เรื่องราวของอนุสาวรีย์แกะทั้งสามตัวที่ประดับหน้าทางเข้าหมู่บ้านโนนเชิงเทียนเริ่มต้นจากเช้าวันหนึ่งเมื่อ 71 ปีก่อนหลังเสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้นในเวลา 9:20 นาฬิกา หากนับจากการชันสูตรศพอย่างละเอียดในภายหลัง แต่หากนับจากการประมาณแล้ว หลายปากต่างให้การว่าอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่สองโมงเช้าถึงสามโมงเช้าเมื่อเสียงปืนหนึ่งนัดนั้นดังขึ้นจากบ้านผู้ใหญ่เรืองผู้เป็นดั่งพ่อของบ้านโนนเชิงเทียนมาตั้งแต่รุ่นปู่ของปู่ของผู้ใหญ่เรือง

เหตุการณ์ในเช้าวันนั้นมีเรื่องราวดังนี้

พลันที่เสียงปืนดังขึ้น ชาวบ้านที่ได้ยินต่างหยุดงานการในมือแล้วมองหาที่มาของเสียง บ้างคิดว่าเป็นเสียงปืนยิงเพื่อไล่นกไล่กาจึงไม่ได้สนใจ บ้างจำแนกได้ว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงปืนที่ดังเพื่อไล่นกกา และในผู้คนจำนวนนี้ต่างพูดคุยกันเองเพื่อสอบถามให้แน่ใจ กระทั่งเมื่อเสียงโหยหวนคร่ำครวญดังขึ้นจึงเข้าใจว่าเสียงปืนดังนั้นต้องเป็นสาเหตุของเสียงโหยหวนคร่ำครวญแน่แท้ และทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตั้งของบ้านผู้ใหญ่เรืองอันเป็นที่มาของเสียง

มีผู้คนรายล้อมอยู่บ้างแล้วประปรายส่งเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่มีใครกล้าเข้าไปในบ้านผู้ใหญ่ ไม่ช้านานทั้งหมู่บ้านต่างพากันมา ต่างโอบล้อมบ้านหลังนั้น ต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครพูดคุยกันเกินเสียงกระซิบ และแม้เสียงโหยหวนคร่ำครวญที่ฟังออกมาได้เป็นประโยค “…ลูกพ่อ…” ของผู้ใหญ่จะเป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้น ความเงียบของสายลมที่พัดผ่านสัมผัสยอดต้นข้าวก็กลับเป็นเสียงเดียวซึ่งกลบทุกเสียงคร่ำครวญและเสียงกระซิบให้เหลือเพียงความสงัดเงียบของความตายที่คืบคลานเข้ามาสู่บ้านโนนเชิงเทียนภายหลังเสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้น

ลูกพ่อที่ผู้ใหญ่เรืองคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดเป็นลูกชายคนรองในลูกทั้งสามของผู้ใหญ่ คนโตเป็นหญิงสาว คนรองและคนสุดท้องเป็นชายหนุ่ม ทุกคนในบ้านโนนเชิงเทียนต่างรับรู้กันดีว่าผู้ใหญ่รักลูกชายคนรองนี้มากเพราะตั้งใจให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป ทั้งส่งเสียให้เล่าเรียนในตัวอำเภอ ทั้งพาเรียนรู้งานการปกครองในหมู่บ้านทุกเวลาเมื่อโอกาสอำนวย จากเด็กชายเติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มในวัย 22 รูปงาม กำยำ แข็งแกร่ง มีรัศมีทั้งความเยือกเย็นเด็ดขาดสมกับเป็นลูกของผู้นำหมู่บ้านที่จะมาปกครองชาวโนนเชิงเทียนคนต่อไป โดยไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องร้ายจะเกิดขึ้น

พิธีศพมีขึ้นในคืนวันนั้น มีการล้มควายเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน พิธีศพตลอดสามวันโอบคลุมด้วยความสงัดเงียบของสายลมพัดผ่านยอดข้าว ไม่มีการร้องรำเพลงโศก ไม่มีการพูดคุย มีเพียงการกินดื่มอย่างเป็นพิธีเพื่อไว้อาลัยให้แก่ลูกชายที่ไม่มีโอกาสได้ปกครอง กระทั่งลมหัวค่ำหยุดนิ่ง ขณะที่เพลิงกาฬเผาร่างบนขอนไม้สุมฟอน ผู้ใหญ่เรืองก็ลุกขึ้นยืนเบื้องหน้าฟอนไฟที่กำลังแผดเผาร่างลูกคนรองของแก มือหนึ่งถือปืน อีกมือจูงสายเชือกล่ามแกะไว้ด้วยกันสามตัว ส่งเสียงก้องท่ามกลางความเงียบสงัด

“…หมู่บ้านโนนเชิงเทียนมีชื่อร่ำลือมาช้านานในฝีมือถักทอผ้าใยจากขนแกะ ปู่ของปู่กูเป็นผู้จัดหาแกะให้ย่าของย่ากูถักทอขึ้นมาแล้วส่งออกขายถึงราชสำนักในกรุงเทพฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ได้รับพระราชทานที่ดินจนก่อเกิดเป็นบ้านโนนเชิงเทียนให้พวกมึงได้อยู่ได้อาศัยมานับร้อยปี กูถือว่าตระกูลกูเป็นผู้สร้างหมู่บ้านนี้ขึ้นมา กูถือว่าตัวกูเป็นนายหัวพวกมึง เป็นเจ้าเหนือหัวที่พวกมึงต้องเคารพ ยำเกรง ไม่เพียงตัวกู แต่ยังรวมลูกกู หลานกู เมียกู แม้แต่หมาของกู พวกมึงก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้าย แต่สามวันมาแล้วที่ลูกชายกูตาย ลูกที่กูหวังให้เป็นผู้สืบทอดให้ปกครองพวกมึงต่อไปถูกไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้ยิงตาย และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครในหมู่พวกมึงที่จะมาสารภาพกับกู กูไม่เชื่อว่าลูกชายกูจะยิงตัวเองเหมือนดังที่พวกมึงกระซิบนินทา กูไม่เชื่อว่าลูกคนเล็กกูจะริษยาพี่มันจนลอบเข้ามายิงพี่ตัวเองเพื่อให้มันได้ปกครองหมู่บ้านนี้ต่อจากกู กูไม่ว่าเชื่อลูกกูตายด้วยอุบัติเหตุทำปืนลั่นด้วยตัวมันเอง แต่กูเชื่อ เชื่อเหมือนที่ตะเว็นขึ้นทางทิศตะวันออกว่ามันต้องมีใครสักคนในหมู่พวกมึงที่ฆ่าลูกกู และในเมื่อไม่มีสักคนกล้ายอมรับ ในวันนี้กูจะขอสาปแช่งพวกมึงทุกคนให้ฉิบหายนับจากวันนี้ไปอีกสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปี จนกว่าคนในบ้านโนนเชิงเทียนจะลุกขึ้นมาฆ่ากันเอง จนกว่าพวกมึงทุกคน ลูกหลานพวกมึงทุกคนจะตายโหงเหมือนลูกกู…”

สิ้นคำ ผู้ใหญ่เรืองก็เดินไปจ่อยิงแกะชะตาขาดทั้งสามทันที ก่อนจะโยนร่างพวกมันเข้ากองฟอนไฟ

จากวันนั้น ผู้ใหญ่เรืองก็เริ่มเจ็บป่วย ผู้คนเริ่มกระซิบกระซาบถึงคำสาปสาบาน เริ่มมีเสียงเล่าลือว่าผู้ใหญ่เรืองคงทำสัญญากับผีบ้านผีเมืองที่คอยปกปักคุ้มครองโดยแลกกับชีวิตตัวเอง ร่างกายของผู้ใหญ่เรืองเริ่มซูบผอม แม้เมียของแกจะพยายามเค้นให้กินอะไรเข้าไปบ้าง แต่ร่างกายแกก็ขับออกมา ไม่อาเจียนก็อุจจาระเรี่ยราด จากชายที่ทรงอำนาจมีแต่คนยำเกรงกลับกลายเป็นชายชราร่างเล็ก เนื้อหนังติดกระดูก อ้าปากพะงาบๆ ที่ฟังออกเพียงคำ “…ลูกพ่อ…ลูกพ่อ…” และแล้วในวันครบรอบการตายของลูกคนรอง ผู้ใหญ่เรืองก็ขาดใจตายด้วยดวงตาเบิกโพลงของวิญญาณที่ยังมีห่วง และดังทุกคนคาดการณ์ ลูกคนเล็กของแกขึ้นมาปกครองหมู่บ้าน เด็กชายท่าทางอ่อนแอขี้โรคที่เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม ไม่แสดงออกให้เห็นไม่ว่าในทางดีหรือร้าย และทุกคนก็คิดกันไปว่าลูกคนเล็กของแกคงจะไม่มีทั้งมันสมองหรือพละกำลังเพื่อให้คนยำเกรงได้เหมือนพ่อหรือพี่ชายที่ไม่เคยมีโอกาสได้ปกครอง กระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่ง เหตุการณ์ที่พ่อใหญ่รองน้องชายของผู้ใหญ่เรืองอยากจะขึ้นมาปกครองหมู่บ้านบ้างจึงเริ่มตั้งตนขึ้นมา แสดงให้ชาวบ้านเห็นในหลายทางว่ากูนี่แหละที่เหมาะจะปกครองพวกมึง และมวลหมู่ชาวบ้านเองก็คิดว่าได้ผู้ใหญ่โง่งมมีแต่กำลังยังดีเสียกว่าผู้ใหญ่ที่อ่อนแอ แต่แล้วเช้าตรู่ก่อนวันสิ้นปี หัวของพ่อใหญ่รองที่ถูกปักไว้กลางลานหมู่บ้านในจุดเดียวกับที่แกะทั้งสามถูกยิงตายดับก็ทำให้ความคิดชาวบ้านเปลี่ยนแปลงไป ลูกชายคนเล็กของผู้ใหญ่เรืองต่างหากที่แข็งแกร่ง เพราะเขาซ่อนความเฉียมคมและโหดเหี้ยมไว้ภายใต้ภาพลักษณ์ของความอ่อนแอ หลังจากนั้นไม่มีใครคิดสงสัยในอำนาจปกครองของผู้ใหญ่รุ่งอีก และยิ่งเทิดทูนบูชาด้วยซ้ำเมื่อบ้านโนนเชิงเทียนกลับมีชื่อเสียงขจรกระจายในฐานะหมู่บ้านแห่งผ้าทอขนแกะเพียงหมู่บ้านเดียวในประเทศ โดยไม่มีผู้ใดเคยล่วงรู้เลยว่าลูกชายคนเล็กได้ส่งบรรดาขี้ข้าออกไปทำลายหมู่บ้านที่คิดเลียนแบบ ไล่ล่าฆ่าช่างทอผ้าที่หนีออกไปจากหมู่บ้าน ทำให้หายสาบสูญ ทำให้เหมือนพวกนั้นเสียชีวิตด้วยเวรกรรมที่พวกมันได้ทำกันมาแต่ชาติปางก่อน บ้านโนนเชิงเทียนอยู่กันมาอย่างเงียบงบ อย่างรุ่งเรืองสมดั่งชื่อผู้ใหญ่ทั้งสอง จนกระทั่งในปีที่ 26 ของการปกครอง ชาวบ้านวัยหนุ่มสาวส่วนหนึ่งที่ต้องการอิสระในการคิดค้นลวดลายผ้าทอของตนเองมากกว่าลวดลายที่ตระกูลผู้ใหญ่สั่งให้พวกเขาทำก็รวมตัวกันประท้วง ผลจบลงด้วยการนองเลือด คนหนุ่มสาวทั้งถูกยิง ถูกฟันด้วยพร้า แม้การปราบปรามจะเกิดจากน้ำมือของขี้ข้าผู้ใหญ่รุ่งที่ประกาศว่าคนของตนได้ทำลงไปโดยพลการ แต่บางส่วนที่เหลือรอดต่างเชื่อว่าผู้ใหญ่รุ่งอยู่เบื้องหลัง และแทนที่พ่อแม่จะเข้าใจและเห็นใจ พ่อแม่ของคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านต่างบอกให้พวกเขาอย่าไปเชื่อคนจากภายนอก ทั้งยังสั่งสอนให้พวกเขารู้จักเคารพยำเกรงผู้ใหญ่รุ่งในฐานะพ่อของทุกคนในบ้านโนนเชิงเทียน แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีใครเชื่อ พวกเขารับฟังพ่อแม่แต่ดื้อเงียบด้วยการรวมตัวเพื่อต่อต้านอีกครั้งในสามปีต่อมา ผลของการชุมนุมกลางลานหมู่บ้านตรงจุดที่เคยเป็นทั้งพิธีศพของลูกคนรองผู้ใหญ่เรือง การสังหารแกะทั้งสาม และเสาที่มีหัวของพ่อใหญ่รองก็จบลงด้วยความสยดสยองเสียยิ่งกว่า ไม่เพียงแต่ถูกยิงถูกฟัน คนหนุ่มสาวบางคนยังถูกฉีกกระชากด้วยการมัดมือมัดขากับควาย บางคนถูกข่มขืนจนตาย และบางคนถูกมัดร่างกับต้นไม้แล้วฟาดด้วยท่อนฟืน จอบ เสียม แล้วแต่เครื่องมือไหนใกล้ตัวจนขาดใจตาย ทุกศพถูกนำมากองรวมแล้วจุดไฟเผาที่ตรงนั้นเอง

ความหฤโหดเกินกว่าคนเฒ่าคนแก่คนใดในหมู่บ้านจะนึกไปถึงได้ว่าจะเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาตนเองนำมาซึ่งการหวนคิดย้อนไปถึงคำสาปแช่งของผู้ใหญ่เรือง ไม่มีสักคนที่จะลุกขึ้นถามผู้ใหญ่รุ่งว่าเหตุใดจึงปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ในหมู่บ้าน ยังเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ได้อย่างไร นี่ฤาคือเมตตาในฐานะพ่อ หากมีสักคนถามคงได้คำตอบ ทว่าไม่มีใครกล้าถาม และทุกคนต่างโยนให้เป็นความผิดของคำสาป ความผิดของคนหนุ่มสาวที่เชื่อถือในตำรับตำราจากคนนอกหมู่บ้าน ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกกับลูกหลาน โดยเฉพาะคนที่รอดชีวิต พวกเขาจึงรวมตัวอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อประท้วงแต่เพื่อคุกเข่าขอร้องให้ผู้ใหญ่รุ่งอนุญาตให้พวกเขาสร้างอนุสาวรีย์แกะสามตัว

“…เพื่อลบล้างคำสาปแช่งของพ่อใหญ่เรือง หรืออย่างน้อยก็บรรเทา…”

ผู้ใหญ่รุ่งอนุญาต อนุสาวรีย์แกะสามตัวจึงถูกสร้างขึ้นกลางลานหมู่บ้าน

นับจากนั้น ความสงบเงียบของสายลมพัดผ่านต้นยอดข้าวก็หวนกลับมาสู่บ้านโนนเชิงเทียนอีกครา ไม่มีการประท้วง ทุกคนต่างถักทอเส้นใยจากขนแกะตามคำสั่งของผู้ใหญ่รุ่งโดยไม่มีปริปาก ไม่โต้แย้ง บ้านแต่ละบ้านต่างได้รับผลกำไรในนามวิสาหกิจชุมชน ต่างมีรถยนต์ ต่างมีรถเครื่อง ต่างมีบ้านปูนแทนบ้านไม้ ต่างผสมปนเปในสายเลือดสมสู่กันและกันจนแยกต้นธารสายสาแหรกใครเป็นใครไม่ได้อีกต่อไป กระทั่งเข้าสู่ปีที่เจ็ดสิบของการปกครองของผู้ใหญ่รุ่งผู้แก่ชรา คำสาปแช่งที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างคิดว่าได้สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชไปหมดแล้วก็กลับสำแดงให้ผู้ใหญ่รุ่งในวัยชรากระย่องกระแย่งออกมาจากบ้านกลางค่ำมืดสงัดคืนหนึ่งขณะที่ทุกคนในหมู่บ้านต่างหลับสนิท ไม้เว้นกระทั่งหมาแมว ไม่มีใครได้เห็นกับตา แต่ต่างลือกันปากต่อปากว่าผู้ใหญ่เดินมาหยุดยังหน้าอนุสาวรีย์แกะสามตัว ปลดเสื้อผ้าออกจากตัวจนเปลือยเปล่าแล้วก้มลงคุกเข่าเบื้องหน้าอนุสาวรีย์แกะก่อนจะตายไปในท่านั้น ตายไปในท่าก้มกราบเหมือนกำลังไหว้ขอขมาใครสักคนที่เป็นผู้ถือสายเชือกที่มองไม่เห็นของแกะทั้งสามตัวนั้น

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของอนุสาวรีย์แกะสามตัวของหมู่บ้านโนนเชิงเทียน และยังร่ำลือถึงคำสาปแช่งที่ยังคงรอเวลาแม้เมื่อมีผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ขึ้นปกครองแล้วก็ตามที…

แม้เมื่อกระแสลมพัดผ่านยอดข้าวใกล้แตกรวงใหม่งอกงามเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปในทิศทางใด อนุสาวรีย์แกะจะยังคงอยู่คู่กับหมู่บ้านโนนเชิงเทียนตราบจนกว่าจะไม่มีหมู่บ้านแห่งนี้อีกต่อไป

ชายคาเรื่องสั้นเป็นกิจกรรมน้ำหมึกโดย ‘คณะเขียน’ ซึ่งเปิดพื้นที่วรรณกรรมมากว่าทศวรรษ ก่อนย้ายตัวเองจากสิ่งพิมพ์มาสู่ออนไลน์ตั้งแต่มกราคม 2022 โดยนักเขียนที่สนใจสามารถส่งประกวดเพื่อคัดเลือกเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของแต่ละเดือนมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ The Isaan Record อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจชายคาเรื่องสั้น

image_pdfimage_print