คำสารภาพจากลูกสาวคนเสื้อแดง…ในวันที่ไร้พ่อ

 

“อยากให้พ่อรับรู้เสมอ ไม่ว่า พ่อจะถูกมองเป็นคนขี้เหล้า เป็นคนเสื้อแดงที่สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศอย่างที่ใครเคยกล่าวหา เป็นคนที่ถูกสังคมตีตรา ลูกสาวบักขี้เหล้าคนนี้ภูมิใจในตัวพ่อเสมอ 

พ่อเป็นผู้กล้า พ่อเป็นความหวัง พ่อเป็นแรงบันดาลใจ อยากสานต่อทุกความตั้งใจของพ่อ อยากมองเห็นความหวัง อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม 

 แม้พ่อจะไม่อยู่รับรู้ถึงความตั้งใจของผู้เขียนในวันนี้ก็ไม่เป็นไร หวังว่า วันหนึ่งพ่อจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งในประเทศไทยที่พร้อมให้ความเท่าเทียมกับทุกคนและประชาธิปไตยเต็มใบอย่างแท้จริง”

รัตนาภรณ์ น้อยวงศ์ เรื่อง 

“ลูกบักยศขี้เหล้านั่นเบาะ” เป็นสิ่งที่ผู้เขียนได้ยินประจำทุกครั้งที่ไปพบญาติผู้ใหญ่ ทั้งญาติฝั่งพ่อหรือแม้กระทั่งฝั่งแม่ ไม่แปลกใจนัก เพราะพ่อของผู้เขียนเป็นคนชอบดื่มเหล้า ชีวิตส่วนใหญ่ นอกจากการทำงานที่รายได้ไม่แน่นอน อย่างการขายขนมโตเกียวแล้ว เวลาของพ่อจะหมดไปกับเหล้า

แน่นอนว่า พ่อตายด้วยสาเหตุกระเพาะทะลุ เพราะดื่มเหล้าขาว จนทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด ยื้อยุดชีวิตกันอยู่กว่าสัปดาห์ก็ต้องยุติการรักษา เพราะร่างกายของพ่อรับการรักษาไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นผู้เขียนอายุเพียง 12 ขวบ วันที่รู้ว่า พ่อตาย ผู้เขียนไม่มีน้ำตาออกมาเลย ไม่แน่ใจว่า เพราะกำลังตกใจอยู่หรือว่ารู้ดีว่า ต่อให้พ่อมีชีวิตต่อก็คงไร้ความหมาย

เพราะตั้งแต่เกิดมา ผู้เขียนก็เห็นพ่อเจ็บปวดมาตลอด แม้แต่ในช่วงเวลาที่พ่อยิ้มออกมาในบางครั้ง ยังรู้สึกถึงความเศร้าบนรอยยิ้มนั้นอยู่เลย ตั้งแต่เกิดมาในครอบครัวไม่เคยมีสักครั้งที่เห็นพ่อกับแม่ไม่ลำบาก พ่อกับแม่ใช้ชีวิตอยู่กับความจน ความสิ้นหวัง จนหมดพลัง

จริงๆ แล้วคงต้องบอกว่า พ่อของผู้เขียนเองเป็นโรคทางจิตเวชจนต้องหันหน้าเข้าหาเหล้า ผู้เขียนรู้เหตุนี้หลังจากพ่อจากไปแล้ว 6 ปี จึงได้รู้เหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถเลิกเหล้าได้

เหตุผลที่เพิ่งมารู้เอาตอนนี้ก็เพราะว่า ไปอ่านบทความหนึ่งในโซเชียลมีเดียที่เล่าถึง ‘โรคซึมเศร้ากับการติดสุรา’ พออ่านไปจึงได้รู้ว่า เหตุผลที่พ่อติดเหล้ามาตลอดมาจากการซึมเศร้านี่เอง เพราะพิษเศรษฐกิจ รายได้น้อยลง ทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวแย่ 

สิ่งที่พ่อได้เผชิญเป็นความน่ากลัวของสังคม ทำให้สุดท้ายพ่อทนความรู้สึกสิ้นหวังไม่ไหว ในตอนนั้นผู้เขียนไม่เข้าใจและไม่ได้พาพ่อไปรักษาอย่างจริงจังจนเสียเขาไปในที่สุด

ส่วนเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้เขียนรับรู้ถึงสาเหตุและที่มาของความสิ้นหวังของพ่อได้ คือ เหตุการณ์ครั้งที่ผู้เขียนเองยังคงเป็นเด็ก จำไม่ได้ว่า ปีไหน แต่เป็นตอนที่ครอบครัวของผู้เขียนยังอาศัยอยู่กรุงเทพฯ พ่อเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสังคม ตอนนั้นผู้เขียนยังอายุน้อยจึงไม่ทราบอะไรมากนัก รู้บางอย่างจากคำบอกเล่าของพ่อเพียงเท่านั้น พ่อออกไปประท้วงร่วมกับหลายคน โดยมีผู้เขียน แม่ และน้องสาวพ่อ (อา) 

การเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 เครดิตภาพ Flick 

‘เขามีความหวัง’ ในตอนที่ได้เห็นพ่อออกไปสู้ ผู้เขียนมองเห็นแววตาแห่งความหวังของเขา แววตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความรู้สึกที่ผู้เขียนสัมผัสได้ตอนนั้น ผู้เขียนได้ยินพ่อและอาพูดอยู่เสมอว่า พวกเขาต้องการความเท่าเทียม มีบางสิ่งบางอย่างกดขี่พวกเขาอยู่ แม้จะไม่รู้ว่า คือ อะไร แต่ตอนที่ได้เห็นแววตาความหวังของพ่อ ผู้เขียนรู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มมากขึ้น รับรู้ได้ว่า ความหวังของเขา คือ การจะนำพาชีวิตที่ดีมาสู่พวกเรา 

จากชายวัยกลางคนที่หมดแรง เพราะดื่มเหล้าแต่หัววันกับชายวัยกลางคนในม็อบเสื้อแดงต่างกันโดยสิ้นเชิง

วันนั้นหลังจากพวกเรากลับจากม็อบก็พบว่า ร้านขายของชำที่อาเป็นเจ้าของร้าน ถูกรื้อกระจัดกระจาย ขวดเหล้าที่วางขายถูกตีแตกเป็นเสี่ยงๆ โต๊ะหน้าร้านถูกพังเละไม่เป็นท่า 

กลุ่มคนที่ยืนอยู่อีกฝั่งเดินเข้ามาและป่าวประกาศให้คนทั้งซอยรู้ว่า พวกเขาเป็นกลุ่มผู้ปกป้องสถาบันฯ ใต้ต้นไม้ฝั่งติดถนนชายคนหนึ่งเดินเข้ามาประชิดพ่อ ก่อนจะเล็งปืนจ่อเข้าที่ขมับของพ่อ เขาไม่พูดอะไร ส่วนพ่อยืนนิ่ง จากคำบอกเล่าของอา ผู้อยู่ในเหตุการณ์บอกว่า “คงเป็นเพียงการข่มขู่” ก่อนจะถอยกลับไป

ทราบภายหลังว่า ชายกลุ่มนั้นรู้ว่า ครอบครัวของผู้เขียนได้ไปร่วมชุมนุมทางการเมือง จากที่เคยรู้สึกดีด้วย เพราะเป็นเพื่อนบ้านร่วมซอยกัน พวกเขาก็ออกมาประกาศจุดยืนและเข้ามาคุกคามครอบครัวของผู้เขียน

อาเล่าให้ฟังอีกว่า พ่อเป็นคนมีอุดมการณ์แรงกล้า เขาติดตามข่าวการเมืองอยู่เสมอ แม้จะถูกคุมคามเขาก็ไม่หยุดสู้ จนครั้งที่ได้ยินว่า มีคนตายในม็อบ พ่อรู้สึกเจ็บปวด ห่ากระสุนสาดเข้าผู้ชุมนุมไม่หยุด พ่อเอ่ยกับอาว่า “เขาไม่ได้มองเราว่า เป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ”

ในวันที่โตขึ้น พอรู้เรื่องรู้ราว หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่เล่าผ่านอา ผู้เขียนอยากมีโอกาสได้พูดคุยกับพ่ออีกครั้ง อยากแลกเปลี่ยนความคิดทางการเมือง อยากอ่านหนังสือที่พ่อแนะนำให้อ่าน อยากฟังประสบการณ์การเรียกร้องของพ่อ แต่ทุกอย่างที่กล่าวมา เป็นเพียงความต้องการที่ไม่อาจเป็นไปได้

ผู้เขียนไม่เคยคิดว่า อยากย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขอะไร ยกเว้นเรื่องนี้ อยากย้อนกลับไปสักครั้ง ถ้าหากมีโอกาสได้พาพ่อไปรักษา อยากให้พ่อมีชีวิตอยู่นานกว่านี้ ให้พวกเราได้สู้ด้วยกันนานกว่านี้ ได้คุยกันเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในสังคมที่เกิดขึ้น 

อยากให้พ่อรับรู้เสมอ ไม่ว่า พ่อจะถูกมองเป็นคนขี้เหล้า เป็นคนเสื้อแดงที่สร้างความวุ่นวายให้กับประเทศอย่างที่ใครเคยกล่าวหา เป็นคนที่ถูกสังคมตีตรา ลูกสาวบักขี้เหล้าคนนี้ภูมิใจในตัวพ่อเสมอ 

พ่อเป็นผู้กล้า พ่อเป็นความหวัง พ่อเป็นแรงบันดาลใจ อยากสานต่อทุกความตั้งใจของพ่อ อยากมองเห็นความหวัง อยากเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม 

 แม้พ่อจะไม่อยู่รับรู้ถึงความตั้งใจของผู้เขียนในวันนี้ก็ไม่เป็นไร หวังว่า วันหนึ่งพ่อจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งในประเทศไทยที่พร้อมให้ความเท่าเทียมกับทุกคนและประชาธิปไตยเต็มใบอย่างแท้จริง

หวังว่า เราจะพบกันใหม่นะ สมยศ น้อยวงศ์ (สหายร่วมอุดมการณ์ผู้เป็นพ่อ)