ความเหนื่อยล้าจากการทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านทำให้เขากลับบ้านเกือบเช้าทุกที การทำงานพิเศษทั้งที่ยังเรียนหนังสืออยู่อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเท่าไหร่ แต่เขาอยากลองทำอะไรแปลกใหม่ให้กับชีวิตบ้าง ไม่ใช่แค่เรียนแล้วกลับบ้าน

การยืนระยะอยู่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงิน คอยเติมสินค้าที่พร่องไป บางทีก็ปั่นจักรยานไปส่งอาหารในซอยหมู่บ้าน ช่วงแรกที่เรียนรู้งานท้าทายดี การทำงานช่วยให้ลืมความหม่นมัวในใจที่มันก่อตัวมาได้สักพัก งานในเวลาดึกเป็นการบำบัดทางจิตใจ

“ยินดีต้อนรับครับ” คำที่เขาพูดเสมอเมื่อมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน ตอนดึกลูกค้าน้อยอยู่แล้ว เมื่อใครสักคนเดินเข้ามาในร้านก็ทำให้รู้สึกว่าเสมือนว่ายังอยู่บนดาวโลก

กว่าจะพาตัวเองกลับบ้านก็ล่วงเข้าตีสี่อีกแล้ว เป็นเวลาที่พ่อกับแม่ตื่นพอดี มองไปที่มุมหนึ่งของบ้าน ชั้นหนังสือกว้างและสูง เรียงรายอัดแน่นไปด้วยหนังสือมากมาย มีหนังสือหลากหลาย รวมถึงหนังสือนิทานสำหรับเด็กที่ร่องรอยบอกว่าเก่าเก็บ

เขาเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเด็กมาเปิดดู พ่อกับแม่ชอบเล่านิทานให้เขากับน้องชายฟังทุกครั้งก่อนนอน ที่จริงพ่อเป็นนักเล่าเรื่องมากกว่าแม่ เพราะแม่ได้แต่นั่งดูพวกเราที่นั่งตักพ่อ ฟังนิทานจนหลับไป

เสียงเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา ทว่าเขาก็รู้ว่ามีคนเดินเข้ามา เขาไม่ค่อยได้คุยกับพ่อ ถึงแม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกันทุกวัน จังหวะและระยะห่างที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับพ่อเกิดขึ้นตอนไหน เขาก็จำไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะความเป็นวัยรุ่นหรือเปล่าที่ทำให้เขาห่างจากพ่อไปทุกที

พ่อของเขาแก่กว่าพ่อคนอื่น พ่อกับแม่ใช้เวลาในการทำงาน การทำตามความฝันมากมายเท่าที่คนในวัยนั้นจะทำได้ ทำให้เรื่องการมีลูกค่อนข้างใช้เวลา เมื่อช่วงเวลาลงตัว การมีลูกตอนอายุมากก็เป็นข้อดี เพราะพ่อกับแม่ให้เวลากับลูกที่เกิดมาได้อย่างเต็มที่

เขาก้มหน้าอยู่ที่ชั้นหนังสือ “กินอะไรมาหรือยัง” คำถามที่พ่อมักจะถามเขาเสมอ

ผมของพ่อเริ่มมีสีขาวแซม ตัวที่สูงใหญ่ของพ่อที่เขาเคยเห็นเมื่อตอนเป็นเด็กเล็กดูแปลกตาไป บ้านเมืองเปลี่ยนนายกฯ มาไม่รู้กี่คน พ่อกับแม่ก็ยังพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารด้วยเรื่องราวที่หลากหลาย และไม่เคยทะเลาะกันให้พวกเขาเห็นเลยสักครั้ง มันดูราบเรียบเหมือนคลื่นทะเลในยามค่ำคืนที่ซัดเข้าฝั่งอย่างสม่ำเสมอ เขาอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่สิ่งที่สังเกตเห็น พ่อกับแม่อยู่กันอย่างเพื่อนที่ดูแลกันและกันมาโดยตลอด

น้องชายไม่ได้ชอบทำงานพิเศษเหมือนเขา น้องใช้เวลากับการเล่นเกมออนไลน์อย่างจริงจัง หารายได้จากเกม แต่ละวันไม่ค่อยได้เจอหน้า เพราะใช้เวลาไปอยู่กับหน้าจอ

เขาเปิดประตูเข้าไปในห้อง น้องนอนพักแล้ว หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เคยเปิดอยู่ตลอด ไร้แสงไฟ ยิ่งโตเรายิ่งแทบจะไม่ได้คุยกันเลย

เมื่อนึกย้อนวันวานไป ภาพเลือนรางเท่าที่เขาพอจะจำความได้ พวกเขาสองคนนั่งบนเก้าอี้ขนาดเล็ก มีโต๊ะเล็กที่อยู่ติดกับเก้าอี้ พอเขาเริ่มโต พ่อกับแม่ก็ไม่ป้อนอาหารแล้ว พวกเขาต้องหัดหยิบจับด้วยมือ กินอาหารเอง เลอะเทอะไปบ้าง แต่นั่นก็ทำให้พวกเขารู้วิธีที่ดูแลตัวเอง ค่อยสะสมมาเรื่อย จนวันที่เขาดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่ พ่อกับแม่ก็ยังคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง

ตอนยังเด็ก พ่อกับแม่มักจะพาพวกเขาไปไหนมาไหนด้วยบ่อยมาก บทสนทนาที่พวกเราได้ยินจึงเป็นบทสนทนาภาษาของพวกผู้ใหญ่

พ่อกับแม่ทำงานอะไร วันวานตอนเขายังไม่โตพอจะเข้าใจ พวกเขามักจะออกไปข้างนอก ไปยังสถานที่ที่ปิดทึบ ในห้องนั้นมีจอขนาดใหญ่ บนจอปรากฏภาพเคลื่อนไหว เขาไม่แน่ใจว่าได้เห็นตัวเองอยู่บนนั้นบ้างหรือเปล่า แต่บนจอฉายภาพชีวิตของผู้คน คนใช้แรงงาน คนขายของอยู่ริมถนน เด็กสาวเด็กชายที่กำลังนั่งรถไปโรงเรียน ช่วงเวลาที่เขาดูภาพบนจอ เขาเริ่มครุ่นคิดกับภาพที่เห็นตรงหน้า บางทีเขาก็หันไปมองหน้าพ่อ สีหน้าพ่อเรียบเฉย ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก แต่เขาสัมผัสได้ถึงแววตาที่อ่อนโยนของพ่อ

พ่อหันมาพูดกับเขาที่ยังเป็นเพียงเด็กหนึ่งขวบกว่าว่า “ชอบไหมตัวเล็ก ดูภาพบนจอนั่นสิ”

เขาจำได้ว่าพ่อชอบคุยกับพวกเขา ถึงแม้พวกเรายังตอบออกมาเป็นคำไม่ได้ พ่อก็จะพูด ชวนคุย พ่อกับแม่ชอบถ่ายภาพ ภาพบนจอที่พวกเขาเห็นก็มาจากความสนใจของพ่อกับแม่

วันวานที่เป็นเด็ก เขาสังเกตเห็นพ่อกับแม่มีอะไรคล้ายกัน ทั้งการแต่งตัว ทรงผม รอยยิ้มที่เขาคุ้นเคย สายตาที่อ่อนโยนของทั้งคู่แทบจะถอดพิมพ์เดียวกัน คนที่เขาเป็นคู่แท้ของกันและกัน หน้าตา ท่าทาง วิธีการพูด ทุกอย่างที่ทำก็เหมือนกันโดยไม่รู้ตัว

เขาเป็นเด็กโฮมสกูลมาตลอด เพิ่งได้ออกไปเรียนข้างนอกก็ช่วงมหาวิทยาลัย ทุกปีพ่อกับแม่จะจัดงานวันเกิดให้เขาสองคนพร้อมกัน ลูกโป่ง ขนม ของเล่น แล้วพ่อก็จะทำหน้าที่เป็นช่างภาพ ถ่ายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ภาพความสนุกสนานที่เกิดขึ้น เหมือนเราค่อยเติบโตและเรียนรู้ไปด้วยกัน

เขาเคยเข้าไปในห้องหนังสือของพ่อ ที่นั่นแทบจะเป็นพื้นที่หวงห้าม เพราะจะมีแค่พ่อเพียงคนเดียวที่เข้าออกห้องนั้นได้ พวกเขาคงจะเป็นข้อยกเว้น ในห้องนั้นไม่แตกต่างจากมุมหนังสือของบ้าน เรียงรายอัดแน่นไปด้วยหนังสือ ซีดี ดีวีดี เครื่องเล่นแผ่นเสียง วิทยุเก่าที่เล่นเทปได้

พ่อใช้เวลาอยู่ในห้องหนังสือค่อนข้างนาน ทว่าทุกวันพ่อก็จะมีเวลาเล่นกับพวกเขา พ่อให้เวลากับพวกเขามากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เวลาที่พ่อมีเป็นของตัวเอง ก็เป็นช่วงเวลาที่ลูกนอนหลับ

เขาหยิบอัลบั้มรูปที่จัดเรียงไว้อย่างดีในมุมหนึ่งของห้อง ภาพครอบครัว มีหลายอัลบั้ม เขาเลือกหยิบดูในเวลาว่าง ภาพของเขาพี่น้องมีอยู่ในทุกอัลบั้ม พ่อเก็บทุกภาพไว้ด้วยความตั้งใจ ถึงแม้จะมีมือถือที่บันทึกภาพได้ แต่พ่อก็ส่งรูปไปอัดที่ร้าน หรือแม้กระทั่งซื้อเครื่องอัดรูปที่สามารถอัดภาพไว้ที่บ้าน เมื่อมีเวลาพ่อก็จะเก็บรูปถ่ายทุกช่วงเวลาของพวกเขาลงอัลบั้ม

หลังจากกลับจากทำงานพิเศษ เขามักจะรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัว เหนื่อยล้า อาจจะเป็นเพราะยืนอยู่เป็นเวลานานก็ได้ ทั้งที่ควรรีบนอนพัก แต่เขาก็จะเอางานที่ค้างมานั่งทำอีกเล็กน้อย

แสงจากโคมไฟบนโต๊ะอ่านหนังสือยังเปิดสว่างอยู่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะกดดันตัวเองไปทำไม เขาจำได้ถึงความสุขในวัยเด็กที่พ่อกับแม่ไม่เคยกดดันเรื่องเรียน เรื่องการใช้ชีวิต พ่อให้อิสระ ให้เขาเป็นตัวของตัวเอง

พ่อเคยเล่าว่า “พ่อมีพี่ชายที่เสียชีวิตไปเมื่อตอนเป็นเด็ก วันที่พ่อมีลูก พ่อก็อยากให้ลูกมีอิสระให้มากที่สุด สนุกกับการใช้ชีวิต เรียนรู้ชีวิต”

ถึงวันที่เขาออกไปเผชิญโลกกว้างในสังคมมหาวิทยาลัย เหมือนเขาได้เจอโลกอีกใบที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เพื่อนที่เขาเจอ ทุกคนมีฝัน มีสิ่งที่อยากทำ แต่ละคนดูดี งดงาม แววตาเป็นประกาย โดยเฉพาะเธอ เพื่อนคนหนึ่งที่เขารู้สึกว่าเธอน่ารักดี อยู่ใกล้แล้วไม่อึดอัด เธอก็มีความฝัน เธอฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส ได้เดินทางไปรอบโลก

ขณะที่ตัวเขา สิ่งที่ฝันอยากทำไปตลอดชีวิตคืออะไร ทุกครั้งที่นอนหลับ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังตกตึกสูง

ยิ่งโตขึ้น ยิ่งเข้าใกล้โลกของความเป็นผู้ใหญ่ แต่ละคนก็มีโลกของตัวเอง พ่อกับแม่ไม่ได้อ่านนิทานให้เขาฟังอีกแล้ว เวลาในการที่พ่อกับแม่จะมาเล่นสนุกกับพวกเขาเหมือนตอนเป็นเด็ก ค่อยหายไป พวกเขาได้กลับไปสานต่อความฝันที่ทำค้างไว้เมื่อสมัยหนุ่มสาว

เขารู้ว่าพ่อกับแม่เคยเป็นผู้กำกับหนัง ทั้งสองชอบทำหนังเป็นชีวิตจิตใจ น้องชายของเขาก็รักการเล่นเกมมาก เล่นจริงจัง จนยึดเป็นอาชีพได้

แล้วตัวเขามีอะไรที่อยากทำ เขาเรียนในคณะที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบหรือไม่ ถึงแม้เขาจะเคยขอพ่อกับแม่พักจากการเรียนหนึ่งปี เพื่อค้นหาตัวเอง จนตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองอยากทำนั้นคืออะไร จะมีเด็กคนไหนเป็นเหมือนเขาบ้าง อยู่ท่ามกลางผู้คนที่เต็มเปี่ยมด้วยฝันที่แรงกล้า แต่ตัวเองกลับหาความฝัน หาสิ่งที่ชอบยังไม่เจอ เขาเก่งอะไรบ้าง เขายังถามตัวเองอยู่เสมอ

หากคนนอกมองเข้ามา ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร ครอบครัวก็ดี เพื่อนดี มีบ้านอยู่อย่างอบอุ่น ไม่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่ต้องนอนข้างถนน ทั้งที่ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ให้มีชีวิตในแต่ละวัน

ความว่างเปล่าก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เขาควรอยากเรียนหนังสือ เขาควรรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไรต่อไปในอนาคตข้างหน้า

ทุกค่ำคืนที่ออกไปทำงานที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย เป็นช่วงเวลาที่เขาได้เห็นโลกในเวลาค่ำคืนที่น้อยคนอาจจะไม่ได้เห็น โลกที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ระหว่างคนมีฝันกับคนไม่มีฝัน

เขาเดินกลับบ้าน โลกข้างนอกพระอาทิตย์ยามเช้ามาทักทายแล้ว แต่ห้องเขาปิดทึบด้วยผ้าม่าน พ่อกับแม่เขียนโน้ตไว้ว่าออกไปข้างนอก ให้อุ่นกับข้าวกินเองได้เลย

ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ทำให้เขาหลับตาลงบนเตียงนอนที่คุ้นเคยในไม่ช้า

เวลาที่ไหลผ่านไป นี่คือความฝันหรือความจริงยากที่จะบอก เขาเห็นภาพทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของเขา ตั้งแต่เกิด การก้าวเดินครั้งแรก พ่อกับแม่ชอบอ่านนิทานให้ฟัง วันที่ได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่และน้อง วันแรกของการเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนหลายคน และเธอที่คุยด้วยแล้วสบายใจ การทำงานที่ร้านสะดวกซื้อ ภาพทุกช่วงชีวิต ฉายชัด ราวกับเขาได้ดูจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่

เขาไม่ได้มีฝันว่าจะต้องเป็นนายกฯ ไม่ได้ฝันจะเป็นผู้กำกับหนังเหมือนพ่อกับแม่ ไม่ได้ฝันอะไรเลย แต่เขาก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ยังพอมีโอกาสไหม

ขอเวลาต่ออีกนิด เหมือนมีเสียงที่เขาพยายามบอกตัวเอง

เขาได้ยินเสียงพ่อแม่และน้องชาย พยายามเรียกเขา แต่เขาไม่ได้ตื่นขึ้นอีกเลย

ชายคาเรื่องสั้นเป็นกิจกรรมน้ำหมึกโดย ‘คณะเขียน’ ซึ่งเปิดพื้นที่วรรณกรรมมากว่าทศวรรษ ก่อนย้ายตัวเองจากสิ่งพิมพ์มาสู่ออนไลน์ตั้งแต่มกราคม 2022 โดยนักเขียนที่สนใจสามารถส่งประกวดเพื่อคัดเลือกเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของแต่ละเดือนมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ The Isaan Record อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจชายคาเรื่องสั้น

image_pdfimage_print