Jean Sebastienne
คล้ายกับการเป็นนักดนตรีที่ไม่เคยแสดงศักยภาพในบ้านเกิดของตัวเอง “วิชชานนท์ สมอุ่มจารย์” ชายหนุ่มอดีต Civil Entaneer (Entaneer แปลว่านักศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์) ทั้งฝั่งเมือง Khon Kaen และเมือง Maha Sarakham กับความฝันที่อยากเป็นนักดนตรีร็อคด้วยความสามารถแบบ “มะล็อคก๊อกแก๊ก” ทำให้เขาได้รวมวงกับเพื่อนเดินสายทัวร์ตามงานคอนเสิร์ตในมหาวิทยาลัยบ้างประปราย แต่สิ่งที่เพื่อนจดจำเขาได้ในยุคนั้น คือการที่เขากับเพื่อนเล่นดนตรีเป็นวงเปิดในงานมินิคอนเสิร์ต “A Tribute to Kurt Cobain” ที่จัดขึ้นริมรั้วนอกมหาวิทยาลัยในช่วง Summer ปี 2002 เพื่อแสดงความคารวะแด่ Frontman แห่งคณะ Nirvana ผู้ล่วงลับจากการกระทำ “อัตวินิบาตกรรม” ในช่วงเดียวกันเมื่อปี 1994
มินิคอนเสิร์ตครั้งนั้น เป็นการร่วมมือกันของชมรมดนตรีสากลทั้งทางฝั่ง “ไทย-เยอรมัน” และฝั่ง “มอดินแดง” ในนามกลุ่ม KK Underground
ปี 2004 เขายังคงเตร็ดเตร่ด้วยการเดินทางระหว่าง “สารคาม-ขอนแก่น-เลย” เพื่อทำงานเป็นช่างคอมพิวเตอร์และออกแบบระบบเครือข่ายที่ร้านถ่ายรูปแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่ “หนังเจ้ย” ได้รางวัลที่เมืองคานส์พอดี และเนื่องด้วยเขาเคยไปเดินสายเล่นดนตรีกับเด็กถาปัดเป็นหลัก (ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมอีกที) ทำให้คุ้นเคยกับบรรยากาศแบบเด็กถาปัด และมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเป็นหนังที่ดูยาก ทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าหนังอาร์ตดูยากเป็นอย่างไร
จริงๆ เขาชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะในช่วง ม.ปลาย กับหนังสุดแนวเรื่อง “ฝัน บ้า คาราโอเกะ” แต่ช่วงที่อยู่สารคาม เขาใช้ชีวิตในห้องสมุดและการเดินทางเป็นหลัก หลังจากนั้นเขาจึงเข้าห้องสมุดด้วยการไปอ่านหนังสือด้านภาพยนตร์และปรัชญาแทนที่จะเป็น Big Bang Theory (ซึ่งจริงๆ เขาก็อ่านมันด้วย) เขาเจอแนวคิด Existential เขาอ่าน Cinema Magazine จนไปเจอคำว่า หนังทดลอง พร้อมกับหนัง “บันทึกมอเตอร์ไซค์” ออกแผ่นในประเทศไทย (แต่พูดเป็นภาษา Spanish พร้อมคำบรรยาย) เขาเลยคิดเอาเองว่าหนังอินดี้ควรจะเป็นแบบนี้
วันหนึ่งเขาจึงอยากทำหนังขึ้นมา ทั้งที่จริงๆ แล้วการมาเมืองสารคามเขามีเหตุผลเล็กน้อยว่า เมืองแถบนี้ (กาสิน-สาคาม) เป็นเมืองนักเขียน ซึ่งเขาชอบพูดถึงแม่ของเขาที่เขารู้สึกว่าแม่ของเขาเป็นนักเขียนที่เสียชีวิตไปแล้วในช่วงเวลาที่เขาเมาเหล้า เขาจึงมาเรียนต่อที่นี่แทนที่จะไปฝั่งมหาลัยฝึกหัดครูชั้นสูงแถบเมืององครักษ์ ซึ่งที่นี่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ยากจนข้นแค้นกว่า
เขาทำหนังสั้นเรื่องแรกที่ว่าด้วย “ส้มตำ, การสูบบุหรี่ขณะขี้ และ Space-Time” ซึ่งได้รางวัลชมเชยจาก Young Thai Artist Awards 2005 ซึ่งเป็นนักศึกษาจากมหาลัยแถบอีสานคนแรกที่ได้รางวัลนี้สาขาภาพยนตร์ ในขณะที่เรียนด้านวิศวกรรม เขาคิดว่าน่าจะไปเรียนภาพยนตร์หลังจากนั้น ซึ่งหลังจากดูหลักสูตรของหลายมหาลัย เขาจึงเลือกเรียนที่มหาลัยเปิดฝั่งปากเกร็ด น่าจะเข้ากับวิธีการศึกษาก่อนหน้านี้ของเขา โดยใช้ห้องสมุดมหาลัยฝั่งบางกะปิที่เขาเคยเรียนด้าน Computer Science เป็นที่กบดาน
ปี 2011 เขากลับมาทำหนังอาร์ตขนาดยาว (แบบมะล็อคก๊อกแก๊กเช่นเคย) เรื่องแรกของเขาที่เมืองขอนแก่น โดยมีชื่อเรื่องในตอนแรกสุดว่า My Long Weekend งานแบบ “Identity and Existential Crisis” แต่เนื่องด้วยในภาคอีสาน เมื่อสิ่งใดก็ตามใช้วิธีการที่มี “เรื่องเล่า” ในนั้นมักจะเชื่อมโยงกับความเป็น “บทเพลงแนวลูกทุ่งหมอลำเพื่อชีวิต” เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “สิ้นเมษาฝนตกมาปรอยปรอย” ในปีถัดมา ซึ่งหนังเรื่องนี้เดินทางเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติมากกว่า 30 เทศกาล แต่ไม่เคยได้นำไปฉายในมหาวิทยาลัยแถบภาคอีสาน เขาคิดว่าควรจะเป็นกรณีศึกษาให้กับนักเรียนด้านภาพยนตร์ที่นี่ แต่ไม่มีใครอยากให้นักศึกษาไปศึกษาหนังแบบนี้โดยเฉพาะการชี้นำของคณาจารย์ด้านภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยแถบนี้
ปี 2021 เขาเขียนโครงการผลิตภาพยนตร์สารคดี “ตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำชี” หรือในชื่อภาษา European-American แบบ Gust Van Sant ว่า “Finding Chee’s Civilizaion” จนได้รับทุนจากกองทุนสื่อแห่งหนึ่ง ในช่วงก่อนการผลิต เขาเดินทางสำรวจ 9 จังหวัดที่แม่น้ำชีไหลผ่าน ซึ่งทุกจังหวัดล้วนแล้วแต่มีร่องรอยของอารยธรรมขอมโบราณ แต่เขาไม่ได้อยากทำงานหนังสารคดีแบบขนบดั้งเดิม เขาจึงเขียนบทภาพยนตร์ในลักษณะ Poetic Realism โดยมีตัวละครหลักที่สำคัญคือหนังสือเล่มหนึ่ง ที่มีชื่อในภาษาไทยว่า “บันทึกการเดินทาง, อารยธรรมลุ่มน้ำชี และเรื่องอื่นๆ” หรือ “Isan Journal” ในรูปแบบ French-Anglo-Saxons โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเก่าที่ชื่อว่า “Isan Travels : Northeast Thailand’s Economy in 1883-1884” โดย Étienne Aymonier (1844-1929)
เรื่องเริ่มต้นขึ้นที่ชัยภูมิเมื่อชายหนุ่มนักเดินทางคนหนึ่งพบหนังสือ “บันทึกการเดินทาง, อารยธรรมลุ่มน้ำชี และเรื่องอื่นๆ” โดยบังเอิญที่ร้านขายหนังสือมือสอง ชายหนุ่มนักเดินทางได้เดินทางไปถึงโบราณสถานขอมแห่งหนึ่งในชัยภูมิตามในหนังสือ จากนั้นเดินทางไปที่ อ.แก้งสนามนาง ของเมืองโคราชเพื่อไปดูโบราณสถานเช่นกัน แต่ขากลับเขาฝากหนังสือไว้ที่ร้าน Kiosk Cafe แห่งหนึ่ง ช่วงต่อมาเวลาไม่ได้บอกว่าผ่านไปนานเท่าใด หญิงสาวนักเดินทางพร้อมกับหนังสือบันทึกการเดินซึ่งก็ไม่รู้ว่าเล่มเดียวกันหรือไม่ เธอสำรวจพิพิธภัณฑ์เมืองขอนแก่น จากนั้นจึงเดินทางไปที่โบราณสถานขอมแห่งหนึ่งนอกเมืองขอนแก่น หญิงสาวนักเดินทางเดินทางต่อไปที่เมืองกาฬสินธุ์เพื่อเมืองโบราณฟ้าแดดสงยางที่มีโบราณสถานในยุคทวารวดี จากนั้นจึงเดินทางไปที่เมืองสารคามเพื่อจะใช้ห้องสมุดแต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เธอจึงสำรวจซากโบราณสถานขอมที่อยู่ไม่ไกลจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย และได้ไปดูหนังทดลองเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับตำนานแม่น้ำชี ช่วงต่อมาเวลาไม่ได้บอกว่าผ่านไปนานเท่าใดเช่นเดิม ชายหนุ่มนักสำรวจคนหนึ่งเดินทางมาที่เมืองร้อยเอ็ดพร้อมกับหนังสือบันทึกการเดินทางซึ่งก็ไม่รู้อีกเช่นเคยว่าเล่มเดียวกันหรือไม่ ชายหนุ่มนักสำรวจเดินทางไปสำรวจพิพิธภัณฑ์ของเมือง จากนั้นจึงเดินทางไปสำรวจโบราณสถานนอกเมือง ต่อมาจึงเดินทางไปที่เมืองยโสธรเพื่อสำรวจโบราณสถานขอมแห่งหนึ่งนอกตัวเมือง
เขา (หมายถึงวิชชานนท์) ใช้เทคนิคการเขียนแบบซ้ำๆ ซึ่งคล้ายกับคนที่มีอาการ Obsessive Compulsive Disorder แต่น่าจะหมายถึงสภาพทางสังคมที่เป็นสภาวะนี้ และเพื่อทดสอบความเป็น Dyslexia ในทางภาพยนตร์ของคนในสังคม เพราะในช่วงต่อมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มนักเรียนภาพยนตร์ที่ Film School แห่งหนึ่งซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าที่ไหน เป็นหญิงสาว 4 คนกำลังนั่งคุยกันเรื่องการนำเรื่องสั้นในหนังสือ “บันทึกการเดินทาง, อารยธรรมลุ่มน้ำชี และเรื่องอื่นๆ” มาดัดแปลงเป็นหนังสั้นที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Moral Dilemma ที่ต้องเดินทางไปถ่ายทำที่เมืองศรีสะเกษ และตอนสุดท้ายก็เป็นกลุ่มนักเรียนหนัง 4 คนที่เป็นชายล้วนกำลังนั่งคุยกันเรื่องการดัดแปลงเรื่องสั้นในหนังสือเล่มเดียวกันที่เพิ่งอ้าง ซึ่งเป็นเรื่องสั้นที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด Existenialism ซึ่งต้องเดินทางไปถ่ายทำที่เมืองอุบลราชธานี
ด้วยวิธีการเขียนแบบกระแสสำนึกของพารากราฟก่อนหน้านี้ ผม (หมายถึงผม Jean Sebastienne) ได้อ่านบทหนังเพราะเขา (วิชชานนท์ สมอุ่มจารย์) ส่งบทหนังร่างแรกๆ มาให้ผมอ่าน และเนื่องจากหนังยาว (ซึ่งต่างไปจาก “หนังใหญ่” ในมโนสำนึกของคนแถบนี้) ชิ้นแรกของวิชชานนท์ต้องการให้เป็นภาพยนตร์ในลักษณะกวีนิพนธ์แบบกระแสสำนึก ทำให้กลุ่มคน “ดู” และ “ทำ” หนังในเมืองขอนแก่นค่อนแคะว่าเป็นหนังที่เข้าใจยาก เขาจึงชอบพูดติดตลกโดยการ “Quote” ประโยคคำพูดจากนักเขียนชื่อดังอย่าง Jame Joyce ว่าเรื่องถัดไปจะทำให้ยากกว่าเดิม (ผมว่าเขาน่าจะหมายถึง เขาทดลองทำหนังแบบ “A Portrait of the Artist as a Young Man” แล้วมาทดลองทำหนังทดลองแบบ “Finnegans Wake” ในภายหลัง แต่ผมก็อดสงสัยไม่ได้ตอนที่เขาทำหนังสั้นไปเวนิสในชื่อเรื่อง “The Youngman Who Came From the Chee River” มันช่างคล้ายกับนามสกุลของคนยุโรปเก่าที่แปลออกมาได้แบบนี้ เพราะ Sebastienne แปลได้ประมาณว่า “คนหนุ่มที่มาจากเมือง Sebas” แต่อนุมานได้ว่า Sebas น่าจะเป็นการตั้งชื่อเมืองแบบ Common เพราะ Sebas อาจจะมาจากคำว่า Sabah ที่มาจากภาษาอาหรับที่แปลว่า Morning หรือ Tomorrow)
แต่เนื่องด้วยความล่าช้าของระบบราชการไทย กว่าที่เขาจะได้ถ่ายทำภาพยนตร์ก็ผ่านเวลาล่วงเข้าไปในปี 2022 ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นในตอนที่ 3 จังหวัดขอนแก่น (เช่นเดิม) เมื่อไม่สามารถ Cast บทบาทของหญิงสาวนักโบราณคดีได้ เขาจึงได้ปรับเปลี่ยนบทในระหว่างการถ่ายทำโดยเปลี่ยนมาเป็นหนัง Genre ในรูปแบบ “สืบสวนสอบสวน” อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3-4-5-6-7 ส่วนตอนที่ 8-9 เปลี่ยนมาเป็นหนังในแนวทาง “Meta-Cinema” และเปลี่ยนชื่อมาเป็น “Isan Sonata” จากนั้นจึงบันทึกเสียงดนตรีประกอบภาพยนตร์จำนวน 9 เพลงตามจำนวน Chapter ในชิ้นงาน และตัดต่อสารคดีเบื้องหลังการทำงานในชื่อ “a reconstrucion of the abandoned” เพื่อฉายแบบ Series ในสื่อออนไลน์ให้ประชาชนทั่วไปได้รับชม
วันที่ 24 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมาวิชชานนท์และทีมงานผลิตภาพยนตร์ Isan Sonata ได้นำ Isan Sonata ในเวอร์ชั่น Cinema ความยาว 97 นาที มาฉายรอบพิเศษที่ TCDC Khon Kaen ซึ่งสามารถติดตามวิดีโอย้อนหลังของงานนี้ และความเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้ที่
- Facebook : https://web.facebook.com/isansonata
- Youtube : https://www.youtube.com/@isaansonatacinema