โดย บูรพา เล็กล้วนงาม
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข้าพเจ้าเพิ่งมีโอกาสฟังผลงานเพลง Koisuru Fortune Cookie คุกกี้เสี่ยงทาย ของเกิร์ลกรุ๊ปที่มีสมาชิกทั้งหมด 29 คน ผ่านทางเว็บไซต์ยูทิวบ์
นักร้องกลุ่มดังกล่าวมีชื่อวงว่า BNK48 (บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต) ซึ่งเป็นกลุ่มนักร้องไอดอลที่จัดตั้งขึ้นตามกลุ่มนักร้องไอดอลต้นแบบที่ประเทศญี่ปุ่นที่ชื่อว่า ABK48 นอกจากจะมีวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ประเทศไทยแล้ว ABK 48 ยังมีสาขาที่อื่น ได้แก่ ไต้หวัน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
วง BNK48 นำทำนองเพลงญี่ปุ่นมาร้องเป็นภาษาไทย ส่วนการเข้าเป็นสมาชิกวง BNK48 ใช้วิธีการประกวดคัดเลือก (Audition) ด้วยการแสดงความสามารถต่อคณะกรรมการ
ปลายปีที่แล้ว เกิร์ลกรุ๊ปวงนี้ยังได้เป็นบุคคลแห่งปีของว๊อยซ์ทีวี โดยมีผลคะแนนออกเสียง ร้อยละ 58
ที่กล่าวถึงวง BNK48 ก็เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า สังคมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทนรุ่นเก่าอยู่เสมอ วงการดนตรีมีนักร้องหน้าใหม่เข้ามาทดแทนนักร้องหน้าเก่าด้วยวิธีการใหม่ คือ การออดิชั่น เช่นเดียวกับแฟชั่น เทคโนโลยี และทุกสิ่ง ที่ผันเปลี่ยนตลอดเวลา จึงไม่ผิดนัก หากจะกล่าวว่าประเทศไทยรวมถึงโลกใบนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยพลังของสิ่งใหม่
แต่สำหรับวงการการเมืองไทย เกิดปรากฎการณ์ที่ผิดปกติมาสิบกว่าปี นับจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มาถึงการรัฐประหารครั้งล่าสุด โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เพราะการยึดอำนาจการปกครองโดยกองทัพเป็นสิ่งที่ล้าสมัย เนื่องจากปัจจุบันในโลกนี้มีเพียง 2 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ ไทยกับซิมบับเว ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหาร
แต่การปกครองของไทยมีความย้อนแย้ง เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือ ฉบับปัจจุบัน และรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) ปี 2557 หรือ ฉบับที่แล้ว บัญญัติว่าประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ผู้มีอำนาจการปกครองคือ คสช. ไม่ได้มาจากการเลืิอกตั้ง
การปกครองโดย คสช. ยังเป็นการเหนี่ยวรั้งการก้าวเดินของประเทศไทย ด้วยการรวบอำนาจทางการเมืองให้กลับมาอยู่ที่คนกลุ่มน้อย นำโดยกองทัพและรัฐราชการ แทนที่จะเปิดกว้างด้านสิทธิเสรีภาพเพื่อทุกคนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศเช่นกันสามารถกำหนดอนาคตของตัวเองได้
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคืิอ คสช.ยังกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ซึ่งเท่ากับเป็นการกำหนดอนาคตของประเทศจากความคิดอ่านของคนรุ่นเก่า ซึ่งล้วนอยู่ในวัยเกษียณอายุราชการให้คนรุ่นใหม่คนหนุ่มต้องปฏิบัติตาม สิ่งนี้มีความชอบธรรมต่อประชากรของประเทศหรือไม่
มีคำถามง่ายๆ คือ คนรุ่นเก่าที่นำโดย คสช. จะทราบได้อย่างไรว่า ในอนาคตจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนและมีปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย อาทิ
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ก่อนการยึดอำนาจจะมีใครทราบหรือไม่ว่า วงเกิร์ลกรุ๊ปแบบญี่ปุ่นอย่าง BNK48 จะมีชื่อเสียงในประเทศไทยและหลายประเทศในแถบเอเชีย เนื่องจากในเวลานั้นกระแส K-POP (เกาหลีใต้) กำลังมาแรง
กรณี “ลำใย ไหทองคำ” นักร้องสาวชื่อดังที่ถูกนายกรัฐมนตรีตำหนิเรื่องการแสดงบนเวที เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่คาดเดาได้ยาก ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครคิดว่า เพลงลูกทุ่งท่วงทำนองสนุกสนานที่มีเนื้อร้องภาษาไทยภาคกลางปนกับภาษาอีสานจะได้รับความนิยมกว้างขวางไปทั่วประเทศ
นี่เป็นเพียงแค่ 2 ตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่า การคาดการณ์อนาคตไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ยิ่งถ้าเป็นการวางแผนล่วงหน้าภายใต้การชี้นำของ คสช. ซึ่งไม่มีความคิดที่ทันสมัยเป็นที่ประจักษ์ ก็ยิ่งทำให้ยากที่จะประสบความสำเร็จ
การคาดเดาอนาคตไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ คสช. จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
คิดดูง่ายๆ ขนาดโครงการไทยแลนด์ 4.0 ที่เป็นโครงการแห่งความทันสมัยของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังยอมรับเลยว่า ไม่มีงบประมาณเพื่อการต่อยอด ในทางตรงกันข้าม งบประมาณด้านกลาโหมกลับเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ไม่มีวี่แววว่าจะมีการใช้กำลังทหารในภูมิภาค การจัดสรรงบประมาณเช่นนี้สะท้อนถึงการไม่สนใจต่อโลกวันข้างหน้าของ คสช. อย่างชัดเจน
แล้วจะให้คนเจนแซต (Generation Z – คนที่เกิดหลัง ค.ศ. 2000 หรือ พ.ศ. 2543) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เกิดมาพร้อมดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย หรือ เป็นคนรุ่นเดียวกับสมาชิกวง BNK48 ต้องใช้ชีวิตในวันข้างหน้าตามแนวทางที่ คสช. ซึ่งเป็นคนเจนบี (เกิด พ.ศ. 2489 – 2507) กำหนดไว้อีกหรือ คนเจนแซตคิดถึงอนาคตเองไม่เป็นหรืออย่างไร (สมาชิก BNK48 มาจากความสามารถ ส่วนสมาชิก คสช. มาจากการยึดอำนาจ)
ขณะเดียวกัน การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติยังดำเนินอยู่ต่อไป สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นต่อยุทธศาสตร์ชาติเบื้องต้นใน 4 ภูมิภาค เริ่มต้นที่ จ.ขอนแก่น ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่า ยิ่งปล่อยให้ คสช. ปกครองต่อนานเท่าไหร่ การวางยุทธศาสตร์ชาติยิ่งมีข้อผูกมัดมากขึ้นเท่านั้น นั่นเท่ากับเป็นการสร้างความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ
การไม่ยอมจากไปของ คสช. แสดงให้เห็นผ่านหลายกรณี
กรณีแรกคือ ความพยายามของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในการยืดเวลาบังคับใช้กฎหมายเลือกตั้งออกไป 90 วัน ซึ่งจะส่งผลให้การเลือกตั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ประกาศว่า จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 นั้น ต้องเลื่อนออกไป โดย สนช. จะนัดประชุมในวันที่ 25 มกราคมนี้
กรณีต่อมา เกิดเหตุเมื่อวันที่ 23 มกราคมนี้ พ.ท.ภูษิต คล้ายหิรัญ ผู้บังคับกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 4 ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้แจ้งความร้องทุกข์ข้อหาชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนขึ้นไป ขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ต่อผู้จัดกิจกรรม “We Walk เดินมิตรภาพ” จำนวน 8 คน นำโดยนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ และนายอนุสรณ์ อุณโณ กรณีนี้บ่งบอกได้ว่า คสช. ไม่เปิดกว้างให้ภาคส่วนต่างๆ ใช้เสรีภาพในการเคลื่อนไหว
เมื่อสิ่งเก่าต้องการทนอยู่ต่อไปจึงส่งผลให้อนาคตที่ไร้ความหวังของประเทศยังตกอยู่ในการควบคุมของสิ่งเก่าต่อ สิ่งใหม่จึงต้องออกแรงปะทะมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทำให้อนาคตของประเทศกลับมาสู่มือประชาชนอีกครั้ง