09:30 น./ภายใน/สนามบินตรัง

ผมนั่งจิบกาแฟดำในแก้วกระดาษ สนามบินในภาวะโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ผู้คนบางตา เที่ยวบินราคาถูก บินแบบเว้นระยะห่างที่นั่ง ผมเช็คอินเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางแต่เช้ามาจากพัทลุง เพราะบ้านผมไม่มีสนามบิน

กาแฟหนึ่งแก้วไม่ช่วยบรรเทาเสียงท้องร้อง ผมยังไม่ได้กินอะไรมาเลยตั้งแต่เช้า ถ้าเปรียบเทียบกระเพาะอาหารของผมเป็นชายหาด น้ำย่อยและกรดต่างๆ คงเป็นเหมือนเกลียวคลื่นคอยกัดเซาะและซัดสาดจนกินพื้นที่หาด เช้าที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง นั่นถือเป็นเช้าที่ทรมาน

11:30 น./ภายใน/สนามบินดอนเมือง

เครื่องลงจอดอย่างนิ่มนวล เหมือนนกนางนวลร่อนโฉบบนผืนทะเล สนามบินดูเวิ้งว้าง ผู้คนไม่หนาตาเหมือนที่ผ่านมา คงเพราะมีเที่ยวบินน้อย รอบข้างมีแต่ความเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงคำรามของกระเพาะอาหาร ผมคงต้องหาอะไรกินก่อน

ร้านสเต็กที่เคยกินปิด ร้านสะดวกซื้อที่เคยซื้อข้าวปั้นญี่ปุ่นก็ปิด ขณะเดินไปทางออกเพื่อขึ้นรถแท็กซี่ แสงสีเขียวจ้าสว่างกระทบหางตา ร้านเดียวที่เปิดบริการอยู่ในตอนนี้

11:45 น./ภายใน/ร้านซับเวย์

ผมย่ำเท้าเข้าไปยืนอยู่หน้าร้าน Subway ตรงหน้ามีโต๊ะว่างเปล่าสองโต๊ะ เก้าอี้อีกสามสี่ตัว พนักงานหญิงผมม้านั่งทอดสายตาเหม่อลอย ผมยืนมองเมนู ราคาแพงใช้ได้ อาหารในสนามบินก็คงราคาประมาณนี้

ผมไม่เคยกินร้านนี้มาก่อน จึงถามพนักงานหญิงถึงวิธีสั่งแซนด์วิช เธอบอกผมว่าไม่ยาก แค่เลือกขนมปัง มี 2 ขนาดให้เลือก ระหว่าง 6 นิ้ว หรือ 12 นิ้ว จากนั้นเลือกไส้เมนู เลือกผัก เลือกซอส แล้วเลือกน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่า เท่านี้ก็เรียบร้อย

ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ตู้ มีขนมปัง 5 ชนิดให้เลือก ผมกรอกตาอ่านข้อความเหล่านั้น 

“Italian, Sesame, Honey Oat, Parmesan Oregano, Wheat”

ผมจะเลือกขนมปังอะไรดีนะ ไม่รู้จักสักอย่าง ภาษาอังกฤษก็กระท่อนกระแท่น เมื่อตัดสินใจเลือกไม่ได้ ผมจึงถามพนักงานหญิงว่าเธอชอบขนมปังอะไร เธอย่นคิ้ว ก่อนจะตอบผมด้วยเสียงแจ่มใสว่า

“ชอบกิน Sesame ขนมปังงา อร่อยดีค่ะ มีธัญพืชเยอะเลย” พูดจบเธอยิ้ม ผมบอกเธอว่าเอาตามนั้น

เธอวางขนมปังบนอุ้งมืออย่างเบามือ ใช้มีดผ่าขนมปังช้าๆ ใส่เข้าเตาอบไม่ถึงหนึ่งนาที กลิ่นกรุ่นขนมปังอบอวลทั่วร้าน

ผมยืนมองบรรดาเนื้อสัตว์ในตู้ตรงหน้า มีทั้งไก่, แฮม, เบคอน, เนื้ออบ, มีทบอล, ปลาทูน่า กวาดตามองจนแน่ใจผมจึงเลือกเนื้ออบ เพราะผมชอบกินเนื้อ

พนักงานหญิงคีบเนื้อใส่ขนมปัง ก่อนถามผมว่าใส่ผักอะไรบ้าง ผมชอบกินผักมาตั้งแต่เด็ก จึงสั่งทั้งแตงกวา, แครอท, หอมแดง, ผักกาดแก้ว, มะเขือเทศ, พริกหยวก ยกเว้นผักดอง เพราะผมไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวสักเท่าไหร่

ผมมองแซนด์วิชที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเหมือนในโปสเตอร์ร้าน พนักงานหญิงถามผมว่าใส่ซอสอะไรบ้าง เลือกได้สามอย่าง ผมมองไปยังขวดซอสหลากสี ยิ้มแหยๆ บอกกับเธอว่าช่วยอธิบายซอสแต่ละชนิดให้ฟังหน่อย เพราะผมไม่รู้จักสักอย่าง

ผมสบตากับพนักงานหญิง ภายใต้หน้ากากอนามัยเธอคงยิ้มอยู่ ก่อนจะอธิบายซอสแต่ละชนิดให้ผมฟัง เริ่มจากซอสบาร์บีคิว กินกับเนื้อทุกประเภท, ซอสซีซาร์สลัด คู่กับผัก, ซอสเผ็ดเหมาะกับเนื้อ, ซอสครีมสีส้มนั้นเผ็ดน้อยกว่า, ซอสมัสตาร์ดมีสองแบบ แบบเข้มข้นและแบบมีกลิ่นหอมของน้ำผึ้ง, ส่วนขวดนี้คือมายองเนส อันนี้เธอบอกว่าผมน่าจะรู้จัก มีซอสน้ำมันมะกอกกับซอสไวน์แดงอมเปรี้ยวเหมือนน้ำส้มสายชู, ซอสครีมสลัดรสหวานและเค็ม, ซอสหัวหอมใหญ่, ซอสเทอริยากิสไตล์ญี่ปุ่น และอันสุดท้ายเป็นซอสพื้นฐานของคนไทย ซอสมะเขือเทศ

พนักงานหญิงอธิบายผมอย่างใจเย็น ขณะฟังผมเริ่มน้ำลายสอ กระเพาะอาหารคำรามโครกครากอีกครั้ง ผมสั่งซอสบาร์บีคิว ซอสซีซาร์สลัดจะได้ทานกับผัก และซอสเผ็ดจะได้เข้ากันกับเนื้อ เธอบีบซอสจนชุ่ม ห่อใส่กระดาษแล้ววางตรงหน้า ผมจ่ายเงินแล้วยืนรอ

“ไม่มีช้อนส้อมให้หรือครับ?”

“ปกติเค้าใช้มือกินกันค่ะ เหมือนกินแซนด์วิช” พูดจบพนักงานหญิงทำท่าทางประกอบ

ผมพยักหน้าแล้วอมยิ้มอย่างขวยเขิน เดินกลับไปนั่งโต๊ะ แกะห่อกระดาษออก น้ำซอสเลอะเปรอะเปื้อนกระดาษ รสขมในปากจากกาแฟเมื่อเช้ายังคงอยู่ ผมกัดแซนด์วิชคำใหญ่ เคี้ยวหยาบๆ ก่อนกลืนลงท้อง เนื้ออบนุ่มชุ่มน้ำซอส ขนมปังเนื้อขรุขระกินแล้วรู้สึกแปลกลิ้น แต่อร่อย

เสียงคำรามของกระเพาะอาหารเงียบลง แซนด์วิชเหลือครึ่งชิ้น ง่ามมือเลอะฉ่ำน้ำซอส ขณะกำลังกัดอีกคำ ผมเห็นบางสิ่งบนใบผักกาดแก้ว หนอนตัวเล็กสีเขียวกลมกลืนกับผักกาด

ผมเห็นแล้วชะงักมือค้าง เฝ้าดูว่าหนอนจะเคลื่อนไหวหรือเปล่า แต่เปล่า มันตายแล้ว โล่งใจขึ้นนิดหน่อย คงไม่มีใครอยากกินแซนด์วิชไส้หนอน

ผมนึกถึงกระทู้ในพันทิป เวลาใครสักคนพบเจอสิ่งแปลกปลอมในอาหารมักโพสต์ข้อความประจานร้านนั้น แต่ผมคงไม่ทำแบบนั้นหรอก ไวรัสโควิด-19 ทำร้ายวงการอาหารจนบอบช้ำแล้ว ผมไม่อยากให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้…

ผมจ้องมองเนื้ออบตรงหน้า เหลืออีกสองชิ้น ผมใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งหยิบเข้าปาก เหลือเศษเนื้อชิ้นเล็กไว้ เขี่ยหนอนตัวนั้นให้อยู่กึ่งกลางของขนมปัง อยู่ในจุดที่สะดุดตาที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นถือถาดอาหารไปหาพนักงานหญิง

“โทษทีครับ พอดีผมเจอหนอนในแซนด์วิช”

“เดี๋ยวดูให้นะคะ” เธอรับถาดไว้ สีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด คิ้วแทบจะชนกัน

“คงจะเป็นหนอนจากผักสลัด เดี๋ยวเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้นะคะ” เธอเทแซนด์วิชลงถังขยะข้างเตาอบขนมปัง เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน ก่อนจะหันมาหาผม

“รับขนมปังชนิดไหนดีคะ?” พนักงานหญิงพูดกับผมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แววตานิ่งเฉยราวกับเราเพิ่งพบเจอกันครั้งแรก เธอคงอยากลืมความผิดพลาดที่เสิร์ฟแซนด์วิชไส้หนอนให้ผม และกลัวผมโพสต์ประจานลงสื่อออนไลน์ จึงรีบเปลี่ยนชิ้นใหม่ให้ทันที

“งั้นเอาเป็นขนมปังอิตาเลียน ไส้เบคอน ใส่ซอสและผักเหมือนเดิมครับ” ผมสั่งแบบรวบรัดไปทีเดียว เธอพยักหน้ารับและหันกลับไปอบขนมปัง

“ใส่ชีสเพิ่มได้ไหมครับ?” ผมถามเผื่อเธอจะใจดี

“ไม่ได้ค่ะ ชิ้นนี้เปลี่ยนใหม่ ราคาต้องเท่ากับชิ้นก่อนค่ะ” พนักงานหญิงตอบแล้วก้มหน้าก้มตาเตรียมแซนด์วิช

ผมรับถาดอาหารจากพนักงานหญิง เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิม ขนมปังอิตาเลียนหอมอวลจมูก ผมแง้มดูว่ามีสิ่งแปลกปลอมปนมาอีกครั้งไหม หากมีผมจะรีบกินเบคอนให้หมดเสียก่อน จะได้กินแซนด์วิชชิ้นที่ 3 กระเพาะอาหารของผมคงเนื้อที่มากพอที่จะรองรับ แต่ผมก็ไม่เจออะไร

ผมกินแซนด์วิชชิ้นนั้นจนเกลี้ยง ทิ้งไว้เพียงคราบซอสและเศษเกล็ดขนมปังบนกระดาษ เช็ดมือด้วยกระดาษทิชชู่ เดินไปซื้อน้ำเปล่าหนึ่งขวดไว้กินในรถ ยื่นแบงค์ร้อยจะได้เหลือแบงค์ยี่สิบไว้เผื่อค่าแท็กซี่

พนักงานหญิงเอ่ยปากขอโทษอีกครั้ง ผมบอกเธอว่าไม่เป็นไร ก่อนจะรับเงินทอนแล้วเดินออกจากร้าน มุ่งหน้าไปยังจุดขึ้นรถแท็กซี่ อิ่มจนจุก รู้สึกสบายตัว กระเพาะอาหารคงรู้สึกดีเช่นกัน ระหว่างเดินผมก็เรอบ้าง ตดบ้าง ระบายของเน่าเสียออกจากร่างกาย

12:50 น./ในรถแท็กซี่/มุ่งหน้าสู่ถนนรามคำแหง

ผมบอกโชเฟอร์ว่าไปถนนรามคำแหง มีนัดหมายกับมิตรสหายที่นั่น ก่อนจะนั่งลงตรงเบาะหลัง วางกระเป๋าไว้ข้างตัว มองมิเตอร์สีแดงตัวเลข 35 ผมใช้ลิ้นดุนเศษเนื้อที่ติดตามซอกฟัน กินอิ่มแล้วก็ง่วงนอน นั่งหาวสองสามที พลางคิดถึงเหตุการณ์ในร้านแซนด์วิช

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้าน ผมคงเขี่ยแมลงทิ้งแล้วกินต่อ เพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ทำไมพอเป็นกรุงเทพฯ ผมกลับต้องยกแซนด์วิชชิ้นนั้นให้พนักงานหญิงตรวจดู ทำไมผมไม่เขี่ยหนอนตัวนั้นทิ้งไป เหมือนเวลาที่ผมเจอเส้นผมในอาหารที่บ้าน ก็แค่เขี่ยทิ้งไป ผมนั่งคิดทบทวนสาเหตุถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เป็นเพราะกรุงเทพฯ ใช่ไหม? เป็นเพราะเมืองใหญ่ทำให้ผมแล้งน้ำใจ ทำให้ผมรู้สึกถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา ผมจึงโลภและคิดไกลไปถึงขั้นว่าหากรอบหน้ามากินอีก จะเก็บแมลงตัวเล็กๆ ใส่กระเป๋าเสื้อไว้ เมื่อกินใกล้อิ่มค่อยล้วงแมลงในกระเป๋าเสื้อใส่ลงไปในแซนด์วิช ก่อนจะตีหน้าเศร้าทำท่าทางไม่พอใจกับพนักงาน เพื่อจะได้กินฟรีอีกชิ้น

นึกแล้วผมละอายตัวเอง ความคิดของผมระยำตำบอนได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ผมแทบไม่เชื่อตัวเองเช่นกันว่าความคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นในหัวสมองของผม ในกะโหลกศีรษะอันหนาทึบของผม

หรือเป็นเพราะความหิว ความหิวบั่นทอนผม บั่นทอนจิตสำนักและคุณธรรมอันดีงาม ความหิวครอบงำผม มันขยายเนื้อที่ในกระเพาะอาหารของผม ทำให้ผมกินแซนด์วิชชิ้นเดียวไม่อิ่ม บางทีผมอาจอิ่มแล้ว แต่ความหิวอีกนั่นแหละที่บงการความอยากอาหารของผม

ความหิวทำให้ผมมีความคิดโสมมแบบนั้น นอกจากมันจะกัดกินกระเพาะอาหารของผมแล้ว มันยังกัดกินความเป็นมนุษย์ของผมไปเสียสิ้น ผมนึกรังเกียจความคิดตัวเองเหลือเกิน ขณะมองออกไปยังเหล่าตึกสูงนอกหน้าต่าง ผมนึกแต่เพียงว่าเที่ยวบินครั้งหน้า ผมควรจะกินมื้อเช้ามาก่อน หากท้องผมอิ่มแล้ว ความคิดระยำตำบอนเช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก เหตุเกิดเพราะความหิวแท้ๆ

ชายคาเรื่องสั้นเป็นกิจกรรมน้ำหมึกโดย ‘คณะเขียน’ ซึ่งเปิดพื้นที่วรรณกรรมมากว่าทศวรรษ ก่อนย้ายตัวเองจากสิ่งพิมพ์มาสู่ออนไลน์ตั้งแต่มกราคม 2022 โดยนักเขียนที่สนใจสามารถส่งประกวดเพื่อคัดเลือกเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของแต่ละเดือนมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ The Isaan Record อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจชายคาเรื่องสั้น

image_pdfimage_print