หน้าม่านและหลังบ้านของ ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ พ่อ สามี อีสาน และการเมืองของร็อคสตาร์
บนเวทีปราศรัยและยืนหน้าไมโครโฟน “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” คือคนที่พามวลชนขยับความคิดจากขวาไปซ้ายได้ไม่ยาก เกรี้ยวกราด ขบขัน และขบคิดไปกับข้อมูลที่ผ่านการเรียบเรียงอย่างดีทั้งเมโลดีและเนื้อหา นี่คือนักการเมืองที่ถูกจับจ้องผ่านสายตาของประชาชน และพันธนาการโดยผู้ถือครองอำนาจ เป็นกราฟชีวิตที่ขึ้นสุดลงสุด ตั้งแต่ลงท้องถนนเดินบนรัฐสภา เข้าบ้านสลับเข้าคุก ผ่านทั้งคราบน้ำตาและห่ากระสุน เป็นกิจวัตรที่มีทั้งสุขและทุกข์แสนสาหัสตลอดทศวรรษทางการเมืองที่ผ่านมา หากอยู่ในแวดวงดนตรี นี่คือวิถีของร็อคสตาร์ชัดๆ
บทบาทล่าสุดคือการยืนนำในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ที่แรกเริ่มเดิมทีตั้งเป้าว่าหลังออกจากคูหาแผ่นดินนี้จะเป็นสีแดง แต่เราต่างรู้ว่า นี่คือครั้งแรกที่พรรคเพื่อไทย และรวมถึงรากเดิมคือไทยรักไทยสู่พลังประชาชน ประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง และเมื่อดูผลการนับคะแนนจะพบว่า ความนิยมของเพื่อไทยกระทั่งในอีสานก็โน้มลงมาเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ และนั่นทำให้เขาออกปากว่า ต้องรับผิดชอบ
หลังการเลือกตั้ง ระหว่างวันครบรอบ 9 ปีรัฐประหาร และก่อนจัดตั้งรัฐบาล เราชวนเขาทบทวนรายทางที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่บทบาทที่เรารู้เห็นอย่างชินตา แต่ลึกลงไปถึงหัวใจของคนเป็นพ่อ หัวอกคนเป็นสามี และเป็นพี่น้องร่วมอุดมการณ์กับคนเสื้อแดง
ชีวิตถัดจากนี้จะเป็นอย่างไร อะไรคือสิ่งที่ค้ำยันตัวตนและจุดยืนทางการเมืองเอาไว้ กระทั่งรัฐบาลใหม่จะต่อเรือโต้คลื่นได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่คำถามถัดจากนี้
คุณเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ จากตะวันออกสู่ตะวันตก เพื่อหาเสียงช่วยพรรคเพื่อไทยมาหลายเดือน ตอนนี้ได้พักบ้างหรือยัง
ที่จริงก็เดินทางมาเกือบ 1 ปี จากการเข้ามาทำหน้าที่ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย แต่ว่ามันมาเข้มข้นขึ้นในช่วงก่อนยุบสภา แล้วก็พอหลังยุบสภาก็เต็มที่เลย ก็ทำงานไปด้วยพักผ่อนในงานไปด้วย การได้สัมผัสพบปะกับประชาชนการได้เดินทางไปพื้นที่ต่างๆ สำหรับผมมันก็คือการพักผ่อนไปในตัว
การเมืองทำให้ชีพจรลงเท้าเช่นนี้ หากต้องนิยามว่าที่ไหนคือบ้าน – บ้านของคุณอยู่ที่ไหน
ที่ๆ มีครอบครัวผมอยู่ คือเรามีพ่อ แม่ ลูก หรือกระทั่งปู่ ย่า ตา ยาย ตรงนั้นคือบ้าน เพียงแต่ว่าความที่งานของผมมันต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา แล้วบางทีมันถูกหยุดเดินทางด้วยการเอาไปขังไว้ มันก็เลยจะมีที่พำนักที่พักพิงหลายประเภท (หัวเราะ) แต่ถ้าจะให้เรียกว่าบ้านก็ตรงไหนมีครอบครัวผมอยู่ นั่นคือบ้าน
ลูกที่มีพ่อ ภรรยาที่มีสามี ที่ต้องเดินทางไปพำนักสู่ ณ ในห้องหับที่ต้องจ่ายค่าเช่า บางแห่งค่าเช่านั้นก็ต้องจ่ายด้วยชีวิตและอิสรภาพ ครอบครัวของคุณเป็นเช่นไร
เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ คือครอบครัวผมถูกทำให้เป็นนักต่อสู้โดยที่ไม่มีโอกาสเลือก ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจ เพราะว่าในช่วงที่คบหากับภรรยาขณะที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ผมก็เริ่มยืนอยู่บนเวทีท้องสนามหลวงแล้ว ที่จริงเจอกันตั้งแต่ผมเป็นนักพูด ชีวิตช่วงนั้นก็ไม่มีอะไร อย่างมากเธอก็ตามผมไปตามงานทอล์กโชว์ งานพิธีกรต่างจังหวัด เสร็จงานแล้วเราก็ถือโอกาสเที่ยวพักผ่อนไปในตัว ชีวิตก็จะเป็นแบบนั้น แฟนทำงานการบินไทย ไม่ได้อยู่ในสภาพการณ์ที่บีบคั้นจิตใจใดๆ รายได้ก็ถือว่าอยู่กันอย่างสะดวกสบาย ในช่วงที่ผมอายุสัก 25-26 เดือนหนึ่งๆ ผมหาเงินได้ 5-7 แสนนะ ทีนี้เมื่อเกิดการรัฐประหารปี 2549 ผมตัดสินใจออกไปยืนบนเวทีท้องสนามหลวง ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะว่าผมตัดสินใจยุติอาชีพในวิถีทางนักพูดทั้งหมด ช่วงนั้นผมต้องอยู่นอกบ้าน ไม่สามารถที่จะเข้าไปพบกับแฟนได้ในพื้นที่ๆ เราอยู่กัน หรือว่าไม่สามารถที่จะทำกิจกรรม กินข้าวกินปลาอะไรได้โดยสะดวก เพราะว่ามีทหารคอยตาม มีหน่วยข่าว หน่วยสืบ อะไรก็ตามเถอะที่แสดงท่าทีคุกคาม ทำให้เราต้องเปลี่ยนที่นอนกันไปเรื่อยๆ
ผม พี่วีระ (วีระกานต์ มุสิกพงศ์) และอีกหลายๆ คนก็อยู่ด้วยกันแบบนั้น แฟนผมเลิกงานจากการบินไทยก็จะขับรถมาเจอกันหลังเวทีท้องสนามหลวง แล้วพี่วีระในฐานะผู้อาวุโสก็จะคอยให้กำลังใจแฟนผมว่าไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ยังปลอดภัยอยู่

จนมันถึงกำหนดจะแต่งงาน คือผมกำหนดแต่งงานวันที่ 29 เมษายน แต่คืนวันที่ 27 เมษาฯ ผมยังอยู่ที่ท้องสนามหลวงอยู่เลย ครอบครัวเจ้าสาวก็ลุ้นกันใหญ่ว่า เอ๊ะ เจ้าบ่าวจะได้มางานหรือเปล่า เพราะตอนนั้นสถานการณ์การชุมนุมเมื่อปี 2550 ก็กำลังเข้มข้น
แต่งงานได้ 2 เดือนเศษ ผมก็เข้าเรือนจำครั้งแรก หลังจากนั้นก็เข้าๆ ออกๆ ชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ล้มลุกคลุกคลานหลายต่อหลายครั้ง ในทางการเมืองก็เป็นโฆษกรัฐบาล เป็น ส.ส.เป็นรัฐมนตรี ในทางการต่อสู้ก็เป็นผู้ที่ถูกไล่ฆ่าไล่ยิงไล่ปราบ ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกพ่ายแพ้ พวกก่อการร้าย ทำลายบ้านเมือง เป็นพวกสมุนรับจ้างหรือว่าเป็นกลุ่มม็อบไร้การศึกษา ม็อบป่วนเมืองอะไรก็ตามเถอะ แล้วก็เป็นผู้ต้องขัง แฟนผมหรือลูกๆ ผมไม่มีสิทธิ์ได้ตัดสินใจ มันไม่มีวงหารือกันว่าเราจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะว่ารู้ตัวอีกทีผมก็มายืนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้แล้ว
ลูกๆ ของผมเกิดผมก็ผ่านการต่อสู้มาแล้ว ตอนคลอดลูกชายผมติดคุกไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนคลอดลูกสาวผมถูกล้อมอยู่ที่ราชประสงค์ ดังนั้นมันก็เลยเป็นชีวิตที่ทำให้ผมนำพาอีก 3 คนแม่ลูก มาอยู่ในสนามการต่อสู้ด้วยกัน เพิ่งจะได้ทำกิจกรรมด้วยกันแบบชาวบ้านเขามากๆ ก็ช่วง 3 เดือน ตอนติดกำไล EM เพราะมันไปไหนไม่ได้ อยู่ได้เฉพาะในเขต จ.นนทบุรี บังเอิญโรงเรียนลูกก็อยู่นนทบุรี แล้วเรามีกิจกรรมง่ายๆ ของเรา เช่น ไปกินข้าว ไปกินกินก๋วยเตี๋ยว ไปทำโน่นทำนี่ ผมก็จะขับรถพาลูกพาเมียไป มีไปส่งโรงเรียนไปรับโรงเรียน อะไรทำนองแบบนี้ แล้วพอปลดกำไลสักพักหนึ่งก็มาทำหน้าที่ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เลยมาถึงการเลือกตั้ง กำลังเข้าสู่ภาวการณ์เดิม เพียงแต่ว่ามันเป็นการต่อสู้ในสนามการเมืองในระบบ มันยังไม่ถึงขั้นต้องออกไปต่อสู้บนท้องถนนเหมือนสมัยก่อน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ข้างหน้าผมไม่แน่ใจ ว่ามันจะเป็นอย่างไร
ลูกชายและลูกสาวของคุณเกิดมาก็แทบไม่ได้เห็นพ่อมีบทบาทอื่น นอกจากการต่อสู้ทางการเมือง?
ถูกต้องครับ คือเขาจะเห็นว่าผมอยู่กับมวลชน อยู่กับบทบาทการต่อสู้ เวลาเขาเริ่มโตขึ้นดูข่าว เขาก็จะเห็นพ่อไปชุมนุม ไปเคลื่อนไหว ไปทำโน่นทำนี่ที่เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง แล้วเขาจะเห็นผมอยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง อยู่ท่ามกลางมิตรภาพมากมาย บางทีลงไปปักษ์ใต้ลูกๆ เขาก็จะถามแม่ว่าทำไมเราลงมาใต้แล้วเราไม่ค่อยเจอพ่อเลย เพราะพ่ออยู่แต่กับพรรคพวกยันเช้ายันเย็นยันมืด อะไรก็ตาม เราก็อยู่กันมาแบบนี้
วันที่ผมกำลังจะไปฟังคำพิพากษาศาลฎีการอบล่าสุดที่เข้าไปติดคุกเป็นครั้งที่ 3 ลูกๆ โตแล้ว ผมก็คุยกับภรรยาว่า เที่ยวนี้เราต้องบอกลูก เราต้องคุยกับลูก ว่ามันกำลังจะเกิดอะไรขึ้น แล้วถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ ขอให้ลูกกำหนดความคิดอย่างไร ดังนั้นวันก่อนฟังคำพิพากษาผมก็ชวนลูกทั้ง 2 คนมาคุยเรื่องนี้ ไม่น่าเชื่อว่าลูกๆ เขาบอกว่าเขานึกแล้วว่าผมต้องพูดเรื่องนี้ ผมก็สงสัย ภรรยาก็สงสัยว่า อ้าว ทำไมลูกรู้ล่ะ เขาบอกก็ช่วงหลัง ได้ยินแม่พูดกับพ่อเรื่องไปศาลบ่อยๆ เขาคิดว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ พ่อต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าพรุ่งนี้เขาจะตัดสินว่าพ่อต้องติดคุกหรือเปล่า ลูกชายเขาก็ถามว่าพ่อไปทำอะไรมา เขาถึงจะตัดสิน ผมก็เล่าให้ฟังว่าผมไปชุมนุมอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง (หัวเราะ) เพราะว่าไม่ยอมรับการยึดอำนาจ เขาก็บอกว่า เอ๊ะ มันไม่น่าติดคุกนี่ มันไม่น่าจะใช่เรื่องผิด ผมก็บอกว่านั่นแหล่ะ แต่เขาบอกว่าพ่อผิด ลูกสาวแกก็ร้องไห้ตามประสาเด็กผู้หญิง แกก็เล็กกว่าแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม เอ๊ะ ทำไม… พ่อซึ่งลูกสาวมักจะพูดกับเพื่อนว่าพ่อเป็นคนตลก เป็นคนไม่น่าจะไปทำอะไรร้ายแรงหรือไปทำความผิดความชั่วอะไรที่จะต้องถูกขังได้ แต่เมื่อลูกชายตั้งหลักได้ เขาก็บอกผมกับภรรยาว่าพรุ่งนี้ถ้าพ่อต้องติดคุก แม่อย่าร้องไห้นะ แม่ต้องสู้ เพราะว่าเขาอยากให้เราเศร้า เขาอยากให้เราเจ็บ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่เศร้า นี่คือสิ่งที่ลูกชายผมกำชับแม่เขา และพูดต่อหน้าผม ผมก็กอดกัน วันรุ่งขึ้นก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ บ่ายวันนั้นผมไม่ได้กลับบ้าน แต่ว่าอย่างที่ผมบอก เด็ก 2 คนนี้ เกิดมาก็กลายเป็นคนในขบวนการต่อสู้เลย แล้วลูกชายก็จะคอยประคับประคองแม่กับน้อง แล้วก็ผ่านวันเวลาแบบนั้นมาได้โดยที่ภรรยาก็พาลูกๆ ไปเยี่ยมเป็นระยะๆ ในช่วงที่ผมอยู่ข้างใน
ถ้าลูกคุณเข้า google แล้วพิมพ์คำว่า “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เข้าไป เขาจะพบว่าชื่อของพ่อมีทั้งคนรักและคนเกลียด คุณคุยเรื่องนี้กับลูกอย่างไร
ผมก็เล่าให้เขาฟังถึงเรื่องจุดยืนของผม ของเพื่อนมิตร ของประชาชนที่ต่อสู้กันมา ผมเล่าให้ฟังว่าคนเสื้อแดงคืออะไร นอกจากนั้นผมก็ให้เขาดูสิ่งที่ผมทำ ให้เขาดูวัตรปฏิบัติ ให้เขาดูวิถีชีวิตว่าพ่อเป็นแบบนี้ ถ้าลูกจะเข้าใจได้ ถ้าลูกจะสัมผัสได้ ลูกก็จะต้องรู้ว่าอะไรก็ตามที่เขากล่าวหาพ่อ หรือที่เขาบอกว่าพ่อเป็นคนทำไม่ถูกไม่ดีในแง่มุมต่างๆ หลายเรื่องมันไม่ใช่ผม มันไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำ มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะทำ นี่ก็เป็นอีกสนามต่อสู้หนึ่งที่ลูกๆ ผมจะต้องเจอ อย่างน้อยที่สุดก็สู้กับความคิดของตัวเอง
คือแน่นอนเด็กทุกคน โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย ก็จะรู้สึกว่ามีพ่อเป็นฮีโร่ แล้วก็พ่อนี่จะเป็นคนที่เก่งที่สุดในสายตาของลูกๆ จะเป็นคนที่ดีงามในสายตาลูกๆ แต่เมื่อไปอยู่ในอีกสังคมหนึ่ง หรือว่าไปอยู่ในโลกเสมือนแบบโซเชียลมีเดีย แล้วพบคนแสดงออก แสดงความเห็นถึงพ่ออย่างนั้น มันก็ต้องสู้เหมือนกันนะ ในการยืนหยัดสิ่งที่เห็นสิ่งที่เชื่อ และในการแสดงความมั่นใจว่า ครอบครัวเราไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาว่า ช่วงที่มันมีการชุมนุม กปปส. เข้มข้น ลูกๆ ก็เจอแรงเสียดทานที่โรงเรียนไม่ใช่น้อย แต่ว่าโรงเรียนเขาก็ช่วยกันดูแล ช่วยกันประคับประคอง ก็ผ่านกันมาแม้ว่ามันจะยากลำบากมากในบางช่วงเวลา แต่ว่ามันก็ต้องสู้ด้วยกัน
บนเวทีเราเห็นคุณคุมมวลชน กำหนดทิศทางและอารมณ์ของพี่น้องเรือนหมื่นเรือนแสน แต่ข้างหลังของคุณ ดูเหมือนว่าคนที่คุมหลังบ้าน ดูแลลูกๆ ให้เติบโตคือภรรยา
เธอเข้มแข็งขึ้นตลอดเวลา แล้วก็เป็นหลักของครอบครัว ที่จริงเป็นหลักของลูกๆ มากกว่าผมเยอะ เนื่องจากว่าเวลาของผมจะใช้ไปกับการต่อสู้ การเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือว่าติดคุกติดตารางอย่างที่ว่า ลูกๆ คนโตอายุเกือบ 15 ปี นับเวลาแล้วผมติดคุกจนจะ 2 ปีกว่าแล้ว แล้วก็ไปทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ดังนั้นช่วงเวลาที่ลูกๆ เติบโตจะเป็นเวลาที่ภรรยาเป็นหลักของครอบครัว แต่ว่าด้วยแรงเสียดทานที่มันมีหลายมิติ บางทีก็ยากลำบากที่จะผ่านมันมา เพราะว่าอย่างผมไม่อยู่บ้านหรือผมอยู่ในม็อบ ก็มีคนขับรถมาวนเวียนมาที่บ้าน มาข่มขู่คุกคาม ผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็ก 2 คน หรือว่าบางทีอยู่กันทั้งครอบครัว แต่ว่ามีทหาร 40-50 คนมากลางดึก เอาปืนกลติดอยู่บนรถ Jeep แบบในหนังมาจอดหน้าบ้านแล้วหันปากกระบอกปืนเข้าไปในบ้านผม แล้วทหาร 40-50 คนก็ฝึกแถวเรียกแถวกันอยู่หน้าบ้าน ตอนดึกสงัด หรืออีกหลายๆ เหตุการณ์ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยได้เล่าสู่สาธารณะหรอก เพราะผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ใครก็ตามที่อยู่ในขบวนการต่อสู้ มันเจอมาด้วยกันทั้งนั้น แล้วประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ใครเจอมามากกว่า เจอมาน้อยกว่า เพราะว่าสำหรับบางชีวิต สำหรับบางครอบครัว แค่การมีใครในเครื่องแบบสักคนมายืนด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าบ้านมันหนักหนาสาหัสมากๆ สำหรับพวกเขาอยู่แล้ว
คืออย่าลืมนะครับ แม้ว่าผมจะเจอปืนหรือกองกำลังอะไรก็ตาม แต่ว่าผมเป็นบุคคลสาธารณะ ผมเป็นนักการเมือง ผมเป็นอดีต ส.ส. เป็นอดีตรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นเกราะป้องกันทางสังคมของผมก็มีมากกว่าประชาชนทั่วไปตามไปด้วย แต่คนที่เขาเป็นชาวบ้านจริงๆ คนที่เขาหาเช้ากินค่ำ คนที่เขาไม่มีเกราะป้องกันอะไรทางสังคมเลย แรงปะทะทุกอย่างที่เข้ามาถึงตัวทันทีและถึงตัวได้ 100% คนพวกนั้นอย่างที่ผมบอก ใครพกปืนสั้นโผล่ให้เห็นด้าม เดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาแถวหน้าบ้านมันก็หนักหนาสาหัสแล้ว
ดังนั้นผมคิดว่าอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น ที่มันเป็นผลพวงจากการต่อสู้ เราก็ต้องยืนหยัดกัดฟันและเดินผ่านมันไปให้ได้ เอาชนะมันไปให้ได้ แล้วก็เก็บมันไว้ในใจนี่แหล่ะ แล้วเอาประสบการณ์เอาสิ่งที่เราเคยเจอมา มองเห็นความปลอดภัยของคนอื่นๆ มองเห็นภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นกับอื่น แล้วถ้ามีโอกาส ถ้าเขาถาม ก็จะได้บอกเขาว่า เอ๊ะ ถ้าเป็นแบบนี้มันอาจจะเกิดอย่างนั้นได้นะ หรือมันควรจะป้องกันแบบนี้ น่าจะดีกว่าหรือไม่ ซึ่งสำหรับผมบนเวทีการต่อสู้มันไม่มีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่ มันไม่มีใครผ่านมามากกว่าน้อยกว่า สู้มากกว่าสู้น้อยกว่า สำหรับผมไม่มีนะ ผมคิดว่าคนที่ยืนอยู่บนเวทีต่อสู้ มันหนึ่งชีวิตหนึ่งอิสรภาพเท่ากัน มันต้องเคารพกัน ณ จุดนี้ ถ้าหากว่าใครกำลังทำภาระหน้าที่ต่อสู้อยู่ เราไม่มีสิทธิ์ที่จะเที่ยวไปชี้แนะ ชี้นำ ไปเที่ยวประกาศทฤษฎีโน่นนั่นนี่ สำหรับผม ผมว่าไม่ใช่ และถ้าเขาไม่ถามไม่มีทางที่ผมจะไปเสนอความเห็นอะไรทั้งสิ้น เพราะว่าเราต้องเคารพกัน
ปกติเราไม่ค่อยเห็นคุณเอาเรื่องนี้ไปคุยในที่สาธารณะ แต่วันที่คุณปราศรัยโค้งสุดท้ายที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ทำไมคุณเอาเรื่องนี้ไปคุย
หนึ่งก็คือผมคิดว่าเวทีต่อสู้มันไม่ใช่เวทีประกวดประชัน มันไม่ใช่พื้นที่ๆ ใครจะมาแสดงตัวเพื่อเรคคอร์ดว่าตัวเองได้ทำมากกว่า ตัวเองผ่านการเคี่ยวกรำมาเยอะกว่า หรือประสบชะตากรรม หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเพราะว่าชะตากรรมของแต่ละคนในการต่อสู้มันไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน แล้วก็ต้องเคารพกัน ประการต่อมาก็คือผมเห็นว่าวันเวลาที่เราใช้ผ่านมาในการต่อสู้ มันก็มีคนที่เขากำลังเดินเข้ามา คนที่เขากำลังปรากฏตัวและทำหน้าที่ของเขาอยู่อย่างกล้าหาญเข้มแข็งมากมายเพิ่มขึ้น ช่วงเวลาของพวกผมมันเดินมาแล้วเกือบ 20 ปี มันก็เป็นช่วงเวลาของคนใหม่ๆ วิธีคิดใหม่ วิธีการต่อสู้ใหม่ๆ อย่างไรก็ตามภัยคุกคาม หรือการโต้กลับหรือการแสดงปฏิกิริยาจากฝ่ายตรงข้ามวิธีการมันจะไม่ใหม่มาก มันก็ซ้ำๆ เดิมๆ อยู่แบบนี้ ไล่ฆ่าจับขังคุก คุกคาม ข่มขู่ กดดัน สร้างความหวาดกลัว ใช้กฎหมายอย่างอยุติธรรม ใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม อย่างนี้มันก็มีตัวแบบของมัน ก็เลยคิดว่าบางทีการได้สื่อสารสู่กันฟังบ้าง ก็อาจจะเปิดพื้นที่ความคิดสำหรับคนอื่นๆ ว่า เฮ้ย มันก็ต่างคนต่างเจ็บมาด้วยกันนะ แล้ววันนี้เราอาจจะเจ็บอีกแบบหนึ่ง ไอ้คนที่ผ่านมาเมื่อวานก็เจ็บอีกแบบ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่คนในขบวนการต่อสู้พึงตระหนักระลึกอยู่เสมอก็คือว่า เราอย่าได้สร้างความบอบช้ำในหัวใจระหว่างกัน หน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนที่ต่อสู้ในสายธารเดียวกันก็คือว่าต้องโอบอุ้มหัวใจกัน ต้องดูแลประคับประคองความรู้สึกกัน ต้องเป็นหลังพิง แล้วก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน หรือย่างน้อยที่สุด ต้องเป็นตาหลังระวังภัยให้กันได้ ผมอยากจะสื่อสารแบบนี้ เพียงแต่ว่าวิธีการก็คือเล่าให้ฟัง ว่าแต่ละคนเขาเจออะไรกันมาบ้าง เพื่อให้เห็นว่าเจอมาแบบนี้ก็ยังรักห่วงนะ ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัย แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะแสดงความเป็นปฏิปักษ์ใดๆ ต่อกัน เราอาจไม่รักไม่ชอบกันโดยฉับพลันทันที ไม่แปลก แต่ว่ามันควรมีความปรารถนาดีฉาบเจืออยู่ในเส้นทางนี้เสมอ
ผมเล่าให้ฟังไปแล้ว รู้สึกลูกชายมั้งครับ เขาอาจจะดูคลิปหรืออะไร เขาก็ถามว่า อ้าว พ่อ เล่าเรื่องที่บ้านเหรอ ผมก็บอกว่า เออ ใช่ลูกก็เล่าให้เขาฟังแหล่ะ ไม่มีอะไร เล่าไปตรงๆ อย่างที่เราเจอมานี่แหล่ะ แล้วก็คิดว่าผมไม่ทำบ่อยๆ แล้วก็หลายๆ เรื่อง ก็ไม่คิดว่าจะพูดออกไป เพราะว่ามันอย่างที่ผมบอก เมื่อสู้แล้วมันก็ต้องรับให้ได้ สู้แล้วชนะก็อย่าไปย่ำคนแพ้จนเขาไม่มีที่เหลือยืน ถ้าแพ้ก็ต้องแพ้ให้คนลือว่ารู้จักแพ้ แพ้ก็อย่าร้อง แพ้ก็ย่าคร่ำครวญแพ้ก็อย่างที่บอก แพ้ให้คนลือเลยว่ารู้จักแพ้ และแพ้จนไอ้คนชนะต้องรู้จักเราว่าเราคือแบบนี้



แล้วผลการเลือกตั้งครั้งนี้คุณมองว่าแพ้หรือชนะ
สำหรับพรรคเพื่อไทยที่ผมไปทำหน้าที่อยู่ เอาตรงๆ คือแพ้ เพราะว่าไม่มีใครนึกหรอกว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคอันดับสองในการเลือกตั้ง อันนี้คือตรงไปตรงมา แต่ว่าสำหรับภาพที่ใหญ่กว่านั้นคือการต่อสู้ของประชาชน ผมว่าประชาชนชนะ แล้วถ้าหากความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยมันอยู่ในชัยชนะของประชาชน เรื่องของพรรคเพื่อไทยมันต้องเล็กกว่าเสมอ คืนที่เขานับคะแนนเลือกตั้งกันก็มีน้องๆ หนุ่มสาว 20-30 คนที่มาทำงานให้พรรค เขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง ก็มานั่งล้อมหน้าล้อมหลังผมอยู่ ผมก็พูดคุยให้ฟัง พูดกับเขาแบบนี้แหละว่า แพ้ก็ต้องแพ้ให้คนลือว่าเรารู้จักแพ้ แล้วก็อย่าให้ความพ่ายแพ้ของเรามันยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะของประชาชน คืนนี้ประชาชนชนะ ส่วนภารกิจที่เราทำเราทำกันเต็มที่เต็มความสามารถแล้ว ผิดหวังได้ เจ็บปวดกับมันได้ แต่ว่าก็ต้องมาสรุปบทเรียนเพื่อลุกขึ้นยืนใหม่ พยายามจะโอบรับความรู้สึกความผิดหวังอะไรของน้องๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด กว่าจะกลับออกจากที่ทำการพรรคก็เกือบตี 2 แล้วคืนนั้น สงสารน้องๆ เป็นห่วงความรู้สึกเขาผมก็เลยอยู่เป็นเพื่อน
ตอนคนรุ่นใหม่ออกมาชุมนุมกัน แล้วในที่ชุมนุมก็เริ่มรื้อฟื้นเกียรติและศักดิ์ศรีให้คนเสื้อแดง คุณเคยพูดว่า ไม่สามารถขอบคุณคนรุ่นใหม่ได้มากกว่านี้แล้วที่ให้การยอมรับคนเสื้อแดง แต่ก็เช่นกัน หลังการเลือกตั้งเราก็พบว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่คือฐานเสียงของก้าวไกล คุณจัดการความคิดความรู้สึกของเรื่องนี้อย่างไร
ผมยังยืนยันคำเติมว่าผมเป็นหนี้บุญคุณของคนหนุ่มสาวรุ่นนี้ที่เขาต่อสู้อย่างเข้มข้น และอย่างทรงพลังในปี 2563 เป็นต้นมา การเป็นหนี้บุญคุณของผมนัยของมันก็คือว่าตลอดเวลาการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แม้ว่าเราพยายามอย่างสุดกำลัง เราเผชิญชะตากรรมด้วยกันมากมาย แต่ว่าผมยังไม่สามารถจะทำให้เกียรติยศศักดิ์ศรีของคนเสื้อแดงมันปรากฏขึ้นในความรับรู้ในจิตใจของคนหนุ่มสาว ในจิตใจของคนเมือง หรือคนสมัยใหม่ได้เท่ากับน้องๆ เหล่านั้น เมื่อคนหนุ่มสาวทำให้คนเสื้อแดงได้รับเกียรติและศักดิ์ศรีในสิ่งที่ผมไม่มีปัญญาทำให้ได้ ผมต้องเป็นหนี้บุญคุณเขา และผมปวารณาตัวที่จะคอยดูแลคอยอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้พวกเขา ใครก็ตามเข้าไปเจอผมในเรือนจำผมก็จะเป็นทั้งการ์ด จะเป็นทั้งผู้บริการ เป็นทั้งเพื่อนคุยเพื่อนเล่น ทุกอย่างเท่าที่จะเป็นได้ แล้วก็ไม่เคยให้ความเห็นใดๆ เรื่องการต่อสู้ทางการเมือง ยกเว้นพวกเขาถาม ซึ่งพวกเขาที่อยู่ข้างในเขาจะรู้ว่าถ้าไม่ได้ถาม พี่เต้นก็ไม่มีพูด
ส่วนว่าพลังของคนกลุ่มนี้ไปลงคะแนนให้พรรคการเมืองไหน อันนี้ผมคิดว่าเป็นเสรีภาพของพวกเขานะ จริงอยู่ว่าเป็นหน้าที่ของทุกพรรคที่ต้องรุกเข้าไปในฐานคะแนนใหม่นี้ เป็นพลังบริสุทธิ์ที่มันเป็นกลุ่มก้อน และมันคาดหวังอนาคตได้อย่างชัดเจน แต่ว่าเมื่อได้พยายามทำกันอย่างเต็มที่ อย่างน้อยที่สุดก็เต็มที่เท่าที่เราคิดเท่าที่เราเป็นเท่าที่เรามี แล้วผลมันปรากฏอีกอย่าง ผมก็ว่ามันเป็นความงดงามที่จะต้องศึกษาเรียนรู้กันต่อไป
เรารักเราปรารถนาดีเรารู้สึกขอบคุณไปไกลถึงการรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ แต่เราไม่เคยรู้สึกเป็นเจ้าของ เราไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องเข้าไปครอบครอง และเราก็ไม่เคยรู้สึกว่าถ้าหากเขาไม่ได้เป็นหนึ่งคะแนนของเราจะเป็นเรื่องที่เราต้องผิดหวังผิดใจกัน ไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องที่เราก็จะต้องทำงานของเราต่อไป พรรคการเมืองที่เขาได้รับการสนับสนุนจากคนยุคนี้ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองเช่นเดียวกันว่า การสนับสนุนนั้นมันได้ตอบสนองต่อความต้องการ มันได้ตอบสนองต่อความคิดฝันของคนที่เทคะแนนเทใจให้หรือเปล่า มันก็ต้องทำงานไปแบบนี้ ปฏิสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับมวลชนไม่ว่าจะกลุ่มใดก็เป็นไปแบบนี้ คะแนนเป็นของประชาชน ความคิด จิตวิญญาณ เสรีภาพ ล้วนเป็นของประชาชน ในขณะที่ประชาชนไม่ได้เป็นของนักการเมือง ในทางกลับกันพรรคการเมืองต่างหากที่ต้องทำตัวให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นพรรคการเมืองของประชาชน
อีสานเป็นฐานเสียงหลักของเพื่อไทย แต่ไหนแต่ไรไม่ว่าจะเป็นไทยรักไทย พลังประชาชน ก็รู้สึกว่าที่นี่คือบ้าน คนอีสานไม่น้อยโดยเฉพาะคนเสื้อแดงก็มองว่าคุณที่แม้เป็นคนใต้โดยกำเนิดกลับผูกพันกันเหมือนญาติพี่น้อง
ผมไม่ได้เป็นคนมาเริ่ม ไม่ได้เป็นคนมาสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรเสื้อแดงกับคนอีสาน มันเริ่มมาตั้งแต่การทำงานอย่างประสบความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยซึ่งในสมัยแรกการเลือกตั้งปี 2544 ก็ปรากฏว่าคะแนนส่วนใหญ่ของไทยรักไทยมาจากพื้นที่ภาคอีสาน อาจจะเป็นความนิยมในผู้นำพรรคคือนายกฯ ทักษิณ อาจจะเป็นเพราะว่ามี ส.ส.เดิมจำนวนหนึ่งเข้ามาสังกัด อาจจะเป็นเพราะว่านโยบายมันตื่นตาตื่นใจและทำให้ประชาชนเชื่อว่าทำได้จริง
ทีนี้พี่น้องชาวอีสานเขาอยู่กับนักการเมืองจากไทยรักไทย อยู่กับรัฐบาลไทยรักไทย มา 4-5 ปี จนถูกรัฐประหารในปี 2549 มันก็เลยเกิดเป็นความรู้สึกสูญเสีย เกิดเป็นความรู้สึกต่อต้าน ซึ่งจริงๆ มันก่อตัวมาตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะว่าคนไม่น้อยมีความรู้สึกว่าคนพวกนี้กำลังมาไล่รัฐบาลที่เขาเลือก แล้วเขาไม่มีความรู้สึกว่าชอบไม่ชอบก็ได้แต่ไม่คิดว่าถึงขนาดต้องไล่ และเมื่อรัฐบาลยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ คนไม่ต้องเข้าใจการเมืองอะไรลึกซึ้งมากมาย พื้นฐานเขาก็ต้องเห็นได้แล้วว่ารัฐบาลก็แสดงความรับผิดชอบ ถ้าหากจะมีอะไรผิดพลาดในการดำเนินการที่ผ่านมาจนประชาชนออกมาเดินขบวนขับไล่ ก็คืนอำนาจให้กับประชาชน มันน่าจะจบลงตรงนั้น สิ่งที่ควรเดินต่อก็คือการเลือกตั้ง สู้กันตามกติกาบริสุทธิ์ ยุติธรรม แต่มันไม่เป็นแบบนั้น มันมีการขัดขวางการเลือกตั้ง ล้มการเลือกตั้ง มันมีการรัฐประหาร ความคับแค้นตรงนั้นมันเป็นพลังให้ระเบิดออกมา และเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ ซึ่งได้ปรากฏชัดหลังการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549
ทีนี้เมื่อพื้นที่ภาคอีสานเป็นพื้นที่ใหญ่สุด มี ส.ส. มากสุด และ ส.ส. ไทยรักไทยอยู่อีสานเยอะที่สุด พลังจากส่วนนั้นก็เลยขับเคลื่อนมาเป็นพลังหลัก ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ก็มีมาสมทบเหมือนกัน แต่ว่าในสัดส่วนที่น้อยกว่า ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังเริ่มต้นของขบวนการคนเสื้อแดง จึงมาจากพี่น้องภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ คือมันผูกกันระหว่างชะตากกรมของพรรคไทยรักไทยกับการเกิดขึ้นของขบวนการคนเสื้อแดง และในที่สุดมันก็มาถึงยุทธศาสตร์สองขา ก็คือพรรคสู้ในสภา เสื้อแดงสู้นอกสภาโดยมีเป้าหมายเดียวกันก็คือต่อสู้นำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย
ด้วยชะตากรรมที่มันประสบพบเจอกันมายาวนานมาก ก็เลยเกิดเป็นความผูกพันที่มากกว่าพรรคการเมืองหรือนักการเมืองกับประชาชน มันกลายเป็นเพื่อนร่วมสู้ เพื่อนร่วมเป็น เพื่อนร่วมตาย อีสานเนี่ยผมไปกินไปนอนมาทุกจังหวัด ไปชุมนุม ไปเดินขบวน ไปปักหลักพักค้าง กิจกรรรมต่างๆ นานาสารพัด หลายจังหวัดในภาคอีสาน คือผมปราศรัยช่วงหนึ่ง เพื่อนจะไม่ให้ขึ้นหัวค่ำ เขาจะเอาผมไว้ดึกทุกเวที พอเสร็จดึกปั๊บก็จะไปนั่งดื่มกินสังสรรค์พูดคุยแลกเปลี่ยนกับพี่ๆ น้องๆ ยันเช้า แทบจะเป็นเรื่องปกติในยุคโน้น ร่างกายมันยังแข็งแรงอยู่ มันนั่งได้ ริมฝั่งแม่น้ำโขงผมเห็นพระอาทิตย์ขึ้นหลายมุมเหลือเกิน นครพนมบ้าง จังหวัดไหนต่อไหนบ้างที่อยู่ริมฝั่งโขงที่เราใช้ชีวิตสัมผัสชีวิตด้วยกันที่นั่น จนถึงวันนี้แม้ว่ามันจะยังไม่มีการต่อสู้อะไรที่ประชาชนแสดงตัวออกมาเหมือนสมัยก่อน แต่เวลาผมไปเวทีปราศรัยพบพี่น้องภาคอีสานแล้วมันดีใจ มันเหมือนพบครอบครัว มันเหมือนพบคนเก่าคนแก่ บางคนถือไม้เท้ามาแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอัมพฤกษ์ครึ่งซีกอะไรก็ตาม แต่ว่าให้ได้มาเห็นหน้าให้ได้มาจับมือกอดคอถ่ายรูปกันสักนิดหน่อย ก็เติมกำลังใจให้กันทั้งเขาได้กำลังใจที่เจอผม และผมก็มีกำลังใจที่เจอพวกเขา แล้วก็ทำหน้าที่กันต่อไป
แต่ว่าความสัมพันธ์นี้มันไม่ได้มีเฉพาะในพื้นที่อีสานเท่านั้น ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ทุกภูมิภาคเราก็มีพี่น้องเราที่เคยต่อสู้มาด้วยกัน และมันก็เป็นความจริงว่าพี่น้องที่เคยต่อสู้มาด้วยกันร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน วันนี้ก็เป็นผู้สนับสนุนของพรรคการเมืองแตกต่างกันไป เป็นคะแนนเสียงของพรรคการเมืองคนละพรรคกัน ซึ่งถ้าถามใจผมว่ารู้สึกอย่างไร ผมก็คงมีคำตอบคล้ายๆ ความรู้สึกต่อเยาวชนคนรุ่นใหม่นั่นแหล่ะ รักห่วง ผูกพัน ปรารถนาดีต่อกัน แต่ว่าไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือครอบครองกันในมิติใดก็ตาม ทุกคนมันมีอิสระต่อกันอยู่เสมอ ผมย้ำอีกทีนะครับ ประชาชนไม่ได้เป็นของนักการเมือง และไม่ได้เป็นของพรรคการเมือง พรรคการเมืองต่างหากต้องทำตัวให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าเป็นพรรคการเมืองของประชาชน พรรคใดก็ตาม ผมคิดว่ามันยืนอยู่บนหลักการนี้ แล้วก็ต้องทำให้ต่อเนื่องยาวนาน ต้องพิสูจน์ด้วยการต่อสู้ด้วยการทำงาน ด้วยจิตวิญญาณจริงๆ ดังนั้นเส้นทางข้างหน้าผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่มันเชี่ยวกราก แต่ว่าถ้าทุกพรรคการเมือง อย่างน้อยที่สุดก็ที่ประกาศตัวว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเดินไปด้วยหลักคิดนี้ ผมว่าสังคมไทยก็มีความหวัง มีอนาคต
ตัวเลขของพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการเลือกตั้ง ส.ส. ใน 2-3 ครั้งที่ผ่านมาลดลง พรรคก็ต้องทำงานหนักเพื่อดึงกลับมา
เข้าใจได้ว่ามันมีขึ้นมีลง นี่คือความเข้าใจในมิติที่หนึ่ง แต่มิติที่มันลึกซึ้งกว่านั้น คือต้องเข้าใจให้ได้ว่าเหตุและผลของมันคืออะไร เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ต้องมีการสรุปและถอดบทเรียนกันครั้งใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ซึ่งในทัศนะผมมันต้องปิดห้องคุยกัน และคุยกันอย่างจริงจังในระหว่างคีย์แมนคนทำงานทั้งหลาย เปิดอกคุยกันให้หมดเปลือก สรุปเอามาให้ได้ กลั่นบทเรียน แล้วก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเดินต่อไป คือถ้ามันเป็นช่วงเวลาของความสำเร็จ สรุปบทเรียนกันจะถ่ายทอดสดด้วยก็ได้ ใครพูดอะไรก็หล่อหมดถ้าประสบความสำเร็จ ถูกไหมครับ แต่ถ้าถึงเวลาที่มันไม่สำเร็จ ปิดห้องคุยกันครับ บาดแผลใดๆ ที่เกิดมาจากสนามรบ เอามารักษากันในบ้าน เช็ดเลือดเช็ดน้ำตากันในบ้าน แล้วเมื่อเปิดประตูออกมา ต้องยืนหยัดอย่างทรนงองอาจ แล้วก็นำพาผู้คนที่ยังคิดเหมือนกันอยู่ เชื่อเหมือนกันอยู่ เดินต่อไปข้างหน้า ต้องออกศึกอีกครั้งก็ต้องออกศึกอย่างเชื่อมั่นในการและกันอยู่เหมือนเดิม
มันต้องเป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าหลังการเลือกตั้งมา ในสัปดาห์แรกมันเป็นเรื่องของการพยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นในการรวมกลุ่มจัดตั้งรัฐบาล เราก็เลยไม่ได้วงคุยกัน ก็คิดว่าในสัปดาห์ที่สอง น่าจะมีวงนี้ คือช้าไม่ได้ รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยมันก็ต้องให้มันเกิดรูปธรรมออกมาทันที เนิ่นช้าไปเดี๋ยวเขาทึกทักเอาว่า อ้าว พวกนี้จับมือกันไม่ได้ เดี๋ยวจะมีเกมพิเรนทร์ออกมา ซึ่งไว้ใจไม่ได้เลยนะครับ การเลือกตั้งคราวนี้อย่าได้ไว้ใจจนกว่าจะมีรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย จะมีนายกรัฐมนตรีจากพรรคอันดับหนึ่งเข้าปฏิบัติหน้าที่ ต่อให้ปฏิบัติหน้าที่แล้วก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี จริงๆ มันเต็มไปด้วยขวากหนามเต็มไปด้วยกับดักและอันตราย
มีกับดักและอันตรายอย่างน้อย 3 อย่าง ที่อยากให้คุณหาทางฝ่าด่านมันไปให้ได้ หนึ่ง 250 อรหันต์ สอง ผู้ลี้ภัยทางการเมือง และ สาม กรณีของพี่น้องเสื้อแดงที่ยังไม่ได้รับความยุติธรรม
อย่างแรกนะ เสถียรภาพของรัฐบาลนั้น ตัวเลข ส.ส. ที่เขารวมกันได้ล่าสุด 313 คน จาก 8 พรรค (ข้อมูลเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม) อันนี้มีเสถียรภาพมากๆ อยู่แล้ว เอาว่าให้ ส.ว. เคารพต่อการตัดสินใจของประชาชน แล้วโหวตให้เขาตั้งรัฐบาล ตั้งนายกฯ กันได้เถอะ คุณคิดดูสิรัฐบาล 313 จาก 500 ที่นั่ง มันจะไม่มีเสถียรภาพได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองซีกนี้โดยเฉพาะพรรคอันดับหนึ่งกำลังอยู่ในกระแสนิยมที่เป็นกระแสสูง ออกตัวแรงแน่นอน รัฐบาลชุดนี้เสถียรภาพก็ย่อมเป็นที่เชื่อมั่นได้
อย่างไรก็ตามความจริงทางการเมืองของประเทศไทย ต่อให้คุณรวมกันได้มากกว่านี้ แต่เมื่อคุณยืนอยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายอำนาจนิยม หรือกลไกอนุรักษ์นิยมที่มีอิทธิพล เหนือการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไทยมายาวนาน อันนี้จะเป็นตัวสั่นสะเทือนเสถียรภาพ ดังนั้นก็หวังใจว่า รัฐบาลที่กำลังตั้งกันอยู่จะเดินหน้าโดยเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นจริง ระแวดระวังรัดกุม ผมไม่ได้บอกให้กลัวนะ และผมเชื่อว่าทุกคนมีความกล้า แต่ความจริงก็คือ ภัยคุกคามก็มหาศาลเหมือนกัน และคนพวกนั้นกล้าที่จะทำทุกอย่างเหมือนกันเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมือง และเป้าหมายทางการเมืองของพวกเขาก็คือการถืออำนาจรัฐเอาไว้ในมือ หากเขาไม่สามารถที่จะถือเอาไว้ได้ด้วยความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง เขาก็จะทำมันทุกอย่างทั้งในและนอกระบบอย่างที่เขาทำมาตลอด 10 กว่าปีมานี้ อย่างที่พวกผม หรือว่าพรรคเพื่อไทยเจอมันตลอดมา
วิธีคิดของคนพวกนี้เขาไม่ได้สนใจหลักการ เขาไม่ได้สนใจวิธีการ เข้าเน้นเป้าหมาย คนพวกนี้สามารถที่จะตะโกนโห่ร้องต้อนรับการรัฐประหารได้ คนพวกนี้สามารถที่จะแสดงตัวรณรงค์ให้คนไม่ไปเลือกตั้ง ปิดล้อม หน่วยเลือกตั้ง ขัดขวางการลงคะแนน ทำได้ทั้งหมดหรือแม้การบังคับใช้กฎหมายอย่างบิดเบือน ทำลายสิ้นซึ่งหลักนิติธรรม ก็น่าชื่นตาบานที่จะแสดงมันออกมาเพียงเพื่อบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นสิ่งนี้จะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของรัฐบาลซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคประเมินสถานการณ์กันดีๆ ตัดสินใจกันดีๆ อะไรเดินก้าวยาวๆ อะไรค่อยๆ เดิน อะไรจะเป็นก้าวกระโดด อะไรจะเป็นเรื่องที่เดินได้แค่ปลายเท้า เรื่องพวกนี้มันต้องแล้วแต่ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวข้อง
เรื่องที่สอง คนที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ เท่าที่ผมฟังดูนโยบายของหลายพรรค อันนี้ก็ไม่ได้ว่าจะเป็นพรรคใดพรรคหนึ่งเพียงพรรคเดียวเท่านั้น หลายๆ พรรคเขาก็มีพูดถึงกัน ผมว่าคนเหล่านั้นน่าจะกำลังได้กลิ่นไอของแผ่นดินเกิด เพราะผมคิดว่าแนวคิดในการที่จะทำกระบวนการยุติธรรมให้เป็นธรรมเพื่อเปิดโอกาสให้กับคนไทยหลายๆ คนที่จำใจต้องลี้ภัยอยู่ต่างแดนได้กลับมาต่อสู้ ได้กลับมาพิสูจน์ตัวเอง มันคงจะเกิดขึ้นแน่ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สำหรับหลายๆ คนที่พำนักอยู่ต่างแดน ก็ไม่ได้หมายความว่า สมมติมีการนิรโทษคดีการเมืองทั้งหมดอย่างที่พรรคการเมืองเขาพูดกัน หรือว่ามีการทำกลไกอะไรก็แล้วแต่เถอะให้คนที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศกลับบ้านได้ ผมว่าก็ไม่ได้หมายถึงทุกคนนะ เพราะแต่ละคนจะมีการบ้านในใจที่จะประเมินสถานการณ์ของตัวเองอยู่ว่าภัยคุกคามที่มันอยู่ในประเทศไทย มันไม่ได้หมายเพียงเฉพาะภัยคุกคามจากกฎหมาย มันอาจจะมีมากกว่านั้น ซึ่งแต่ละคนนี่แหล่ะเขาจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง แต่ต่อให้อาจจะไม่ได้กลับมาครบทุกคนแต่ผมก็อยากจะให้ประตูของประเทศไทยเปิดรับคนไทยทุกคนได้ อาจจะต้องมีการแก้ปัญหา อาจจะต้องมีการทำให้บ้านเมืองนี้มันปลอดภัยขึ้นสำหรับบางคน แผ่นดินเกิดมันคือปิตุภูมิมาตุภูมิ ถูกไหมครับ มันเป็นแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่ เพราะฉะนั้นแผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่มันไม่ควรปิดประตูลั่นดาลไม่ให้ลูกกลับเข้าบ้าน ดังนั้นเปิดประตูทุกบานเอาไว้ดีกว่า ลูกทุกคนจะรู้ตัวของตัวเองดีว่าถึงเวลาที่นกบินหลาจะบินกลับรังหรือยัง ถ้านกบินหลาบางตัวอาจจะรู้สึกว่ามันมีกระสุนปืนของนายพรานคอยดักทำร้ายอยู่กลางทางเขาก็อาจจะเลือกบินอยู่ข้างนอก รอจนกว่าฟ้าสาง แล้วค่อยบินกลับมาก็ได้ แต่ว่าบินหลาตัวอื่นๆ ก็จะได้กลับมา
ส่วนเรื่องที่สาม การทวงถามความเป็นธรรมให้กับคนเสื้อแดง ผมว่าเรื่องนี้มันอยู่ในใจคนหลายคนนะ โดยเฉพาะคนที่ผ่านการต่อสู้หรือแม้กระทั่งคนที่อาจจะไม่ได้มีส่วนร่วมในคราวนั้น แต่ติดตามเหตุการณ์มาอย่างไม่ลดละ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณแล้วก็ได้แสดงความขอบคุณไปในต่างกรรมต่างวาระอยู่แล้ว หลายพรรคเขาก็พูดถึงเรื่องนี้ว่าจะต้องมีการทวงถามความคืบหน้าในการดำเนินคดี จะมีทั้งรูปแบบการติดตามในประเทศ รูปแบบการใช้กลไลหรือองค์กรยุติธรรมระหว่างประเทศ อันนั้นผมไม่มีขัดข้องสักแนวทางหนึ่งนะครับ ก็ขอให้เดินหน้าไปได้
ในส่วนของผมซึ่งไปร่วมงานอยู่กับพรรคเพื่อไทย ก็หารือกับฝ่ายนโยบายฝ่ายกฎหมายของพรรคมาระยะใหญ่ๆ แล้ว พยายามคิดหาวิธีการที่มันชัดมันตรงและมันทำได้เร็ว จนเราไปพบว่ามันมีทางเลือกหนึ่งซึ่งผมเลือกทางเลือกนี้ และก็พูดคุยกับพรรคเพื่อไทยเขาก็เห็นด้วย เอาแนวทางนี้ล่ะที่เราจะทำทันทีหลังการตั้งรัฐบาลได้ ก็คือเราจะให้ ส.ส. เข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมายแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามทุจริต ก็คือ พ.ร.บ. ป.ป.ช. แก้มาตราไหนบ้าง แก้มาตรา 49 กับ 58 สาระสำคัญของมันคืออะไร สาระสำคัญของมันก็คือว่าปกติที่ผ่านมา การยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ถ้า ป.ป.ช. ไม่รับ คือพิจารณาแล้วไม่รับคำร้องมันตกเลยนะครับ ที่จะเอาผิดกับฝ่ายการเมือง หรือผู้บริหารของรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือยื่นเรื่องแล้ว ป.ป.ช.รับแต่มีมติยกคำร้องก็จบตรงนั้นเหมือนกัน ไปไม่ถึงอัยการ ทีนี้เราจะแก้ตรงนี้ เพราะว่าศาลอาญา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำคดีไปถึงศาลแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่ทำอะไร ไปถึงศาลแล้ว คุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ และพวก เป็นจำเลยในศาลอาญาแล้ว แต่เขาไปร้องแย้ง พอร้องแย้งศาลอาญาวินิจฉัยจนถึงชั้นฎีกา หมายถึงว่าเราสู้กัน 3 ศาล ศาลฎีกาบอกว่าคดีนี้การจะเอาผิดคุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ ผู้สั่งการ ไม่สามารถจะใช้อำนาจศาลอาญาได้ ต้องไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องเริ่มที่ ป.ป.ช. เราก็มา ป.ป.ช. พอ ป.ป.ช. รับคำร้องและในที่สุดวินิจฉัยยกคำร้อง จบเลย ยกคำร้องคุณอภิสิทธิ์ คุณสุเทพ แล้วก็บอกว่าถ้าจะเอาผิดก็เอาผิดทหารที่เป็นคนยิงให้ตายสิ ทีนี้พอจะเอาผิดทหารที่เป็นคนยิงให้ตายก็ต้องไปฟ้องศาลทหาร ญาติคนตายไปฟ้องศาลทหาร อัยการศาลทหารบอกว่า คุณไม่สามารถระบุคนลั่นไกได้ ก็มีคำสั่งไม่ฟ้องอีก คดีมันหยุดนิ่งอยู่กับที่และพายเรือในอ่าง
ผมก็จะแก้ พ.ร.บ.ป.ป.ช. เป็นว่าในคดีที่มีการไปยื่น ป.ป.ช. แล้ว ป.ป.ช. ไม่รับ ผู้เสียหาย… ในที่นี้ต้องไปเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่ใช่ว่าใครแสดงตัวเป็นผู้เสียหายก็ได้นะ โดยผู้เสียหายนี้สามารถที่จะมีสิทธิ์ยื่นฟ้องโดยตรง ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ หรือถ้ายื่นเรื่องไปแล้ว ป.ป.ช.รับและยกคำร้องในกรณีนี้ตรงกับคดีเสื้อแดงเสียชีวิตนั้น ให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดจะแจ้งไปยัง ป.ป.ช. ให้รวบรวมสำนวนเอกสารพยานหลักฐานทั้งหมด ที่ได้วินิจฉัยยกคำร้องไปส่งอัยการสูงสุดภายใน 30 วัน แล้วอัยการสูงสุดจะพิจารณา ถ้าอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง เรื่องไปต่อ ฟ้องได้ ถ้าอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ผู้เสียหายมีสิทธิ์ที่จะฟ้องได้โดยตรง คือยังไงคดีต้องไปถึงศาล ไม่ตัดสิทธิ์ ไม่อย่างนั้นสภาพที่มันเป็น มันไม่มีการถ่วงดุล ป.ป.ช. เสมือนหนึ่งมีอำนาจสูงสุด คือหมายความว่าถ้ายกคำร้องแล้วศาลก็ไม่มีสิทธิ์พิจารณา ตัดสินจบได้ที่ ป.ป.ช. เลยด้วยซ้ำ การถ่วงดุลในกระบวนการยุติธรรมมันไม่มีและไม่เกิด
ก็จะทำแบบนี้และจะเขียนลงไปด้วยว่า หากในกรณีความใดๆ ที่มีทหารเป็นองค์ประกอบหรือเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ก็ให้ผู้เสียหายสามารถที่จะฟ้องคดีทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและทหารไปในศาลเดียวกันได้เลย ก็ขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกันเป็นพวงล่ะครับทีนี้
ยกตัวอย่างในคดีความที่ฝ่ายบริหารคือฝ่ายการเมืองเป็นจำเลย บางคดีเวลาเขาฟ้อง เขาฟ้องติดข้าราชการไปด้วย ติดภาคเอกชนไปด้วย ในข้อหาว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือกระทำการทุจริต ถูกไหมครับ แต่ในชั้นนี้ถ้าข้าราชการที่ว่าเป็นทหารฟ้องเขาไม่ได้อีก ต้องไปศาลทหารอีก ทีนี้ไอ้ที่แก้ ผมแก้เอาอย่างนี้เลยนะ แก้ว่าถ้ามันเป็นเรื่องเดียวกันมันก็ต้องไปด้วยกันเป็นพวง ซึ่งวันนี้วันที่เราคุยกันคือวันที่ 19 พฤษภาคม พอดี เดี๋ยวผมก็จะเผยแพร่ร่างกฎหมายฉบับนี้ แล้วผมก็เตรียมประสานงานกับ ส.ส. ไว้ 30 รายชื่อแล้ว เดี๋ยวให้เขาตั้งรัฐบาลกันเสร็จก่อน เราจะไปยื่นตอนนี้ก็ไม่ใช่ที่ เขากำลังตั้งรัฐบาลกันอยู่ ให้เขาเปิดสภา ให้เขาอะไรกันก่อน เราทำทันที แล้วก็จะเรียกร้องให้รัฐบาลเอาเป็นเรื่องเร่งด่วน 100 วันแรก เหมือนกับกฎหมายหลายๆ ฉบับที่เขาประกาศมา เรื่องนี้ก็เร่งด่วนเหมือนกัน ไม่ด่วนได้อย่างไร คนรอมา 10 กว่าปีแล้ว และถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นเป็นเรื่องเร่งด่วนใน 100 วันแรก ก็คาดว่าประชาชน ญาติผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นผู้เสียหายโดยตรงน่าจะได้ฟ้องศาลภายใน 6 เดือนแรกของรัฐบาลชุดนี้ นี่คือสิ่งที่ผมกำลังทำ ส่วนว่าท่านอื่นๆ จะมีแนวทางอื่นใดอีก อันนี้ยินดีหนุนเสริมกันไปหลายๆ ทาง และร่างกฎหมายที่ผมจะเผยแพร่วันนี้ก็จะหมายเหตุไว้ว่าหากผู้รู้ท่านใดมีข้อสังเกตมีข้อชี้แนะร่างนี้มันชัดเจนครอบคลุมรัดกุมมากขึ้น ก็น้อมรับด้วยความยินดี ผมมองว่าปรับแก้ได้ ยังมีเวลากว่าที่เขาจะเปิดสภา
ถามว่าทำไมต้องรีบ หนึ่ง เหตุการณ์มัน 10 กว่าปีแล้วต้องรีบ สอง ก็คือว่าในทัศนะผมๆ เห็นว่าสถานการณ์ทางการเมือง ณ วินาทีนี้ มันมีเงาทะมึนของความขัดแย้งและวิกฤตใหญ่รออยู่ และหากมันเกิดวิกฤตใหญ่คราวนี้ผมว่าสุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีการใช้กำลังกับประชาชน เพราะสถานการณ์มันแหลมคมมาก การเผชิญหน้ากันขณะนี้มิติมันลึกซึ้งมาก แล้วมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ดังนั้นรีบผลักดันให้เกิดกฎหมายฉบับนี้ให้บังคับใช้อย่างน้อยที่สุดก็จะเป็นหลักประกันความปลอดภัยขั้นต้นให้ประชาชน ว่าผู้มีอำนาจไหนก็ตาม รัฐบาลรักษาการชุดนี้ก็เถอะ ถ้าคุณจะออกคำสั่งจนประชาชนบาดเจ็บล้มตายใช้กำลังกับประชาชน มันมีช่องฟ้องนะ แต่ก่อนเขาลำพองใจว่าฟ้องเขาไม่ได้ ทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ว่าผมจะพยายามทำให้มันเกิดหลักประกันขึ้นมาก่อน ส่วนว่าอย่างที่เรียนว่าท่านอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ องค์กรอื่นๆ จะมีแนวทางหนุนเสริมมันก็ทำด้วยกัน ช่วยด้วยกันอยู่แล้ว
หลังการเลือกตั้งเสร็จ คุณวางบทบาทตัวเองอย่างไร
ที่จริงพอเขาตั้งรัฐบาลกันได้ ก็ว่าจะอยู่บ้านนะ คือตอนหาเสียงอยู่ก็บอกกับพรรคพวกอยู่ว่าเดี๋ยวถ้าเพื่อไทยชนะแลนด์สไลด์หรือว่าได้อันดับหนึ่ง จะสไลด์หรือไม่ก็ตามแล้วก็เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราก็กลับบ้าน เพราะผมเป็นตำแหน่งอะไรกับเขาไม่ได้ เป็น ส.ส. ก็ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรี ก็ไม่ได้ (ณัฐวุฒิถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี จากกรณีถูกจำคุกจากคำพิพากษาศาลฎีกา คดีบุกบ้าน พลเอก เปรม ติณสูลานนท์) แล้วก็ในบัญชีรายชื่อในเขตต่างๆ ของเพื่อไทย ก็ไม่ได้มีญาติโกโหติกาผม ไม่ได้มีครอบครัวผมอยู่ในนั้น แล้วเรื่องคดีเสื้อแดงก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำ อื่นๆ ก็อาจจะทำธุรกิจทำอะไรกับทางบ้าน แล้วก็ถ้าการเมืองมันไปได้ดีไปได้ราบรื่นเราก็เป็นฝ่ายสนับสนุนไป มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์ก็ทำ คิดพื้นฐานไว้แบบนี้ แต่ตอนนี้พอผลการเลือกตั้งมันออกมาแบบนี้ มันทำท่าว่าจะต้องมีงานเพิ่ม เพราะว่ามันเกิดกลายเป็นความรับผิดชอบ เราก็โตแล้ว และพรรคเพื่อไทยเป็นบ้านผม คือผมไม่ได้หมายความว่าแม้จะผิดหวังเจ็บแค้นที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นอันดับสอง ไม่ใช่ แต่มันเป็นความรับผิดชอบ
เมื่อผมรู้สึกว่ามันเป็นบ้าน มันจึงประกอบด้วยญาติมิตรพี่น้องผมอยู่ในนั้น มันมีทั้งคนที่ผมรักและคนที่รักผมรวมกันอยู่ในนั้น แล้วมันก็ยังมีดอกผลใหม่ๆ คนหนุ่มคนสาวมากมาย ที่เขาหอบความฝันเอามากองรวมกันอยู่ในพรรค ทีนี้ถ้ามันเป็นช่วงเวลาของความรุ่งโรจน์ ผมเดินออกมาผมจะเดินออกมาอย่างสบายใจ ผมไม่ได้ทิ้งใคร เพราะทุกคนกำลังสำเร็จ ทุกคนกำลังอยู่ท่ามกลางชัยชนะ แล้วก็กำลังเฉลิมฉลองยินดีกับมัน บางคนอาจจะไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าผมเดินออกมาแล้ว แต่ว่าตอนนี้ผมเห็นสายตาหลายคนที่มองผมคืนนั้นผมว่าผมทิ้งไปไม่ได้อีก
ผมก็คงต้องพยายามสรุปบทเรียนถอดบทเรียนร่วมกันกับพี่เพื่อนน้องที่เป็นคีย์แมนต่างๆ ในการทำงาน แล้วก็พยายามจะทำให้พรรคเพื่อไทยลุกขึ้นมาอีกครั้ง เป็นความหวังของประชาชน ใช้ศักยภาพ ใช้ผลงาน ใช้นโยบายแก้ปัญหาให้กับประชาชนให้ได้ อันนี้ที่คิดไว้นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าพอเอาเข้าจริงๆ สรุปไปสรุปมาคนในพรรคอาจจะมองว่าผมเป็นตัวปัญหาขอให้พักผ่อน ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็จะถอยออกมา ไม่ได้ยึดติดอะไร เพราะว่าไม่มีเดิมพันตำแหน่งอะไรในทางการเมืองอยู่แล้ว มันเป็นพันธะทางใจล้วนๆ คือมันไม่เคยเดินทิ้งใครในวันที่เขาเจ็บหรือเขาลำบาก แต่ว่าถ้าวันชื่นคืนสุขผมก็เดินออกมา
ภาพทั้งหมดจากแฟนเพจณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ