ในวัยเด็ก ผมหัดจำภาษาเขมรผ่านคำพูดของคุณยายทวดและคุณยายของผม ต้นตระกูลของเรามาจากสกุล “อสิพงษ์” ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่อาศัยอยู่เขตอำเภอขุขันธ์ อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ มาอย่างยาวนาน
ถ้าไล่เรียงลำดับจากจุดเริ่มต้น ตระกูลนี้น่าจะมาจากตำบลพิมาย ตำบลดองกำเม็ด บ้านหนองยาว บ้านขาม และบ้านระหาร และกระจายออกไปตั้งหลักแหล่งในหลายอำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอื่นๆ
ส่วนคุณตาเป็นคนลาว มีพื้นเพมาจากอำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ เล่ากันว่าย้ายหลักแหล่งมาอาศัยอยู่ในเขตอำเภอปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โดยหมู่บ้านใกล้เคียงกันของคุณตาเป็นหมู่บ้านคนลาวสำเนียงศรีสะเกษ
ต่อมาคุณยายแต่งงานกับคุณตา ทั้งสองจึงย้ายมาปักหลักทำมาหากินชายแดนไทย-กัมพูชา กิ่งอำเภอภูสิงห์ ก่อนหน้าเป็นอำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
บ้านผมห่างจากชายแดนไทย-กัมพูชาราวยี่สิบกิโลเมตร มีเทือกเขาพนมดงรักเป็นเส้นสันปันน้ำแบ่งเขตประเทศ ขนานอยู่ระหว่างจังหวัดอุดรมีชัย และจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา ส่วนฝั่งไทยติดกับอำเภอภูสิงห์ อำเภอขุนหาร อำเภอกันทรลักษ์ ของจังหวัดศรีสะเกษ
การข้ามฝั่งไปมาระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ดูเหมือนเป็นเรื่องต้องระมัดระวังมาโดยตลอด
ผมมักได้ยินกรอกหูว่า พื้นที่ชายแดนเป็นพื้นที่สีแดง ซึ่งถือเป็นมายาคติที่รัฐส่วนกลางสร้างขึ้น คุณลองนึกภาพชายแดนจากสื่อต่างๆ ที่บอกว่า เป็นพื้นที่ขนยาเสพติด เป็นบ่อนการพนัน เป็นจุดบริการทางเพศ เป็นปัญหาความขัดแย้งทางเขตแดนไม่จบสิ้น ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเลวร้ายเกือบทั้งสิ้น
ที่จริงแล้วคนในพื้นที่ไม่ได้มีความขัดแย้ง ทุกคนใช้ชีวิตไปมาหาสู่ตามแนวชายแดนมาโดยตลอด ในช่วงปี 2530-2540 คุณตาเล่าว่า ตนประกอบอาชีพค้าขายอยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างช่วงสงครามเขมรแดง คนเขมรนับพันต้องลี้ภัยส่งครามข้ามมายังฝังไทย คนฝั่งไทยก็ช่วยเหลือหาข้าวปลาอาหารให้ หรือช่วงฤดูฝนชาวบ้านแถบนั้นเข้าป่าหาของป่าบนเทือกเขาพนมดงรัก อย่างมากเดินหลงเข้าไปยังในประเทศเพื่อนบ้าน พอทหารกัมพูชาเจอหรือชาวบ้านเขมรเจอก็พาเรากลับออกมาอย่างปลอดภัย
แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมมักถูกทำให้เห็นภาพเหล่านั้นเลวร้าย สิ่งที่ไม่ดีมักเกิดขึ้นจากเขต หรือแนวพรมแดนมาโดยตลอด ทั้งนี้ด้วยเสียงของคนในพื้นที่ชายแดน มองว่าชายแดนคือพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ เช่นเดียวกันกับเรื่องภาษา
ช่วงต้นปี 2561 ผมมีโอกาสได้ไปอยู่กัมพูชา การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การเมืองกับคนพนมเปญ ดูเหมือนจะเป็นสารตั้งต้นให้กลับมาทบทวนรากเหง้าทางชาติพันธุ์ของตัวเองมากพอสมควร
เราพูดคุยถึงภาษาเขมร รวมถึงระดับภาษาของคนแถบจังหวัดอุดรมีชัย – พระวิหาร – เสียมเรียบ ซึ่งเป็นภาษาโบราณของคนนครวัด -นครธม ถือเป็นภาษาเก่าคล้ายกับคนแถบชายแดนเทือกเขาพนมดงรักบ้านผม สำเนียงภาษาพูดส่วนใหญ่เหมือนกันมาก ช่วงเข้ามาทำงานอยู่จังหวัดเสียมเรียบทำให้ผมได้สื่อสารกับคนที่นั่นเข้าใจมากกว่าที่พนมเปญ
คําศัพท์บางคำใช้เหมือนกันกับคนสุรินทร์มาก เช่น คำว่า “ออกุลเจริญ” แปลว่า “ขอบคุณ” คนเขมรพูดเวลาขอบคุณว่า “ออกุล-เฉญ” ไม่ได้พูดเต็ม “ออ-กุล-จะ-เริน” เหมือนทางสุรินทร์ จึงไม่แปลกที่คนพนมเปญจะฟังไม่ออก ส่วนชาวบ้านในเสียมเรียบบางส่วนยังสื่อสารภาษาแบบเก่าที่สำเนียงใกล้เคียงกับคนเขมรฝั่งไทย
คนพนมเปญเรียกกลุ่มคนแถบที่ราบสูงอีสานว่า “เขมรสุรินทร์” ผมถูกเรียกในฐานะเขมรสุริทร์ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เขมรที่ราบสูงเหนือเทือกเขาพนมดงรัก ผมคือคนเขมรฝั่งไทย ความแตกต่างของภาษาเขมรในที่ราบสูงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยไม่สามารถใช้สื่อสารกับคนที่พนมเปญได้ทุกคำ
ถามว่าเขาฟังออกไหม สำหรับคนเขมรที่อายุมากก็อาจพอเข้าใจแต่สำหรับคนในวัยเดียวกันกับผมเขาฟังแทบไม่เข้าใจ เพราะใช้คนละคำกัน คนรุ่นใหม่ในพนมเปญ เช่น คุณกิม เพื่อนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพนมเปญ เขาไม่สามารถฟังสำเนียงเขมรสุริทร์ออกเลย โดยเขาบอกว่าภาษาเขมรสมัยใหม่ถูกทางการกัมพูชาตัด (ภาษาเก่า) ออกไปเพื่อให้ภาษามีเอกลักษณ์และใช้สื่อสารที่เป็นทางการมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น คนสุรินทร์พูด คำว่า “มัน-เมียน-สตางค์” หมายถึง “ไม่มีเงิน” คนอีสานใต้หลายจังหวัดจะเข้าใจ แต่คนพนมเปญจะพูดต่างออกไป คือ “อ๋อต-เมียน-โลย” ถือว่า ต่างกันมาก แต่ความหมายเดียวกัน ถามว่าเขาเข้าใจไหมก็เข้าใจ
การเปลี่ยนแปลงของภาษาเขมรสุรินทร์ คนอีสานใต้หลายจังหวัด ผมไม่ทราบว่าเขาปรับใช้ภาษาเขมรกับภาษาไทยตอนไหน ศัพท์เก่าแก่หายไปไหน เด็กรุ่นใหม่พูดกันมากน้อยแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ต้องกลับไปรื้อฟื้นความที่มาของภาษาเขมรที่ราบสูงฝั่งไทยต่อไป
สำหรับผมแล้ว เลือกใช้ภาษาลาวเป็นพื้น (ภาษาหลัก) เช่นเดียวกันเด็กรุ่นใหม่ในหมู่บ้านเขมร บ้านลาว บ้านส่วย ต้องเลือกใช้ภาษาไทยเป็นพื้นฐาน เพราะต้องใช้ในโรงเรียนและป้องกันการเหยียดชาติพันธุ์ว่าเป็นเขมร เป็นลาว เป็นกุย เป็นส่วย เป็นต้น ที่สำคัญโรงเรียนไม่อนุญาตให้พูดสื่อสารในห้องเรียนเลย นี่คือข้อสำคัญ
ผมตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงวัยเด็ก ตอนที่ไปบ้านเกิดของยาย เธอจะสื่อสารแต่ภาษาเขมรอย่างเดียว อาจเป็นเพราะเติบโตในครอบครัวคนเขมร ใช้ภาษาลาวเป็นภาษาที่สอง ท่านจึงพูดกรอกหูผมเป็นภาษาเขมรอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านต้องการให้ผมซึมซับภาษาเขมร และคุณยายไม่เคยพูดภาษาไทยเลย
ด้วยความที่ผมเป็นลูกผสมเขมรบ่นลาว เติบโตในหมู่บ้านที่พูดภาษาลาว การพูดลาวจึงมาจากสภาพแวดล้อม ผมต้องฟังภาษาเขมร ฟังภาษาลาว และฟังภาษาไทยออก ทุกวันนี้ผมพูดภาษาไทยชัดกว่าภาษาต้นฉบับชาติพันธุ์เสียอีก
การขยายพื้นที่ทางวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ต่างๆ ในอีสานใต้เป็นสิ่งที่ธรรมดาเอามากๆ วัฒนธรรมกับชาติพันธุ์อยู่ใกล้กันมาก แต่ไม่เหมือนกัน คนเขมรเรียนรู้ฮีตสิบสองคองสิบสี่ของคนลาว คนลาวเรียนรู้งานบุญ งานเซนโฏนตาของเขมร คนแต่ละลุ่มน้ำเรียนรู้ แลกเปลี่ยน แต่งงาน เคลื่อนย้านอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ดีงาม ทำให้เห็นว่าชาติพันธุ์มีความหลากหลายและสามารถอยู่ด้วยกันได้ การข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ทำให้เราต้องเลือกภาษาในการสื่อสารได้ คนรุ่นแม่สามารถฟังออกทั้งสองภาษา เช่น คนเขมรแต่งงานกับเขยส่วย ลูกของเขาก็พูดได้ทั้งภาษาพ่อ ภาษาแม่ พอมาถึงรุ่นผมกลับแทบฟังไม่ออกกันแล้ว
ปัญหาต่อมาของคนรุ่นผม คือ การห้ามสื่อสารภาษาถิ่นในโรงเรียน ซึ่งการห้ามพูดภาษาถิ่น ดูเหมือนจะเป็นเฉพาะในห้องเรียนวิชาภาษาไทยเท่านั้น
เมื่อการห้ามพูดภาษาถิ่นในห้องเรียนถูกห้าม นักเรียนส่วนใหญ่จึงต้องหัดเรียนภาษาไทยและหัดสื่อสารภาษาไทย ลูกคนลาวลิ้นแข็งอย่างผม มักจะถูกครูล้ออยู่บ่อยครั้งว่า “ลูกลาวลิ้นแข็ง” ต้องผันลิ้นให้ถูกระหว่าง “ร” กับ “ล” แต่สำหรับเพื่อนผมที่เป็นลูกคนเขมรเวลาพูด “ร” กับ “ล” มักจะผันลิ้นได้ยาวและลื่นปากมาก นี่คือความแตกต่าง พอลูกคนเขมรผันลิ้นได้ลื่นปากครูก็ล้อต่อไปอีกว่า “โกนขะแม”
ช่วงวัยเด็กผมรู้สึกว่าการพูดภาษาไทยเป็นเรื่องแปลกมากและยากต่อการเรียน ยิ่งพอกลับบ้านแล้วต้องพูดไทยกับครอบครัวยิ่งแปลกไปใหญ่ เพราะผมสื่อสารภาษาไทยกับคนในครอบครัวไม่ได้ อาจเป็นความอายและแปลกถ้าจะให้พูด ทุกวันนี้ผมสื่อสารภาษาลาวกับคนในครอบครัว
หากแต่เพื่อนสมัยมัธยมฯ บางคนยังใช้ภาษาเขมรสื่อสาร ครูบางคนสื่อสารภาษาเขมรในโรงเรียน ตอนนี้ผมแทบไม่ได้ยินภาษาเขมร ภาษาลาวในโรงเรียนแล้ว นอกเสียจากการพูดคุยเล่นกัน
การใช้ภาษาถิ่นจึงเป็นข้อได้เปรียบทางการเรียนรู้อย่างหนึ่งของระบบการศึกษา สามารถใช้เป็นต้นทุนต่อยอดการสื่อสารกับคนในประเทศเพื่อนบ้านได้
ไม่ว่าจะเป็นภาษาในภูมิภาคใดก็ตาม หากได้รับการสนับสนุนจากสถานศึกษาหรือนโยบายของรัฐ แล้วส่งเสริมสนับสนุนให้ภาษาถิ่นเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับคนในชุมชน เพราะภาษาถิ่นเป็นความงดงาม แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดน
ภาษายังบอกรากเหง้าและที่มาที่ไปของชาติพันธุ์ตัวเอง ถือว่ามีคุณค่าและควรจัดเก็บเป็นสมบัติทุกคน สิ่งที่งดงามและยังคงรากของผู้คน คือภาษา วัฒนธรรมความเป็นมาของเราเอง การเล่าเรื่องของเรา พูดภาษาของเรา เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเรา นี่คือสิ่งที่งดงามกว่าอื่นใด
ภาษา วัฒนธรรมเป็นสิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงรากเหง้าที่มาที่ไปของชาติพันธุ์ตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง ต่างจากการบอกว่าเราคือ “เป็นคนไทย”
การที่ผมได้กลับมาทบทวนที่มาที่ไปของตัวเอง ทำให้การออกไปค้นหาเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาดูง่ายขึ้น เพราะภาษาเชื่อมร้อยความสัมพันธ์ไม่จบสิ้น โดยเฉพาะบนโลกสมัยใหม่ที่พรมแดนยังเป็นเรื่องต้องห้าม
ตอนที่ 2 ผมจะพาผู้อ่านไปติดตามเรื่องราวตลอด 4 เดือนในการใช้ชีวิตกับคนในสลัมที่พนมเปญ ประเทศกัมพูชาผ่านภาพถ่าย