[การโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 1]

น่าแปลก ที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ ส.ว. บางคน ประกาศว่า การโหวตนายกจะปิดสวิชต์ตัวเอง โดยการงดออกเสียง หรือกระทั่งบางคนหนีประชุมรัฐสภา

มันออกจะดูเป็นตลกร้าย ไม่ว่าจะมองผ่านแว่น หรือมุมมองด้านใดก็ตามแต่ หากมองในแว่นของคณิตศาสตร์การเมือง จะเห็นว่าสมการนี้มีเพียง 2 ตัวเลือกเท่านั้น คือ “Yes” or “No” นั่นคือ การโหวต “เห็นชอบ” นายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร กับ “ไม่เห็นชอบ”

การงดออกเสียง ไม่ใช่การปิดสวิชต์ตัวเอง แต่เป็นการผลักดันสถานการณ์การเมืองให้ไปสู่ทางตัน

รัฐธรรมนูญมาตรา 272 วรรคหนึ่ง ระบุว่า

ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา 159 เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

จะเห็นได้ว่า ต้องมีมติ “เห็นชอบ” มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ของทั้งสองสภา ดังนั้นในโจทย์ข้อนี้ จะมีเพียง 2 เซตเท่านั้น  คือ เห็นชอบ (A) และอีกเซตคือ ตรงข้ามกับเห็นชอบ (A’)

จะไม่มีการแบ่งเป็น เซตเห็นชอบ  เซตไม่เห็นชอบ เซตงดออกเสียง เซตไม่มาประชุม  เพราะทั้งหมดจะถูกพิจารณาเพียงเสียงของการเห็นชอบเท่านั้น ในเอกภพสัมพัทธ์ (จำนวนทั้งหมด) 

ดังนั้น  ไม่เห็นชอบ = งดออกเสียง = ไม่มาประชุม

หากึ่งหนึ่ง

การหาจำนวนของกึ่งหนึ่ง (ครึ่งหนึ่ง) คือการนำจำนวนทั้งหมด (ส.ส. + ส.ว.) มาหารด้วย 2

จะเห็นว่า จำนวน ส.ส. 500 + จำนวน ส.ว. 250 คน เมื่อหารหากึ่งหนึ่งจะได้ 375 มากกว่ากึ่งหนึ่งคือ 376 เสียง ดังนั้นทุกจำนวนจะถูกนับเป็นจำนวนของตัวเศษ ยิ่งจำนวน ส.ส. และ ส.ว. มากเท่าไร จำนวนกึ่งหนึ่งก็มากเท่านั้น ในทางกลับกัน หากจำนวนน้อยลง กึ่งหนึ่งก็น้อยลงเท่านั้น  หาก ส.ว. ลาออกจำนวน 127 คน เสียงของ 8 พรรคร่วม 312 เสียง ก็สามารถตั้งรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบันได้

ผลการโหวตเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พบว่า

 ส.ส.ส.ว.รวม
เห็นชอบ31113324
ไม่เห็นชอบ14834182
งดออกเสียง40159199
ไม่มาประชุม14344
รวม500249749

ดังนั้น หากเสียงของฝ่าย ส.ว. ที่งดออกเสียง และไม่มาประชุม ที่มีจำนวน 202 คน  ลาออกจำนวน 127 คน หรือ 63%  การเลือกนายกรัฐมนตรี ก็สามารถจบได้ในครั้งเดียว จำนวน ส.ว. ที่ยังคงอยู่ในตำแหน่ง มีผลต่อการคำนวณหากึ่งหนึ่งของการโหวต

สุดท้าย ทางเลือกของเหล่า ส.ว. ผู้ทรงเกียรติ มีเพียง 3 ทาง คือ

1. กล้าประกาศต่อหน้าประชาชน ว่า “เห็นชอบ” หรือ “ไม่เห็นชอบ” ต่อนายกรัฐมนตรีที่มาจากเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับฉันทามติ มาจากการเลือกตั้งของประชาชน  ไม่ต้องเป็นอีแอบ แสร้งวางตัวเป็นกลางโดยการ งดออกเสียง

2. ลาออก เพราะการลาออกมีผลต่อจำนวน กึ่งหนึ่ง ของรัฐสภา

3. ยกมือสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ตัดอำนาจ ส.ว. ในการโหวตเลือกนายก

[การโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2]

วันที่ 21 สิงหาคม พรรคเพื่อไทยแถลงตั้งรัฐบาล ประกอบด้วย 11 พรรคการเมืองจำนวน 314 เสียง ข้อเท็จจริงกรณีก็คือ

1. เสียง ส.ว. ยังคงมีผลต่อการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องการเสียงอีกจำนวน 61 เสียง เพื่อให้ได้ 375 เสียง (กึ่งหนึ่งของรัฐสภา)

2. การตั้งรัฐบาลในครั้งแรก ที่นำโดยพรรคก้าวไกล ประกอบด้วย 8 พรรคการเมือง จำนวน 312 เสียง ซึ่งน้อยกว่าการตั้งรัฐบาลโดยเพื่อไทยเป็นแกนนำเพียง 2 เสียงเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยมาก

แต่พรรคเพื่อไทยมีความมั่นใจว่า ส.ว. จะโหวตรับรองให้ ซึ่งก็เป็นที่จับตาท่าทีของ ส.ว. ต่อการโหวตในครั้งนี้ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด จะปิดสวิชต์ตัวเองโดยการงดออกเสียง หรือจะโหวตรับรองโดยให้เหตุผลเรื่องการเคารพเสียงของสภาผู้แทนราษฎร (ที่สวนทางกับการโหวตในครั้งแรก)

สุดท้ายแล้ว “การงดออกเสียง” ในทางคณิตศาสตร์เท่ากับ “การไม่รับรอง” แต่การงดออกเสียงในมิติทางการเมือง มันคือเกมส์ของการแย่งชิงอำนาจ การที่เราไม่มีรัฐบาลหลังการเลือกตั้งกว่า 3 เดือน สะท้อนได้ดีว่า สมการนี้ถูกวางไว้หลายชั้น และตัวแปรภายนอกมีน้ำหนักในการตัดสินชี้ขาดมากกว่าตัวแปรภายใน

image_pdfimage_print