“นี่ล่ะพี่น้องตอนหาเสียงกะไปเว้าอีกจั่งหนึ่ง 

ได้มาแล้วพัดมาเว้าจังซี่ มันอัปปรีย์คักน้อแม่

นับมื้อเสื่อม นับมื้อแย่ สนใจแค่เก้าอี้ซาวบ้านกะซ่างหัว 

ตั๋วจังได๋กะได้ดอกซาวไฮซาวนา 

นับประสาหยังคนจนสิไปซามันคักแท้ 

ขอแค่เพียงได้อำนาจขอแค่เพียงขึ้นคองเมืองได้เป็นใหญ่”

(ลำใส่แคน มหกรรมคนต้มคนระดับชาติ)

อัฐ – จิรายุ สูตรไชย หรือที่รู้จักในนามของ ‘หมอลำก้องศิลป์ฟ้าล่วงบน’ ชายสูงโปร่งผมยาวในเสื้อพื้นบ้านสีเข้ม ท่อนล่างนุ่งผ้าโสร่งสีสดในวัย 31 ปี ได้กล่าวกับเราอย่างออกรสเมื่อเริ่มบทสนทนาถึงสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันและความหมายการมีอยู่ของหมอลำในความเห็นของเขา สีหน้าเคร่งขรึมสลับกับร้อยยิ้มแบบกวนๆ เล่าไปถึงชีวิตที่มีอยู่เพื่อสืบสานงานศิลปะเยี่ยงไทบ้านปุถชนธรรมดา การเป็นผู้บอกเล่าทั้งความสนุกสนานชีวิตและความฮักของหนุ่มสาวเปี่ยมอารมณ์ขัน แต่กระนั้นก็เคล้าน้ำเสียงความเศร้าของคนสามัญ ที่คับแค้นต่อการกดขี่ของยุคสมัย สิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันปรากฏการณ์เพลงหมอลำอินดี้ที่ดำเนินยาวนานมากว่า 10  ปี หมอลำก้องศิลป์และวงกู่แคนสคูล กระดูกสันหลังของศิลปินลูกอีสาน ผู้ติดอาวุธทางปัญญาแก่สามัญชนด้วยพิณแคนและกลอนผญา เป็นดั่งสายแนนใจที่เชื่อมร้อยคนฮัก และคนไกลบ้านให้กลับแผ่นดินเกิดที่คิดถึง

ชายในร่างผอมเผยใบหน้ายิ้มกวน ค่อยๆ เสยผมจากลมแผ่วเบาที่พักมาปรกหน้า เขาตอบคำถามแรกด้วยท่าทางสบายที่ชวนให้รู้จักถึงเส้นทางชีวิตของหมอลำอินดี้ผู้มีคำร้องและทำนองกลอนลำอันเป็นเอกลักษณ์

นอกจากที่เกริ่นมาแล้ว ช่วยแนะนำตัวให้เรารู้จักคุณมากกว่าเดิมอีกสักหน่อย

สวัสดีครับ ผมหมอลำก้องศิลป์ ฟ้าล่วงบน หมอลำวงกู่แคน School ไทบ้านผู้สร้างงานศิลป์ พื้นเพเดิมของผมเป็นคน บ้านคำก้าว ต.ท่าศิลา อ.ส่องดาว จ.สกลนคร ในช่วงมหาลัยได้มีโอกาสมาเรียนที่มหาลัยขอนแก่น จริงๆ ตอนเด็กผมไม่ได้ฝันที่จะโตมาเป็นหมอลำแบบนี้หรอกนะ เมื่อก่อนความฝันตอนเด็กผมอยากเป็นพระ อยากบวชเหมือนท่าน เห็นแล้วเท่ดี ทุกวันนี้ทัศนะบางอย่างเราก็จะได้จากหลักคำสอนของทางพระพุทธศาสนา นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเป็นเราจนวันนี้

คุณเข้ามาเป็นหมอลำได้อย่างไร

จากเดิมผมเป็นนักดนตรี มีโอกาสได้ไปเเข่งขันหลายที่ตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว เพื่อเป็นการพรีเซนต์ตัวเองเราก็พูดผญา เราเป่าเครื่องดนตรีด้วย ครูเห็นวาทศิลป์ในการร้อง เลยได้ไปเรียนลำกับคนแก่อยู่แถวบ้านท่านชื่อ คุณตาเสาร์ เป็นหมอลำเก่า ผมอยากเรียนอยู่แล้วด้วย ตอนนั้นผมคิดแค่ว่าอย่างน้อยเราลำได้สัก 1-2 กลอน ในวงเหล้าก็คงจะเท่ดี แต่จุดเปลี่ยนคือตอนอยู่ ม.5 ก็ได้มีโอกาสไปประกวดหมอลำส่งเสริมประชาธิปไตย 4 ภาค สำนึกเรื่องการเมืองยังไม่เข้าหูเลยหรอกครับ ก็ร้องลำตามไปเนื้อเฉยๆ ในบทลำมันจะเน้นความสวยงามมากกว่าที่จะไปมองความผิดพลาดของระบบการเมือง แต่ก็เป็นจุดแรกที่ทำให้เราได้ลำแบบเป็นเรื่องเป็นราว ได้ไปลำได้ไปรู้ขนบรู้วิธีการ ได้ยกครูยกขันธ์

หมอลำฉบับก้องศิลป์ ต่างจากหมอลำคนอื่นอย่างไร

หมอลำในฉบับก้องศิลป์ คือหมอลำเป็นสื่อและเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร มีการเขียนกลอนลำแบบอิสระ จะต่างจากคนอื่นก็คือของเขาจะเป็นขนบ มีวิธีการ มีแบบมีแผนมีสัมผัสคือรูปแบบวิธีการเขียนให้มันตรงตามฉันทลักษณ์หรือตรงตามท่วงทำนอง แต่ว่าของผมจะเป็นสัมผัสอะไรก็ได้ที่เขียนไปแล้วคนเข้าใจ คนฟังเข้าใจ แล้วเราโอเค มันก็คือสัมผัสตัวเราเองนั่นเอง

สำหรับผมหมอลำเป็นผู้กระจายข่าวสารเป็นผู้ให้ข้อมูลกับพี่น้อง หมอลำสมัยก่อนจึงค่อนข้างที่จะเป็นอาชีพมีเกียรติและเป็นที่เคารพ เป็นที่รักเป็นที่ศรัทธาเป็นที่พึ่งของคนในสังคม คนอีสานโบราณเขาให้เกียรติหมอลำในฐานะนักปราชญ์คนที่มีความรู้ แต่ในปัจจุบันหมอลำเรามันเปลี่ยนไปตามยุคสมัย มันเปลี่ยนไปตามกระแสของโลกทุนนิยม มันก็เลยทำให้หมอลำจากเดิมที่เป็นเครื่องมือการต่อสู้หรือขัดขืนอำนาจรัฐ กลายเป็นผู้ที่ยินยอมกลายเป็นผู้ที่รับใช้สังคมในอีกบทบาทหนึ่ง กลายเป็นว่าเราให้แต่ความสนุกสนานเพลิดเพลิน แต่ส่วนที่เราเคยเป็นบรรพบุรุษส่วนหนึ่งมันก็สูญหายไปตามกาลเวลาจึงลืมไปเลยว่าตัวเองคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางอุดมการณ์

แล้วรู้สึกว่าการเป็นหมอลำมันให้คุณค่ากับชีวิตตัวเองและผู้ฟังอย่างไร

มันทำให้เราได้คิดและไม่ว่างจากการใช้สมอง อย่างน้อยก็ได้คิดกลอนลำข้อดีทำให้ไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้เราได้ระบายสิ่งที่เราอยากจะพูด ได้เขียนในสิ่งที่เราอยากจะเขียน ไม่ว่าจะเป็นนิทานก็ดี หรือว่าจะเป็นการเสียดสีสังคมก็ดี หรือว่าจะเป็นเพลงก็ดี มันก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง เหมือนเด็กๆ ที่นั่งวาดรูป แต่ของพี่เป็นการเขียนเรื่องราวในจินตนาการ อาจจะมีความดุดันบ้างในกลอนลำ หรืออาจจะมีความจัญไรไฟไหม้บ้าง ตลกทะเล้นตามประสา หรืออาจจะเป็นดราม่าเศร้าก็มี บางทีอาจจะเป็นบทเพลงหวานซึ้งโรแมนติก มันก็เป็นงานศิลปะ เราก็เลยเรียกตัวเองว่าไทบ้านผู้สร้างงานศิลป์มันช่วยจรรโลงเรา มันจรรโลงจิตใจของเรา มันจรรโลงความรู้สึกของเรา นี่คือสิ่งที่เราได้จากงานศิลป์ของเราที่เราสร้าง งานศิลปะของเราที่เราสร้าง นั่นคือความสุขที่ได้รับ

ผมจะพยายามไม่ให้ตรรกะของตัวเองมันผิดเพี้ยน มักตรวจสอบกลอนลำของตัวเองว่ามันอยู่ในแนวทางที่ถูกที่ควร สามารถที่จะเป็นแรงบันดาลใจ หรือว่าจะเป็นข้อคติให้หลายๆ คน หรืออาจน้อยคนก็ได้ที่จะฉุกคิดได้บ้างจากงานศิลปะทั้งเราสร้าง นอกจากความบันเทิงที่ได้รับ นั่นคือความคาดหวังที่ผมมีต่อคนในสังคม

จุดที่ตัวเองอยู่ตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็นคนดังหรืออินฟลูเอ็นเซอร์หรือเปล่า

ไม่ครับ หลายคนพยายามจะให้ผมเป็นคนดัง แต่ผมจะบอกเขากลับกันเสมอว่าผมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เราเป็นคนเหมือนกัน คุณให้เกียรติผมๆ ขอบคุณมากๆ ต่อไปผมจะให้เกียรติคุณในฐานะที่คุณให้เกียรติผม เราจะให้เกียรติกันในฐานะมนุษย์ แค่ว่าผมเป็นมนุษย์ที่ร้องหมอลำได้ ผมไม่ได้เก่งกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ทุกคนจะเข้าใจว่าเราร้องเพลงได้ เราลำได้ เราแต่งกลอนลำได้แล้ว เราเก่ง มันไม่ใช่ ทุกคนเก่งไม่เหมือนกัน อย่าลืมว่าคุณก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับผม

แล้วการร้องหมอลำปกติที่มีการว่าจ้างไปตามงาน กับการเป็นหมอลำเพื่อการขับเคลื่อนประชาธิปไตยและการเมืองมันเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

มันก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะไปทางการเมืองหรือว่าจะไปตามงานทั่วไป สุดท้ายแล้วผมก็ลำที่เกี่ยวกับการเสียดสีสังคมเหมือนเดิม ก็จะมีบางงานเขาเขวี้ยงขวดขึ้นมาบ้าง จริงๆ ก็โยนไม่ถึงหรอก เพราะเขาแก่แล้วถือว่าไม่อันตรายมาก โยนขวดมาก็ไม่ถึงเวทีหรอก หลังจากยายคนนั้นเขวี้ยงขวดมา ก็มีตาคนหนึ่งโวยวายเพราะไม่ชอบ เขาว่าผมลำด่าประยุทธ์ ก็เลยพูดใส่ไมค์กลับไปว่า เขาจ้างผมมาลำ แล้วผมลำแบบนี้ ผมไปลำที่ไหนผมก็ลำแบบนี้อยู่แล้ว แล้วไอ้คนนั้นก็ไม่ได้วิเศษวิโสที่ผมจะด่ามันไม่ได้ ผมกำลังด่าคนชั่ว แล้วผมไปลำที่ไหนผมก็จะด่ามัน เขาก็ส่ายหัว ว่าไม่เอาๆ แต่สุดท้ายเขาก็มาฟ้อนด้วย ฟ้อนทั้งที่ไม่ชอบ นั่นมันหมายถึงว่าดนตรีเรามีคุณภาพ เราทำให้คนที่ขนาดว่าไม่ชอบยังอดฟ้อนไม่ได้ ทั้งฟ้อนทั้งเกลียด

หมอลำก้องศิลป์คิดว่าหมอลำให้อะไรกับสังคม

ส่วนมากมันให้ความบันเทิง ให้ความสมานแผลใจในส่วนที่ขาดหายไปของหลายคน อาจจะมีคู่จิ้น อย่างเช่น หมอลำ แอน-บอย ให้คนได้จั๊กจี้ ได้มาทำกุ๊กๆ กิ๊กๆในรูปแบบหมอลำสไตล์คู่จิ้นที่ให้ความบันเทิงแบบสนุกสนานหลากหลายกันไป ในอีกส่วนหนึ่งคือส่วนอนุรักษ์ มันมีเยอะในทางการอนุรักษ์รักษาขนบ หรือส่วนแบบแปลกๆ มันก็มีเหมือนกัน หมอลำให้อะไรกับสังคมก็ให้ได้หลายบทบาท เพราะว่าสังคมขาดเสียงเพลงไม่ได้ แม้การสู้รบกันก็ยังขาดดนตรีไม่ได้  ดนตรีมันเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของคนอยู่แล้ว เรามันปฏิเสธไม่ได้ว่าคนบ้านเรามันไปอยู่ทุกซอกทุกมุม 

ศิลปะกับดนตรีมันเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดมากและเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับผู้คนด้วย มันเป็นสิ่งที่ให้เขาเห็นเลย รู้เลยว่า แม่ง คนอีสาน เห็นเลยรู้เลยว่า อ๋อ นี่คือดนตรีอีสาน นี่คือภาพวาดรูปแต้มของอีสาน นี่คือสไตล์วิธีชีวิตของคนอีสาน หมอลำเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของเสียงคนอีสาน เป็นตัวแทนการต่อสู้ ทั้งมีความท้อแท้ ความน้อยเนื้อต่ำ ความเคียดแค้น ความขมขื่น ความระทมขมขื่น ความเจ็บปวด ความอัดอั้นตันใจ ความเศร้า ความโศกโศกา ความสนุกสนานต่างๆ มันอยู่ในอันเดียวแล้ว หมอลำรวมให้หมดแล้ว

ฟังแบบนี้ดูเหมือนคุณรักการฟังลำ รักการร้องมาก ถามเล่นๆ ว่าถ้าเอาเงินสัก 10 ล้านมากองไว้ แล้วให้เลิกเป็นหมอลำ จะเลือกอะไร

ไปตั้งแต่ 5 ล้านแล้ว…ผมพูดเล่นนะ (หัวเราะ)

แล้วความฝันสูงสุดของชีวิตหมอลำคนนี้คืออะไร

คือการได้เห็นประเทศนี้ เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น เห็นผู้คนในสังคมนี้มีทัศนคติเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น

หากได้พรวิเศษข้อหนึ่งในการทำอะไรก็ได้ จะทำอะไร

ผมอยากบวช

มันก็ไม่ใช่พรวิเศษนี่ หรือว่าสถานะตอนนี้คือบวชไม่ได้?

บวชไม่ได้หรอก จิตใจเราไม่พร้อม สภาพการเมืองมันไม่พร้อม เราไปบวชเราก็ไปร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เหมือนเดิม อยากเห็นสิ่งที่มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นน่าจะสบายใจ เอาจริงๆ ลึกๆ อยากบวช แต่ถ้ามีพรวิเศษอยากจะเอาอะไรสักข้อหนึ่งนั้น “พิธาเป็นนายกฯ

ขอให้พูดถึง 3 คนโปรดที่เป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้มาเป็นหมอลำมีใครบ้าง

นอกจากอาจารย์ของผม อาจารย์เสาร์ โพธิราช แล้ว ผมมักจะเอาผู้ที่มีชื่อเสียงมาพูดให้พี่น้องฟังเสมอ หมอลำที่มีชื่อเสียงที่ผมชอบเบอร์หนึ่งคือ ทองคำ เพ็งดี เพราะ กลอนลำเป็นคำที่มีความอัศจรรย์ วิจิตรและงดงาม เป็นคำดั้งเดิม ส่วน เคน ดาเหลา มักจะมีที่วิธีการคิดเสียดสีสังคมผ่านเรื่องเพศได้อย่างถึงพริกถึงขิงในการที่จะใช้คำขวานผ่าซาก แต่ไม่น่าเกลียด และสุดท้ายหมอลำอ่อนสี เหลาผา ชอบเพราะว่ามีความเป็นนักปราชญ์และความกวนๆ เช่นกลอนลำกลอนหนึ่งของแก ลำนกเข้ากอไผ่ ไล่ชื่อนกมาทุกชนิด แล้วลำนกออกกอไผ่แล้วก็จบ ผมได้แนวทางจากหมอลำชั้นครูเหล่านี้เยอะทีเดียวล่ะ

ในสายตาหมอลำก้องอยากให้หมอลำไปไกลที่สุดแค่ไหน

ในฐานะของเราเราก็หวังให้มันไปได้ไกลเพราะเราก็กำลังทำอยู่ เช่น เราเอาหมอลำไปอยู่ในจุดที่มันไม่เคยอยู่ จริงๆ หมอลำไปอยู่ในจุดที่ไม่เคยอยู่หลายแห่งมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่เราอย่าง เร็กเก้หรือไม่ว่าจะเป็นดนตรีอะคูสติก แจ๊ส หรือว่าจะเป็นพวกบลูส์พวกอะไรเขาก็ทำกันหมดแล้วนะ ไปอยู่ในเวทีเฮฟวีเมทัลก็มี มันสวยงามยอดเยี่ยมมากนะ ภาษาดนตรีมันเป็นภาษาที่ไม่ต้องเอาความหมาย มันเป็นความรู้สึก มันเป็นของที่ใช้ความรู้สึก ไม่ต้องการคำตอบต้องการแค่ความรู้สึก เพราะฉะนั้นแล้วเราถ่ายทอดความรู้สึกออกไป มันไม่ต้องมีภาษา

พอความไพเราะตรงนี้ มันไปประกอบกับความไพเราะของอีกวัฒนธรรมหนึ่ง มันก็เข้ากันโดยที่จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ ก็เลยมองว่าการที่นำหมอลำไปอยู่ในจุดที่มันไม่เคยอยู่ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้หมอลำ เป็นการกระจายฐานของวัฒนธรรมเรา ให้ไปอยู่กับอีกหลายๆ วัฒนธรรม

อะไรคือโมเมนต์ที่รู้สึกว่าจะเป็นหมอลำไปทั้งชีวิต

ผมไม่ได้คิดว่าอยากเป็นหมอลำตลอดชีวิตนะ หมอลำนี้มันเป็นแค่นามสมมติ เอาจริงๆผมก็เป็นแค่คนๆ หนึ่ง ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมากว่าตัวเองจะเป็นหมอลำไปตลอดชีวิต หรือว่าจะต้องมาอุทิศตนอุทิศอะไรให้หมอลำ หมอลำเป็นแค่สิ่งที่ผมรักและสิ่งที่เราถนัดเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคนธรรมดาที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะต้องบริหารเรื่องเหล่านี้ของตัวเองมาก แต่อย่างน้อยเรายังรู้ว่าขนบหรือว่าวิธีการของหมอลำ เราก็ยังรักษาไว้อยู่ ทางด้านจิตวิญญาณของผมหมอลำเรามันอยู่ในนี้เต็มร้อยอยู่แล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ต้องอย่าลืมว่าเราเป็นมนุษย์ธรรมดา

หมายเหตุ: งานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ชุด Isaan Influencers ผู้ส่งเสียงแห่งอีสาน บอกเล่าเรื่องราวในบ้านเฮา

image_pdfimage_print