ความทรงจำกลายเป็นกลุ่มควันในอากาศว่างเปล่าของบ้าน มันห้อยหัวตรงโคมไฟระย้าหน้าบันได ลมพัดมาคราหนึ่งก็หยอกเย้าดังเอี๊ยดอ๊าด แอบเล็ดลอดเข้ามาแทะเล็มช่อดอกกุหลาบอันได้กลายเป็นสีน้ำตาลไหม้ ที่บัดนี้ได้กลายเป็นบ้านอันถาวรของแมงมุมเฒ่าตัวหนึ่ง อารมณ์รักหรือไม่รักได้สงบและผ่อนคลาย เศษแก้วที่เคยบาดนิ้วจนเป็นแผลลึกเหลือแค่ทรงจำอันแพ้พ่าย บ้านที่ร้างแล้วอาจทำให้ตื่นอย่างมึนงง รีดชุดนักเรียนไว้แล้วหรือยัง ฉันต้องทำอาหารเช้าหรือเปล่านะ หลินชอบข้าวต้มหมูล้วนเหยาะพริกไทยเยอะๆ ไม่สิ นั่นพวกเขายังเป็นเด็ก ไม่มีความคิดต่อการมีชีวิตของตัวเอง 

นอกจากฟังฉันชี้นิ้วให้เดินไปทางนั้น เดินไปทางนี้ ฉันฟังเพลง Imagine ของจอห์น เลนนอน อยู่บ่อยๆ เป็นเพลงที่อาทิวชอบเล่น ฉันเคยได้ยินเพลงนี้ผ่านข่าว Breaking News ว่า เด็กวัยหนุ่มสาวมักชอบร้องเพลงนี้บนเวทีที่พูดว่า เหตุไฉนประชาธิปไตยต้องเป็นของประชาชนทุกคน การบีบรัดและยึดอำนาจไปจากประชาชนเป็นการลุแก่อำนาจอย่างร้ายกาจ เด็กหนุ่มสักคนท่ามกลางผู้คนมากมายเหล่านั้นจะมีอาทิวปะปนอยู่บ้างไหมหนอ เวลานั้นเขาจะขึ้นไปร้องเพลงอย่างเต็มเสียง ดวงตาของเขาจะตื่น เจิดจ้า แม้ค่ำคืนนั้นเดินข้ามเวลา ด้วยการประดับดวงโคมไฟซีดเซียว ต้นไม้และตัวตึกทุกซอกมุมหรี่ตาลง หย่อมคราบเลือดบนถนนเปรอะเลอะ เสียงปืนที่ปนเปกับเสียงเพลงเรียกร้องสันติภาพ

ลมหมุนวนในบ้านอบอวล พยายามยึดอำนาจความว่างเปล่าไปเป็นของตัวเอง รอยจ้ำสีแดงที่ไม่รู้ที่มา จะใช่รอยเลือดเดียวกันกับที่มักปรากฏบนท้องถนนซ้ำๆ หรือเปล่า เส้นขนานในบ้านหลังหนึ่ง รอยร้าวบนผนังห้องที่เคยอยู่ร่วมกัน เราต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง ฉันหยิบถั่วออกจากถุง มีเศษผงวาซาบิที่ร่อนตัวเองออกจากถั่ว ได้กลิ่นความเผ็ดจี๊ดจ๊าดอยู่ปลายลิ้น มันยังคงเป็นวาซาบิวันยังค่ำ ถั่วก็ยังคงเป็นเม็ดถั่วเหมือนเช่นเดิม แม่ก็ยังเป็นแม่วันยังค่ำ บ้านร้างยังคงเป็นบ้าน เราต่างจะกลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน (ความหวังมักทำให้กระหยิ่มยิ้มย่องในรอยก้าวเสมอ)

ปันนารีย์ เขียนทั้งกลอนเปล่าและเรื่องสั้น โปรดการเขียนวรรณกรรมเยาวชน ปัจจุบัน เขียนงานที่เพจปันนารีย์ ผลงานล่าสุดขณะนี้ รวมเรื่องสั้น “ดั่ง..ฟองคลื่น” อยู่ในรูปแบบอีบุ๊คส์

image_pdfimage_print