บ้านของบุญชู ประวะเสนัง อยู่ที่ อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ในวัย 57 ปี เขาตัดสินใจใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ไปแลกเงินวอนที่เมืองโพชอน ประเทศเกาหลีใต้

จากขอนแก่นถึงโพชอน ระยะทางห่างกัน 3,372 กิโลเมตร เขาต้องห่างบ้านกว่า 10 ปี กระทั่งฤดูร้อนครั้งที่ 67 ของบุญชู ก็ปรากฎข่าวว่าพบศพแรงงานไทยใกล้ฟาร์มหมูแห่งหนึ่งในเมืองโพชอน ศพนั้นมีชื่อว่า บุญชู ประวะเสนัง

ความตายของเขานั้นเป็นเรื่องน่าเสียใจ แต่ที่เศร้ามากกว่าคือ ห้องนอนของคนตายมีการรายงานผ่านสื่อเกาหลีใต้ว่า เลวร้ายไม่ต่างจากคอกสัตว์

มะลิ ประวะเสนัง ผู้เป็นคู่ชีวิตบอกว่า ทุกครั้งที่คุยโทรศัพท์กับบุญชู เขามักจะบอกว่าทำงานสบายและมีความสุขดี เขาส่งเงินกลับบ้านอย่างต่อเนื่องเพื่อชำระหนี้สินของครอบครัวจนแล้วเสร็จ ส่งลูกเรียนจบปริญญาตรี เธอซื้อวัว ควาย และทำฟาร์มหมูรอไว้ เพราะเสียงจากโพชอนบอกว่า 20 มีนาคมนี้ จะกลับบ้าน

ผีน้อยวัย 57 ปี

เงื่อนไขสำคัญของการไปทำงานเกาหลีใต้คือต้องมีอายุไม่เกิน 39 ปี อายุของบุญชูในวันนั้นเกินมามากกว่า 1 รอบ เพียงเงื่อนไขข้อนี้เขาก็หมดสิทธิ์แล้วที่จะอยู่ในแดนกิมจิอย่างถูกกฎหมาย

บุญชูลักลอบเข้ามาทำงานโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว ฟาร์มหมูอยู่ห่างจากเมืองโพชอนราว 20 กิโลเมตร เส้นทางเพื่อมายังฟาร์มแห่งนี้ต้องลัดเลาะผ่านหลายโค้งของภูเขา บุญชูทำงานที่นี่ตั้งแต่วันแรกและไม่ย้ายไปที่อื่นอีกเลย

เขากินนอนอยู่กับหมู 100 ตัว โดยได้รับค่าแรงราว 2,000,000 วอน หรือประมาณ 53,000 บาทต่อเดือน ซึ่งนับว่าสูงมากหากเทียบกับค่าจ้างในประเทศไทย

หลังเรียนจบ ลูกชายของเขาเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ 3 ปีที่แล้วลูกเคยเอ่ยปากขอให้พ่อกลับบ้าน เพราะภาระครอบครัวเริ่มปลดเปลื้อง และเขาแข็งแรงพอที่จะยืนแทนพ่อแล้ว แต่บุญชูปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่ายังต้องเก็บเงินสร้างบ้าน

ศพของผีน้อย

ปกติแล้วบุญชูจะโทรศัพท์มาคุยกับภรรยาหลายครั้งต่อวัน แต่ 28 กุมภาพันธ์ มะลิ พบความผิดปกติเพราะไม่สามารถติดต่อกับสามีได้อีก เธอบอกว่าแทบทุกครั้งที่โทรไปสามีจะรับสายทันที หรือไม่ก็จะโทรกลับมาวันละหลายครั้ง ทั้งคู่ไม่เคยขาดการติดต่อนานถึงเพียงนี้ ความร้อนรนปนห่วงจึงนำมาสู่การไหว้วานคนไทยในเกาหลีใต้ช่วยตามหาเพื่ออย่างน้อยให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังพยายามตามหาและโทรติดต่อกับ ‘คิม’ เจ้าของฟาร์มหมูมาหลายวัน 4 มีนาคม ‘ฟาริดา มา’ และเพื่อนคนไทยในเกาหลีตัดสินใจเดินทางไปที่ฟาร์มหมู เพราะคำตอบก่อนหน้าที่คิมบอกมาคือ ไม่รู้ว่าบุญชูไปไหนหรืออาจจะหนีไปแล้วก็ได้ แต่ฟาริดาไม่เชื่อ เพราะข้อมูลที่เธอทราบมาคือบุญชูทำงานที่นี่มา 10 ปี ไม่เคยย้ายไปไหน อีกทั้งพูดภาษาเกาหลีไม่ได้ จึงยากที่จะออกไปคนเดียวโดยไม่มีใครรับรู้

ที่ฟาร์มหมูแห่งนั้น ฟาริดาไปถึงแล้วพบว่าประตูรั้วปิดอยู่พร้อมข้อความว่าบุคคลภายนอกห้ามเข้า เธอพยายามโทรหาเจ้าของฟาร์มแต่ไม่มีใครรับสาย จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจในพื้นที่

เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุพร้อมเจ้าหน้าที่จากศูนย์แรงงานข้ามชาติ เมื่อพบว่าเจ้าของฟาร์มไม่ให้ความร่วมมือจึงเป็นจุดสังเกตที่ทำให้เจ้าหน้าที่ออกค้นหาบุญชู

200 เมตร จากฟาร์มหมู มีรถแทรกเตอร์ของคิมจอดอยู่ ไม่ห่างเท่าใดมีร่างของบุญชูอยู่ในชุดนอนและเสื้อกันหนาว ฟาริดาบอกว่า บนเนินเขาแห่งนั้นมีกองขี้หมูขี้วัวเต็มไปหมด บุญชูถูกทิ้งไว้ตรงนั้นโดยไม่มีอะไรปกปิด และไม่มีกระทั่งการขุดหลุมฝังศพ

แม้ไม่มีร่องรอยของการฆาตกรรม แต่ตำรวจจับกุมเจ้าของฟาร์มทันทีพร้อมข้อหาซ่อนเร้นอำพรางศพ

ห้องนอนของคนตาย

พื้นที่ขนาด 3×3 อยู่ติดกับโรงเลี้ยงหมูเก่า เกินครึ่งของห้องถูกใช้เป็นครัว ไวนิลเก่าๆ ถูกใช้เป็นประตู หมูทั้งคอกส่งเสียงร้องตลอดเวลา กลิ่นของพวกมันคละคลุ้งจนแทบหายใจไม่ออก

ตำรวจสันนิษฐานว่า ขี้หมูเหล่านี้อาจทำให้เกิดก๊าซพิษ สถานที่ทำงานที่ไม่ถูกสุขอนามัยอาจส่งผลต่อสุขภาพ และระยะเวลากว่า 10 ปีก็มากพอที่จะสะสมให้เกิดอันตรายถึงชีวิต เมื่อบุญชูไม่หายใจอาจเป็นไปได้ที่คิมเลือกเอาแทรกเตอร์ขนบุญชูไปทิ้ง เพราะเกรงว่าจะมีความผิดจากการจ้างแรงงานที่ลักลอบทำงานอย่างผิดกฎหมาย

อย่างไรก็ตามการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการตายอย่างแท้จริงยังคงดำเนินต่อไป รวมทั้งสอบสวนว่าลูกชายของคิมมีส่วนรู้เห็นหรือไม่

หลังความตายของบุญชู ประวะเสนัง กระทรวงการต่างประเทศของไทย ขอให้แรงงานไทยเข้าไปทำงานที่เกาหลีใต้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ได้รับสิทธิคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต

สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประสานกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล เพื่อติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งตรวจสอบสิทธิประโยชน์ที่พึงมีของบุญชู เช่น ค่าจ้างค้างจ่าย เป็นต้น

ผีไทยในเกาหลีใต้

กรกฎาคม 2565 กระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ เปิดเผยข้อมูลว่า มีจำนวนผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งหมด 395,068 คน ตัวเลขดังกล่าวเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในสถิติเหล่านั้นมีคนไทยสูงถึง 139,245 คน หรือร้อยละ 35 ของผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายทั้งหมด โดยคนไทยที่พำนักในเกาหลีใต้อย่างถูกกฎหมายมีเพียง 42,538 คนเท่านั้น

ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษาสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การขาดแรงงานในอุตสาหกรรมหรืองานบางประเภทที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากแล้ว ทำให้เกาหลีใต้ต้องการแรงงานอยู่เสมอ กอปรกับรายได้ที่ให้สูงกว่าประเทศไทยหลายเท่า ทำให้คนไทยต้องการไปทำงานที่เกาหลีใต้ แม้จะเป็นการเข้าไปแบบผิดกฎหมายก็พร้อมเสี่ยง

“ผมเคยถามคนไทยที่อยู่ในเกาหลีใต้เป็นสิบๆ ปี เขาบอกไม่คิดจะกลับมา ประเด็นสำคัญคือการอยู่ที่นั่นมันไม่อึดอัด การที่เขาอยู่ที่นั่นสามารถเลี้ยงคนในครอบครัวได้อีกสิบคน อาชีพที่ชนบทในไทยมีอะไรให้ทำ วุฒิการศึกษา ม.3 จะได้ทำอาชีพอะไร สู้ไปเกาหลีได้กี่ล้านวอนดีกว่าไหม นี่คือความคิดของแรงงานเหล่านั้น

“ตอนนี้คนอีสานกำลังเผชิญกับภาวะแซนวิชเจเนอเรชั่น (Sandwich Generation) คือ คนต้องเลี้ยงทั้งพ่อแม่และลูก เพราะพ่อแม่ที่แก่เฒ่าไม่ได้มีงานทำ ดังนั้นจึงมีภาระทั้งบนและล่าง ฉะนั้นเขากลับมาไม่ได้ ถ้าเขากลับมา เขาจะเติมเต็มด้านเศรษฐกิจครอบครัวไม่ได้ ทุกคนไม่แฮปปี้กับการกลับมาของเขา แม้ทุกคนอยากเจอหน้า แต่จะดีกว่าไหม ถ้าอยู่เกาหลีใต้แล้วกลับบ้านเพียง ปีละครั้งสองครั้ง แล้วส่งเงินมาแทน

“การไปอยู่เกาหลีมันสามารถตอบความคาดหวังของคนในครอบครัวทั้งหมด แต่ปัญหา คือ ถ้าสอบ EPS (Employment Permit System) ผ่านแล้วต้องมีรายชื่อให้นายจ้างเรียก ซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกเมื่อไหร่ อาจจะ 3 เดือน 6 เดือน ถึง 1 ปี เพราะฉะนั้นคนที่ไปแบบผิดกฎหมายรับไม่ได้กับความไม่แน่นอนในเรื่องเวลา ถ้าลักลอบบินไปกับนายหน้า จ่ายหนึ่งแสน เอาที่นาไปวางไว้ก็จริงแต่ได้เข้าประเทศเกาหลีใต้เลย นายหน้าจัดการให้ทุกอย่าง ติวการผ่านเข้า ตม. ไม่ต้องรอผลสอบตามระบบจนเสียเวลา แล้วค่อยไปเสี่ยงเอาที่โน่น”

ดร.ไพบูลย์ ยังกล่าวอีกว่า การจ้างงานผิดกฎหมายในเกาหลีใต้จะมีโทษปรับ 20 ล้านวอน (ประมาณ 530,000 บาท) หากสถานประกอบการนั้นๆ จ้างทั้งแรงงานผิดกฎหมายและถูกกฎหมายผ่านระบบ EPS ด้วย ก็จะถูกตัดสิทธิการจ้างผ่านระบบ EPS ช่วงเวลาหนึ่ง แต่เนื่องจากประเทศเกาหลีใต้ยังต้องพึ่งพิงแรงงานต่างชาติจำนวนมากเพื่อรักษาระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาการจ้างงานผิดกฎหมายให้หมดไปโดยสิ้นเชิง เพียงแต่รักษาระดับให้เหมาะสมเท่านั้น

อ้างอิง

image_pdfimage_print