มนุษย์เป็นสัตว์สังคมแต่ไหนแต่ไรมา แม้จะมีความเป็นปัจเจกในร่างกายและจิตใจที่ทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยลำพังอยู่ก็ตาม แต่ความเป็นปัจเจกนั้นก็ได้สร้างความผูกพันกันทางสังคมขึ้นตลอดวิวัฒนาการที่เนิ่นนานมาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จนทำให้เกิดโครงสร้างสังคมที่โยงใยสลับซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งก็ได้ส่งผลให้มนุษย์เป็นสัตว์การเมืองด้วยอีกสถานะหนึ่ง เพราะเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงได้ยากที่มนุษย์จำเป็นต้องสร้างสถาบันการเมืองขึ้นมาเพื่อสนับสนุนและค้ำจุนสถาบันทางสังคมให้พัฒนาไปข้างหน้า

ซึ่งในโลกสมัยใหม่ พัฒนาการทางสังคมและการเมืองแทบทุกประเทศบนโลกนี้ต่างอยู่บนครรลองของคุณค่าและหลักการสำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ เรา, ประชาชนในฐานะผู้ประกอบสร้างสังคมและการเมืองคือเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ที่มอบอำนาจให้ตัวแทนไปทำหน้าที่ในสถาบันสังคมและการเมืองที่ทุกๆ คนได้ยึดโยงและผูกพันกัน

เมื่อเรามอบอำนาจให้ตัวแทนไปทำหน้าที่ตามที่กล่าวไป เรา, ประชาชนนอกจากมีความเป็นปัจเจกแล้ว ก็ยังได้รวมตัวกันเป็น ‘กลุ่มพลังทางสังคม’ อีกสถานะหนึ่งด้วย เพื่อที่จะตรวจสอบ สอดส่อง ดูแล กำกับ ติดตาม ควบคุม เรียกร้องอำนาจของเราหรืออำนาจรัฐที่ตัวแทนเอาไปใช้ ว่าอำนาจของเราถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง มันถูกใช้ไปในทางที่ดีหรือเลวร้าย หรือกลับมากดขี่ข่มเหงเราที่เป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง

เมื่อเราพินิจพิจารณาอำนาจของเรา เราก็เห็นข้อเท็จจริงว่าเมื่อเรามอบอำนาจของเราไปให้ตัวแทน มันได้สร้างรัฐที่เป็น ‘โครงสร้างส่วนบน’ ขึ้นมา ส่วนเราประชาชนที่เป็นรากฐานของอำนาจและรากฐานของรัฐก็ไปสถิตอยู่ที่ ‘โครงสร้างส่วนล่าง’ ที่ต้องสัมพันธ์และยึดโยงกันกับรัฐตลอดเวลา

ในส่วนของประชาชนที่เป็นโครงสร้างส่วนล่าง นอกจากความเป็นปัจเจกที่อยู่ติดเนื้อติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดพร้อมๆ กับสิทธิและเสรีภาพแล้ว เราก็ยังรวมตัวกันเป็นกลุ่มพลังทางสังคมอีกด้วย เพื่อใช้สิทธิและเสรีภาพไปสร้างบทบาทและหน้าที่ตามที่กล่าวไป และในส่วนของกลุ่มพลังทางสังคมนี่เองก็มีโครงสร้างส่วนบนและล่างเช่นเดียวกัน ที่โครงสร้างส่วนบนของกลุ่มพลังทางสังคมคือกลุ่มคนที่ต่อสู้เรียกร้องในเรื่องเกี่ยวกับระบบการปกครองและกลไกต่างๆ ของการใช้อำนาจรัฐ เช่น การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในสถานการณ์ชุมนุมเคลื่อนไหวตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา เป็นต้น ที่โครงสร้างส่วนล่างของกลุ่มพลังทางสังคมคือกลุ่มคนที่ทำงานอยู่กับพื้นที่/กรณีปัญหาต่างๆ ทำการผลิตหรือทำการงานเพื่อเลี้ยงชีพในชีวิตประจำวัน ที่ต้องเจอหรือปะทะหรือต่อกรกับโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายที่เข้ามากระทบกับการดำเนินชีวิต จึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย และพยายามแสวงหาหรือนำเสนอทางเลือกในการพัฒนาที่ดีกว่าแทน

ซึ่งทั้งโครงสร้างส่วนบนและล่างของกลุ่มพลังทางสังคมมีความสัมพันธ์กันเหมือนเป็นกงล้อ พึ่งพาอาศัย ถ่ายทอด เชื่อมผสาน สัมพันธ์ เรียนรู้ ทำความเข้าใจทั้งสองส่วนไปด้วยกันตลอดมา โดยมีงานสองด้านที่ต้องทำไปด้วยกันเพื่อทำให้กลุ่มพลังทางสังคมมีพลังต่อสู้กับอำนาจรัฐมากยิ่งๆ ขึ้น ก็คือ ‘งานความคิด’ และ ‘งานเคลื่อนไหว’ ที่ไม่สามารถบกพร่องหรือลดทอนส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ถ้าบกพร่องก็คล้ายๆ กับจักรยานไม่มีโซ่ ต้องจูงเอา ไม่สามารถขี่ได้

แต่ความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ไม่ได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด ยังมีกลุ่ม/องค์กร/ขบวนประชาชนอีกมากที่ไม่ตระหนักในเรื่องนี้ เป็นเพียงแค่ ‘ประชาสังคม’ อันเป็นสถาบันทางสังคมที่เป็นส่วนขยายของรัฐเพื่อทำการครอบงำความคิดของ ‘กลุ่มพลังทางสังคม’ ไม่ให้มีพลังแย่งชิงหรือทำลายอิทธิพลทางความคิดหลักของสังคมที่เป็นของรัฐ เพื่อทำให้กลุ่มพลังทางสังคมอ่อนแอ หรือถูกขจัด หรือเกิดการสะดุด ติดขัด ผิดพลาดเป็นช่วงๆ

เหตุการณ์ระยะใกล้ในช่วงเวลาสิบกว่าปีของรัฐประหารสองครั้งที่ผ่านมา มีบทเรียนสำคัญเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่างที่สนับสนุนหรือเห็นด้วยกับเผด็จการรัฐประหาร ทำให้อำนาจอันแท้จริงของประชาชนเสียสมดุลอย่างรุนแรง จนบัดนี้ก็ยังเป็นบาดแผลเรื้อรังในสังคมและการเมืองไทย ซึ่งในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่โครงสร้างส่วนบนและล่างของกลุ่มพลังทางสังคมเรียนรู้ ซึมซับรับบทเรียนจนเปลี่ยนแปลงตนเองไปมาก ไม่ยอมให้ประชาสังคม เอ็นจีโอ นักวิชาการฉุดรั้ง จูงจมูกหรือชี้นำในหนทางผิดๆ อีกต่อไป และสร้างความสัมพันธ์ เชื่อมผสานความคิดและปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกันได้อย่างมีพลังในหลายสถานการณ์

โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่โครงสร้างส่วนล่างของกลุ่มพลังทางสังคมได้เรียนรู้และเข้าใจการเมืองอย่างก้าวกระโดด ด้วยความหวัง แม้จะอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของประชาธิปไตยจากน้ำมือของเผด็จการรัฐประหารและพวกประชาสังคม เอ็นจีโอ นักวิชาการที่เป็นส่วนขยายของรัฐที่พยายามแย่งชิงพื้นที่ทางความคิดก็ตามที

และในสถานการณ์การเมืองปัจจุบันก็มีเหตุการณ์ย้อนกลับ พรรคก้าวไกลที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จในการเสนอพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และไม่สามารถเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลได้อีกต่อไป จึงมอบให้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลแทน และหวังว่าก้าวไกลจะได้อยู่ในรัฐบาลที่นำโดยเพื่อไทยด้วย แต่เพื่อไทยกลับตระบัดสัตย์โดยเลือกจับมือกับพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหลายจัดตั้งรัฐบาลเมื่อ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา รวมทั้งพรรค 2 ลุง คือ พลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ ที่เพื่อไทยประกาศไว้ตอนหาเสียงว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคทั้งสองด้วย และผลักก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านนั้น ไม่มีใครมองไม่เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำของ ส.ว. แต่งตั้ง เพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากเพื่อไทยด้วย

แต่การวิพากษ์วิจารณ์และการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อโจมตีและกดดันเรียกร้องต่อเพื่อไทยไปพร้อมๆ กับโจมตี ส.ว. แต่งตั้งของกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่างดูเหมือนดังไม่พอ และไม่พยายามมากพอ เหมือนมีสิ่งติดขัดอะไรบางอย่างจนกลายเป็นมีท่าทีประนีประนอม

ในมุมมองของผู้เขียน ท่าทีประนีประนอมดังกล่าวมีสาเหตุอย่างน้อยสามข้อ ดังนี้

(1) แม้เพื่อไทยจะรวมกับพรรค 2 ลุง และพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่างๆ ผลักก้าวไกลที่เคยเป็นพันธมิตรฝ่ายประชาธิปไตยไปเป็นฝ่ายค้าน ยอมตระบัดสัตย์จากที่หาเสียงไว้ ก็ยังเป็นสิ่งที่อยู่ในครรลอง เพราะอย่างน้อยก็ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่เสียหายแต่พอยอมรับได้ แม้จะกล้ำกลืนฝืนทนก็ตาม ดีกว่าดื้อรั้นทนจับมือกับก้าวไกลต่อไปแล้วตั้งรัฐบาลไม่ได้ เกิดสุญญากาศขึ้นในช่วงที่ปล่อยให้เวลายืดเยื้อไปประมาณสิบเดือนเพื่อให้อำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. แต่งตั้งหมดไปก่อน ซึ่งอาจจะเกิดภาวะความไม่พอใจของชนชั้นนำจนนำไปสู่อำนาจนอกระบบ เช่น รัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐประหาร เป็นต้น ดังนั้น ต่อให้รู้สึกว่าถูกทรยศหักหลังก็คว้ามันไว้ก่อน เพื่อทำให้ประชาธิปไตยที่ลุ่มๆ ดอนๆ เดินหน้าไป

(2) ที่ผ่านมามีความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้องประชาชนที่นิยมเพื่อไทยและก้าวไกลมาโดยตลอด โดยเฉพาะการชุมนุมบนท้องถนนในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาที่มีข้อเสนอสูงสุดต่อสังคมในเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ซึ่งการรวมตัวกันของพันธมิตรฝ่ายประชาธิปไตยอันหลากหลายช่วยทำให้การเคลื่อนไหวมีพลังมาก (ถ้าเหลือแต่มวลชนอิสระและที่นิยมพรรคก้าวไกลก็จะทำให้มีพลังน้อยลง) แต่เหตุการณ์ที่พิธาไม่ถูกรับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี จนก้าวไกลไม่สามารถเป็นผู้นำจัดตั้งรัฐบาลได้ต่อไป และถูกเพื่อไทยผลักไปเป็นฝ่ายค้าน ได้ทำให้ความสัมพันธ์อันดีของมวลชนทั้งสองฝ่ายแตกกันมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องพยายามหยุดยั้งความแตกแยกนี้ด้วยการไม่วิพากษ์วิจารณ์และชุมนุมเคลื่อนไหวที่โจมตีหรือกระทบถึงเพื่อไทย ควรมุ่งโจมตีแค่ ส.ว. แต่งตั้งเท่านั้น แต่ในข้อเท็จจริงต่อให้วิพากษ์วิจารณ์และชุมนุมเคลื่อนไหวมุ่งโจมตีเฉพาะ ส.ว. ฝ่ายเดียว ไม่พาดพิงถึงเพื่อไทย ก็กระทบกระทั่งถึงเพื่อไทยที่สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายการชุมนุมเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ยุติลงไปดื้อๆ พร้อมกับข้อสรุปว่าเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นประชาชนไม่พร้อมเคลื่อนไหว หรืออาจจะพร้อม แต่เป็นความพร้อมที่มีมวลชนเข้าร่วมชุมนุมน้อย ไม่ส่งผลสะเทือนใดๆ

(3) ความเคารพและศรัทธาต่อการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพี่น้องเสื้อแดงที่ลุกขึ้นสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างสุดกำลังตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย อุ้มหาย ลี้ภัย บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจเหลือคณานับ เพื่อสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทยให้ดีขึ้นนั้น เป็นช่วงเวลาที่สำคัญของประวัติศาสตร์การสร้างประชาธิปไตยให้สูงขึ้นในสังคมไทย รวมถึงการชุมนุมของพี่น้องประชาชนและคนรุ่นใหม่ตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมาก็มีการสนับสนุน ช่วยเหลือ เข้าร่วมของพี่น้องเสื้อแดงจำนวนมาก

ซึ่งผลของการประนีประนอมเช่นนี้นำมาซึ่งความเสียหายพอสมควร อาจจะเล็กกว่าหลายเท่าเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนรัฐประหารสองครั้งล่าสุดของกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่าง แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจ ไม่ควรปล่อยผ่านเลยไปอย่างดูดาย เพื่อทำให้ความผิดพลาดและเสียหายของกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่างลดน้อยลงเรื่อยๆ และส่งผลดีในการทำให้หลุมบ่อหรือช่องว่างระหว่างกันถูกถมให้เต็มยิ่งขึ้น

กล่าวคือ ก็ในเมื่อการเมืองแทรกซึมอยู่ทุกอณูของชีวิตจิตใจเรา แทรกซึมอยู่ในทุกมิติ บริบทและแง่มุมของการดำเนินชีวิต อำนาจที่อยู่ในการเมืองก็ทำให้การเมืองห่างไกลไปจากเจ้าของอำนาจที่แท้จริง การเมืองจึงไม่ได้มีแค่ ‘การเมืองเรื่องประชาธิปไตย’ หรือการเมืองเรื่องระบบการปกครองเท่านั้น อย่างที่ขบวนประชาชนบนท้องถนนในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมาเรียกร้องประชาธิปไตย เขียนรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ ที่จะสามารถพอใจเพียงแค่ว่าถึงแม้เพื่อไทยจะตระบัดสัตย์ แต่อย่างน้อยก็ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ยังมีการเมืองในมิติอื่นๆ อีกที่เป็นส่วนเติมเต็มให้การเมืองเรื่องประชาธิปไตยเกิดความสมบูรณ์ขึ้น โดยเฉพาะ ‘การเมืองเรื่องการพัฒนา’ ที่ส่วนใหญ่จะกระทบต่อกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนล่างที่ทำการผลิตหรือทำการงานเพื่อเลี้ยงชีพในชีวิตประจำวัน ที่ต้องเจอหรือปะทะหรือต่อกรกับโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายที่เข้ามากระทบกับการดำเนินชีวิต จึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และพยายามแสวงหาหรือนำเสนอทางเลือกในการพัฒนาที่ดีกว่าแทน

การได้คะแนนอันดับหนึ่งของก้าวไกลจึงมีความสำคัญมากต่อกระบวนทัศน์ใหม่ใน ‘การพัฒนา’ ขณะที่พรรคเพื่อไทยและพรรคอื่นๆ ยังอยู่ในกระบวนทัศน์เก่าของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมผูกขาด อ่อนข้อต่อระบบศักดินาและเจ้าขุนมูลนายที่ขูดรีดความมั่งคั่งไปจากประชาชน แต่ก้าวไกลต้องการขจัดทุนผูกขาดและทำให้บ้านเมืองเป็นรัฐและสังคมสวัสดิการอย่างจริงจังมากกว่าพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ได้ ส.ส. รวมทั้งการลดอำนาจรัฐส่วนต่างๆ ที่เป็นปัญหาในการถ่วงรั้งความเจริญของบ้านเมือง เช่น ลดอำนาจกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เป็นต้น ดังนั้น การวิพากษ์วิจารณ์และชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อกดดันเพื่อไทยไปจนถึงขอบเขตหรือเพดานสูงสุดของความรับผิดชอบต่อการหักหลังหรือตระบัดสัตย์และผลพวงที่เกิดขึ้นตามมาคืออะไร จะต้องรับผิดชอบอย่างไร จึงต้องสร้างแรงกระเพื่อมไปให้สุดหนทาง โดยต้องพยายามอย่างกล้าได้กล้าเสียมากกว่านี้

ในข้อเท็จจริง กลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่างก็ไม่ได้มีท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยไปเสียทั้งหมด ยังมีส่วนที่ไม่มีท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยด้วย ซึ่งก็ใช้สื่อสังคมออนไลน์ช่องทางต่างๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการวิพากษ์วิจารณ์และสร้างการชุมนุมเคลื่อนไหวให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าชื่นชม แต่กลุ่มพลังทางสังคมที่มีท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยมีจำนวนมากกว่า จึงกลบเสียงการวิพากษ์วิจารณ์และการชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังทางสังคมที่มีท่าทีไม่ประนีประนอมกับเพื่อไทยลง ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีมุมมองที่แตกต่างกัน นั่นคือ กลุ่มพลังทางสังคมที่มีท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรค 2 ลุงและพรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมอื่น ๆ ของเพื่อไทยเมื่อดูช่องทางของกฎหมายแล้วก็ยากที่จะคัดง้างอะไรได้ จึงมีความชอบธรรม แต่กลุ่มพลังทางสังคมที่ไม่ประนีประนอมกับเพื่อไทยมองว่าความชอบธรรมของก้าวไกลที่ถูกหักหลังและตระบัดสัตย์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าและไม่ควรยอมรับ ดังนั้น แรงจูงใจนี้ต้องปรากฏตัวในการวิพากษ์วิจารณ์และการชุมนุมเคลื่อนไหวให้มากกว่านี้ ไม่ใช่ยอมจำนนโดยประนีประนอม

เมื่อมองโดยภาพรวม กลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่างที่มีท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยอาจจะมองว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการมีท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยนั้น อย่างน้อยก็ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีอำนาจนอกระบบเข้ามามีตำแหน่งในรัฐบาลด้วย ถือเป็นการก้าวไปทีละก้าวที่จะนำพาบ้านเมืองไปสู่ประชาธิปไตยในขั้นต่อๆ ไปให้มากยิ่งขึ้นในการเลือกตั้งครั้งถัดๆ ไป ถึงแม้จะเสียหาย แต่ก็เสียหายน้อยมาก ซึ่งเป็นการประเมินหรือวิเคราะห์จากมุมของ ‘การเมืองเรื่องประชาธิปไตย’ เท่านั้น ถ้านำมุมของ ‘การเมืองเรื่องการพัฒนา’ มาประเมินหรือวิเคราะห์ด้วยจะเห็นถึงความเสียหายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนล่างที่ทำการผลิตหรือทำการงานเพื่อเลี้ยงชีพในชีวิตประจำวัน ที่ต้องเจอหรือปะทะหรือต่อกรกับโครงการพัฒนา นโยบายและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายที่เข้ามากระทบกับการดำเนินชีวิต จึงต้องลุกขึ้นมาต่อสู้และพยายามแสวงหาหรือนำเสนอทางเลือกในการพัฒนาที่ดีกว่าแทน จะเห็นได้ว่าท่าทีประนีประนอมกับเพื่อไทยของกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนบนและล่างเป็นการประนีประนอมที่ทิ้งกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนล่างไว้ข้างหลังมากเกินไป หรือเป็นการประนีประนอมที่ไม่สอดคล้องกับการต่อสู้ของกลุ่มพลังทางสังคมที่โครงสร้างส่วนล่างมากนัก หรือเป็นการประนีประนอมที่ให้ความสำคัญกับ ‘การเมืองเรื่องการพัฒนา’ น้อยเกินไป หรือเป็นการประนีประนอมที่ทำให้ ‘การเมืองเรื่องประชาธิปไตย’ เองเสียโอกาสที่จะพัฒนาให้ยึดโยงกับประชาชนเจ้าของอำนาจมากยิ่งขึ้น

image_pdfimage_print