สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน บอกว่า เขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนมัธยมรัตนบุรีวิทยา (รบ.) มีผลการเรียนเป็นอันดับหนึ่ง ชื่อและนามสกุล “บำรุง บุญปัญญา” ถูกเขียนไว้ประดับบอร์ด เป็นเกียรติประวัติเชิดหน้าชูตาของรุ่น ซึ่งแม้จะห่างกัน 2-3 ชั้นปี แต่ชื่อของบำรุง ก็ยังได้ยินถึงหูของสุรชัย
การเป็นคนเรียนดีโดยพื้นฐานทำให้แม้ออกจากบ้านหนองผำ อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ไปสู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ยังได้เกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาปฐพีวิทยา คณะกสิกรรมและสัตวบาล (กสบ.)
ปี 2511 เขาทำงานในตำแหน่งนักสำรวจที่ดิน ของกรมพัฒนาที่ดิน จากนั้นปี 2513 ได้เข้าไปทำงานกับ ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ นักเศรษฐศาสตร์ชั้นครูของประเทศ กับตำแหน่ง “บูรณากร” ของมูลนิธิบูรณชนบท กระทั่งปี 2514 เขาได้รับทุนจาก British Council ไปเรียนต่อระดับปริญญาโท ด้านการพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัย Reading ประเทศอังกฤษ
ด้วยความรู้เชิงวิชาการและทักษะที่มี หากเอาไม้บรรทัดของคนทั่วไปมาขึง เราอาจจินตนาการได้เพียงปราดเดียวว่า เส้นทางในการประกอบอาชีพจะเติบโตได้ไม่ยากนักหากเลือกรับราชการหรือทำงานเอกชน แต่ บำรุง บุญปัญญา เลือกเส้นทางที่ยิ่งใหญ่กว่าด้วยการทำงานยืนข้างประชาชน แน่นอนว่าตำแหน่งสูงสุดของประชาชนไม่ใช่อื่นใด แต่คือ “ประชาชน” เท่ากัน
ใบหน้าของ “บำรุง บุญปัญญา” กลายเป็นสัญลักษณ์ของ NGO ไทย ที่ไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของขบวนการภาคประชาชนก็มักจะอ้างถึง “ลุงเปี๊ยก” ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หากย้อนกลับไปขณะเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะพบบทบาทที่มากกว่าการเป็น NGO เต็มขั้นคือการเป็นผู้เริ่มต้นทำ “ค่ายอาสาพัฒนา” ที่นิสิตนักศึกษาสถาบันต่างๆ ทำสืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น
ความเป็นลาว ความเป็นอีสาน
ความสนใจด้านงานอาสาพัฒนาของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้นมีมานานแล้ว เท่าที่มีการบันทึกพบว่าจุดเริ่มต้นของงานค่ายมีมาตั้งแต่ปี 2498 ในชื่อ “เกษตรชมรม” หรือ “เกษตรฟอรั่ม” แต่การสร้างรูปแบบของงานค่ายอย่างจริงจังเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีให้หลังโดยตัวตั้งตัวตีคือ บำรุง บุญปัญญา
“ยุคนั้นเราเรียกกันว่า ยุคการถามหาความหมายของชีวิต จุดเริ่มต้นมาจากกระแสวิพากษ์ของนิสิตนักศึกษาที่ตั้งคำถามต่อการเรียนที่ทำกันอยู่เฉพาะในห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งเรามองว่ามันดักดาน ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะออกไปเรียนรู้สิ่งอื่นๆ นอกห้องเรียน ผมเองก็เป็นส่วนหนึ่งของกระแส รู้ว่ามีงานอบรมสัมมนาที่ไหน ก็ไปร่วมหมด ชอบไปนั่งฟัง”
บำรุงรับแนวคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนทางปัญญามาจากสมาคมนิสิตนักศึกษาสัมมนา ขณะที่สารตั้งต้นของการทำค่ายอาสาพัฒนามาจากทั้งคำดูถูกความเป็นอีสาน เก็บความกดดันของความเป็นลาวมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม กับวิธีการจ่ายค่าปรับสำหรับการพูดภาษาลาวในโรงเรียน กอปรกับความท้าทายในงานพัฒนาชนบท
แรกทีเดียวบำรุงจึงพยายามจะตั้งชมรมอีสานเพื่อรวมกลุ่มนิสิตกลับไปทำค่ายพัฒนาท้องถิ่น จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม แต่เขาบอกว่า “ไปไม่รอด” จึงเปลี่ยนความคิดมาทำค่ายรวมโดยไม่แบ่งภูมิภาคหรือถิ่นกำเนิดในนามกลุ่มนิสิตอาสาสมัคร องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งก่อตัวในช่วงกลางปี 2509
“ผมเป็นประธานก่อตั้ง โดยมีกิจกรรม 2 ประเภทคือ สำรวจค่ายว่าจะไปที่ไหน อย่างไร อีกกิจกรรมคือการทำงานภายใน จะหาตังค์ที่ไหนไปทำค่าย”
แน่นอนว่าในทัศนะของเขาแล้ว การออกค่ายเพื่อก่อสร้างวัตถุบางประการไม่อาจนำไปสู่ความเข้าใจสภาพสังคมอย่างแท้จริง
“กิจกรรมช่วงนั้นก็เน้นการสร้างโรงเรียนเป็นหลัก ส่วนการจะคิดอ่านเรื่องอื่น เช่น เยี่ยมบ้าน ศึกษาปัญหาชาวบ้าน ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับผู้นำค่ายที่เข้มแข็งเรื่องนี้ก็จะได้ทำ และได้รู้จักชีวิต ถ้าค่ายไหนยินดีกับความสำเร็จทางวัตถุ (สร้างอาคารเรียน) ก็ไม่ได้เรื่อง”
18 คน เริ่มต้น
บำรุง บุญปัญญา คือนิสิตเกษตรศาสตร์ ผู้เป็นประธานก่อตั้งค่ายอาสาฯ แม้แนวคิดของการพัฒนาและกระบวนการทำงานจะเป็นรูปแบบชัดแจ้งเพียงใด มีการรวมกลุ่มผู้สนใจ เผยแพร่แนวคิด ทำเอกสารชี้แจง ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ที่ปรึกษา กระทั่งมีคนที่สนใจพอสมควร แต่เมื่อถึงขั้นต้องสมัครสมาชิกกลับติดปัญหาที่นิสิตต้องไปฝึกงานภาคสนามที่ไร่ฝึกต่างๆ ของมหาวิทยาลัยในช่วงการเรียนภาคฤดูร้อน (summer)
“ผมไปยื่นใบสมัครที่สโมสรภาษาอังกฤษ ซึ่งขณะนั้นพี่เปี๊ยกเป็นรองประธานสโมสรฯประมาณเดือนมกราคมปี 2510 และหลังจากที่ได้คุยหลักการกับพี่เปี๊ยกแล้ว ผมจึงทราบว่าผมเป็นสมาชิกคนเดียวของค่ายอาสาพัฒนาในขณะนั้น ทั้งๆ ที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือนก็จะเปิดภาคอยู่แล้ว” บางถ้อยคำบนจดหมายของสุเมธ ถูกบันทึกไว้ที่ ku-volunteer.com
ที่สุดสมาชิก 18 คนของค่ายอาสาประกอบไปด้วยชาย 13 คน หญิง 5 คน ในจำนวนผู้หญิงทั้งหมดนั้นมาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 3 คน ส่วนอีก 2 คนเป็นนักเรียนโรงเรียนสตรีวิทยา ทั้งหมดไม่จำเป็นต้องผ่านการคัดเลือกตามกระบวนการที่ตั้งไว้ เพราะด้วยจำนวนผู้สมัครน้อยกว่าที่ต้องการ ดังนั้นเพียงแสดงเจตนาค่ายอาสาฯ ก็พร้อมรับมาร่วมกิจกรรมทันที
แต่การเริ่มต้นก็ทำให้ได้เริ่มต้น ปีเดียวกันนั้น กิจกรรมค่ายในนามกลุ่มนิสิตอาสาสมัครออกปฏิบัติงานครั้งแรกที่หมู่บ้านป่าก่อ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี จากนั้นคือบ้านคำพอก อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
ภาพจาก ku-volunteer.com
อาสาที่ขาดความพร้อม
ฝันคือค่ายจะซ่อมสร้างถาวรวัตถุ เช่น อาคารเรียน สะพาน ถนน บ่อ และเสริมสร้างความคิดด้านสัตวบาล พืชศาสตร์ ปฐพีวิทยา รวมทั้งเผยแพร่งานวิชาการด้านเกษตร ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ให้กับประชาชน
แต่ความฝันกับความจริงไม่สัมพันธ์กัน จำนวนคนน้อยแต่มีเจตนาทำค่าย 2 แห่งต่อเนื่องกัน ระยะทางจากบ้านป่าก่อถึงบ้านคำพอกเกือบ 400 กิโลเมตร และต้องไม่ลืมเงื่อนไขการเดินทางของปี 2510
วิธีการสำรวจค่ายถูกนำมาใช้โดยแบ่งนิสิตส่วนหนึ่งไปยังสถานที่ทำค่าย เพื่อศึกษาความต้องการของพื้นที่ ออกแบบค่ายร่วมกัน และเตรียมสิ่งของที่จำเป็นตั้งแต่อุปกรณ์การเรียน ยาสามัญประจำบ้าน อุปกรณ์ก่อสร้าง และเอกสารเผยแพร่แนวคิดด้านเกษตรกรรม
เมื่อถึงคราวทำงาน บรรยากาศโดยรวมมีความอบอุ่นเป็นกันเองก็จริง แต่อุปสรรคสำคัญของการเริ่มต้นคือ สิ่งที่เตรียมไว้ไม่ดีพอ การปฐมนิเทศที่วางเอาไว้ไม่ได้ผล เพราะคนที่มาทำค่ายไม่ได้เข้าร่วมฟังตั้งแต่ต้น ฝ่ายสำรวจไม่ได้ออกปฏิบัติงานค่ายอย่างต่อเนื่อง อุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น กบไสไม้ ก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงความชำนาญในการใช้อุปกรณ์ของนิสิตนักศึกษา ที่มากกว่านั้นคือชาวบ้านไม่เข้าใจว่าค่ายอาสาฯ คืออะไร จึงไม่ได้ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร
แต่ดอกผลในแง่งามที่ชาวค่ายสรุปกันก็คือ ค่ายอาสาฯ ทำให้นิสิตนักศึกษาได้เห็นสภาพความเป็นจริงของชนบท ได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นว่าชาวไร่ชาวนาต้องเผชิญกับอะไร และคิดต่ออีกว่าจะทำอย่างไรให้กสิกรได้รับการยกระดับชีวิตที่ดีกว่านี้


จากพี่เปี๊ยก ถึงลุงเปี๊ยก
หลังจบการศึกษา นอกจากทำงานให้กับมูลนิธิบูรณชนบท โดย ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ 2 วาระ ทั้งก่อนหน้าไปเรียนที่อังกฤษและหลังจากกลับจากเมืองผู้ดี จากนั้นทำงานเป็นผู้ประสานงานให้กับองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศ Asian Cultural Forum on Development Foundation (ACFOD) หรือสภาวัฒนธรรมเอเชีย เริ่มกลับสู่ที่ราบสูงอย่างเต็มตัวอีกครั้ง และปักหลักบนผืนดินผู้ให้กำเนิดเรื่อยมา
“หลังจากอยู่ที่มูลนิธิบูรณชนบทได้สัก 5-6 ปี ก็กลับมาอีสาน ปัญหานี่นะ ถ้าเอาตามรัฐบาลว่าก็เรื่องน้ำ (หัวเราะ) เขาอ้างว่ามันทำให้เกิดความล้าหลังทางการผลิต ไอ้วาทกรรมเรื่องขาดน้ำนี่แหละเป็นที่มาของการสร้างเขื่อน สร้างกันเยอะแยะไปหมด ซึ่งตอนนี้ก็เห็นแล้วมันไม่ตอบโจทย์ แถมยังต้องมานั่งแก้เรื่องน้ำท่วมกันอีก
“ก็ทำมั่งกินเหล้ามั่ง (หัวเราะ) เมื่อก่อนนี้องค์กรมันไม่ใหญ่มาก ทุกคนต้องอยู่กับชุมชน เวลาประชุมงานก็คุยกันให้เสร็จ ได้ข้อสรุปแล้วก็ไปคุยกับชาวบ้านต่อ เป็นลักษณะของการให้ความรู้ ช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา คือที่สำคัญต้อง “ไปกิน-ไปอยู่” มันถึงจะเห็นปัญหาถึงจะเข้าใจปัญหา”
บำรุง เล่าถึงบรรยากาศช่วงแรกในฐานะนักพัฒนาอีสาน ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นวิทยากร กระบวนกร นักฝึกอบรมสำหรับโครงการวิจัยต่างๆ รวมถึงเป็นหลักคิดให้กับการเคลื่อนไหวภาคประชาชน
สนั่น ชูสกุล นักคิด นักเขียน และนักกิจกรรมผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ว่า บำรุงคือโค้ชของนักพัฒนา ที่คอยให้คำปรึกษาทางยุทธศาสตร์ให้กับ NGO ในกิจกรรมที่ยังอยู่ในเครื่องหมายคำถามแห่งความสงสัยและลังเล บำรุง จะเดินนำหน้าผองเพื่อนและพี่น้องเสมอ
“ในขบวนของนักพัฒนา ทั้งในองค์กรพัฒนาเอกชนและผู้นำชุมชนในภาคอีสาน เขาจะเข้าไปร่วมวงประชุมรอบสำคัญ ฟังการพูดคุยและแลกเปลี่ยนให้ข้อคิด เชื่อมโยงเรื่องราวจากรูปธรรมสู่นามธรรม จากประสบการณ์สังเคราะห์เป็นหลักการเป็นแนวคิด ทำให้วงประชุมเกิดความคิดที่แหลมคมและกำหนดทิศทางไปข้างหน้าได้อย่างมีพลังทุกครั้ง
“นอกวงประชุม เขาพร้อมที่จะนั่งสนทนาข้ามคืนข้ามวันกับนักพัฒนาทุกรุ่น ฟังเรื่องราวทุกเหตุการณ์โดยไม่รู้จักเบื่อ และไม่เคยเหนื่อยหน่ายที่จะแสดงความคิดความเห็น ผู้ร่วมวงจะได้รับฟังถ้อยคำที่เต็มไปด้วยแนวคิดและปรัชญา โดยที่ไม่รู้สึกว่าถูกสั่งสอนหรือกำลังรับคำปรึกษา แต่จะได้อะไรไปมากมายจากการร่วมวงสนทนากับเขา
“ตั้งแต่เขากลับมาจากการทำงานที่กรุงเทพฯ และต่างประเทศ มาปักหลักอยู่ในภาคอีสานเมื่อ 30 ปีก่อน ไม่ปรากฏว่าเขาจะทำงานสังกัดหรือรับค่าตอบแทนจากองค์กรใดหนึ่ง แต่การทำงานทางความคิดของเขาเองดังที่กล่าวมาก็สามารถหล่อเลี้ยงเขาให้ยังชีพอยู่ได้แบบพอรอดตัว”
เรื่องเล่าของสนั่น เป็นน้ำเสียงเดียวกันกับนักพัฒนารุ่นหลานที่ต่างกล่าวถึงบำรุง หรือ “ลุงเปี๊ยก” ในฐานะผู้อาวุโสที่คอยหนุนหลังพี่น้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่เว้นกระทั่งวงล้อมของการดื่มกิน


NGO ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับสังคมนี้
หลังการเกิดเครือข่าย “คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน” (กป.อพช.อีสาน) ในปี 2528 การถกเถียงแลกเปลี่ยน สร้างองค์ความรู้ และเชื่อมนักพัมนาอย่างมียุทธวิธี นำมาสู่การเกิดยุทธศาสตร์ 4 มุมเมือง ซึ่งประกาศร่วมกันในการประชุมสมัชชาองค์กรพัฒนาเอกชนภาคปีสาน ปี 2533 โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวนำมาสู่การดึงเครือข่าย NGO ที่กระจัดกระจายมาสู่การเคลื่อนไหวร่วม 4 ประเด็น คือ
- การคิดค้นส่งเสริมทางเลือกอาชีพที่เหมาะสมกับนิเวศและภูมิปัญญาของชุมชนอีสาน
- การสนับสนุนการรวมตัวของชุมชนเป็นองค์กรและสร้างเครือข่ายเพื่อสร้างการระดมทุน การสร้างสวัสดิการ การทำธุรกิจชุมชน การต่อรองกับรัฐและตลาด
- การร่วมกับชุมชนในการพิทักษ์ ปกป้อง ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
- การสร้างความร่วมมือกับกลุ่มพลังทางการเมืองอื่นในการเคลื่อนไหวการแก้ปัญหาของชาว ชุมชนอีสาน เช่น สถาบันวิชาการ พรรคการเมือง ภาคธุรกิจ เป็นต้น
การดึงความฝันของผู้คนที่กระจัดกระจายมาเคลื่อนไหวร่วมกันนี้ทำให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ของขบวนการ NGO อีสานหลายสิบองค์กร มีการตั้งเครือข่ายป่านที่ดินอีสาน เครือข่ายผู้เดือดร้อนจากการสร้างเขื่อน เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกอีสาน เครือข่ายผู้หญิงอีสาน เครือข่ายธุรกิจชุมชน และเครือข่ายที่เคลื่อนไหวรายกรณี เช่น ราคาสินค้าเกษตร โครงการโคอีสานเขียว โครงการส่งเสริมการปลูกมะม่วงหิมพานต์ ฯลฯ กระทั่งเครือข่ายรายประเด็นเหล่านี้รวมกลุ่มกันในนามสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน (สกย.อ.) ในปี 2534
ศ.ดร.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา นักเศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า บำรุง บุญปัญญา คือผู้ก่อเกิดแนวคิดวัฒนธรรมชุมชน เป็นนักคิดที่ทำให้สังคมไทยเข้าใจว่า แกนกลางสำคัญของวัฒนธรรมไทยคือความเป็นชุมชน ความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นแบบระหว่างสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน ความเป็นครอบครัวนี้เองที่ขยายวงกว้างออกเป็นเครือข่าย นั่นทำให้ความเข้มแข็งและเข้มเข้นทางสังคมนี้มีลักษณะเป็นอิสระระหว่างกัน แต่มีเจตนารมย์เป็นหนึ่งเดียวกับส่วนรวม
ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ เลขาธิการมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (P-Net) บอกว่า ภายนอกที่เห็นเสื้อผ้าอันเปื้อนเปรอะ เบื้องหลังคือการใช้ชีวิตภายใต้อุดมการณ์ต้านทุนนิยม และพยายามใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้น้อยที่สุด กลมกลืนกับธรรมชาติให้มากที่สุด เป็นตัวอย่างของความตั้งมั่นในการใช้ชีวิตอย่างสมถะทว่ารักษาอุดมการณ์อย่างแข็งแกร่ง
“ภายนอกเรามักจะเห็นพี่ใส่เสื้อผ้ามอมๆ ในชุดเดิมๆ แต่ภายในพี่เปี๊ยกเป็นคนรักความสะอาด และเป็นระเบียบ หากแต่ต้องการเป็นตัวอย่างของการใช้วิถีชีวิตที่เรียบง่าย เพราะยังมีผู้คนยากจนขัดสนจำนวนมาก พี่เปี๊ยก เป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตที่หาไม่ได้แล้วในสังคมยุคนี้ เป็นหนทางที่พี่เลือกและยึดมั่นอย่างจริงจัง แม้ว่าต้องแลกกับอะไรหลายอย่างที่ผู้คนสมัยนี้ให้มีคุณค่า
“ครั้งหนึ่งเจอพี่เปี๊ยกในงานแห่งหนึ่ง ถามพี่เปี๊ยกว่า พี่เดินทางมาอย่างไร พี่เปี๊ยกตอบว่า โบกรถ ขอโดยสารเขามา รู้ทั้งรู้ว่าแค่พี่เปี๊ยกเอ๋ยปาก บรรดาน้องๆ ย่อมยินดีให้บริการ นี่คืออดีตนักศึกษาเกียรตินิยม ที่ได้ไปสัมผัสชีวิตแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากต่างแดนมาหลายต่อหลายประเทศ เป็นปัญญาชนที่เลือกใช้ชีวิต ที่ผู้คนในสังคม ตราว่าเป็น “ชีวิตอนาถา” “ยาจก” เลือกที่จะกบฎทวนกระแสสิ่งปลอมๆ ที่สังคมให้คุณค่า
“พี่เปี๊ยกยังเป็นกบฎที่รู้คุณ มิใช่เพียงรู้คุณธรรมชาติ แต่กับบิดามารดา ญาติพี่น้อง จำได้ว่า ครั้งหนึ่ง พี่เปี๊ยกสละเนื้อเยื่อบนต้นขาทั้งแถบทั้งสองขา เพื่อให้มารดาใช้รักษาแผลไฟไหม้ เป็นเวลานานกว่าจะรักษาแผลที่ต้นขาถูกถลกหนังออกให้หายสนิท
“พี่เปี๊ยกยังเป็นพี่ที่คอยสอนสั่ง นำทาง พยายามทำตัวเป็นแบบอย่าง แม้หลายครั้งไม่ได้ดังใจ หงุดหงิด อารมณ์เสียใส่ แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า พี่เปี๊ยกเป็นคนละเอียดอ่อน อ่อนไหวต่างจากที่เห็นภายนอก”
ผศ.จรัล ดิษฐาอภิชัย นักกิจกรรมทางการเมือง อดีตอาจารย์ภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่ไปร่วมค่ายอาสาฯ ครั้งแรกที่ จ.อุบลราชธานี และเคยร่วมกับบำรุงตั้งสภากาแฟ (ขณะนั้นบำรุงอยู่ปี 3 และเป็นประธานสโมสรภาษาอังกฤษ) อันเป็นพื้นที่บ่มเพาะทางปัญญาของนักกิจกรรม จรัลบอกว่า บำรุงคือครูทางการเมืองคนแรกๆ ของตน
สิ่งที่จรัล ดิษฐาอภิชัย พูดสอดคล้องกับสิ่งที่นักพัฒนาคนอื่นๆ คิด บำรุง บุญปัญญา คือโค้ชในสายตาของสนั่น ชูสกุล เป็นต้นธารทางความคิดในสายตาของฉัตรทิพย์ นาถสุภา เป็นพี่ในสายตาของลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ และเป็นหลักยึดของนักกิจกรรมทั้งเก่าใหม่ของประเทศนี้
หากพูดถึงโรงเรียนนักพัฒนา ครูใหญ่ของสถาบันการศึกษาย่อมหนีไม่พ้น “ลุงเปี๊ยก” กระนั้นเมื่อถามว่า NGO ยังสำคัญอยู่หรือไม่ในสังคมนี้ บำรุงตอบสั้นๆ ว่า “ไม่ได้จำเป็น แต่ต้องมี” และเมื่อถามว่าอะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้ยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ เขาตอบว่า “ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ศรัทธามั้ง”
บำรุง บุญปัญญา เกิดเมื่อ 2 พฤษภาคม 2488 ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนที่ จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2566 เสียชีวิตด้วยวัย 77 ปี กำหนดฌาปนกิจวันที่ 25 มีนาคม 2566
อ้างอิง