โดยภานุภพ ยุตกิจ
อุบลราชธานี – สมัชชาเกษตรกรภาคอีสานร้องเรียนคณะกรรมการประสานงานแก้ไขปัญหาฯ ให้เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อแก้ไขผลกระทบจากการประกาศเขตป่าสงวนทับซ้อนที่ดินของราษฎร 4 จังหวัดภาคอีสาน หลังเสนอเรื่องตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วแต่ไม่คืบหน้า
เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2561 ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตัวแทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน หรือ สกอ. จำนวน 50 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.สุทธิลักษณ์ ระวิวรรณ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานกรรมการประสานงานแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของสมัชชาเกษตรกร เพื่อขอให้เร่งรัดการประชุมเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการในระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่ราษฎรอ้างว่าได้รับผลกระทบจากการประกาศป่าสงวนแห่งชาติ จนเป็นเหตุให้ราษฎรถูกเจ้าหน้าที่ขับไล่ออกจากที่ดินทำกินของตัวเอง ทั้งที่ราษฎรเหล่านี้ได้ครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ก่อนการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ
โดยตัวแทนกลุ่ม สกอ. ทั้งหมด 50 ที่เข้ายื่นหนังสือวันนี้เป็นตัวแทนจากราษฎรที่ได้รับผลกระทบทั้งหมด 4 จังหวัด ได้แก่ ผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติห้วยยอดมน จ.อุบลราชธานี ผู้ได้รับผลกระทบการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าภูแลนคา และเขตอุทยานแห่งชาติตาดโตน จ.ชัยภูมิ ผู้ได้รับผลกระทบการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน – ห้วยสำราญ จ.สุรินทร์ และผู้ได้รับผลกระทบการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าอ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง จ.นครราชสีมา
นายศักดา กาญจนเสน ประธานสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน กล่าวว่า การประกาศพื้นที่ป่าของรัฐในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ไม่ได้สำรวจอย่างรอบคอบว่ามีราษฎรอาศัยทำประโยชน์อยู่ก่อนหรือไม่ จึงเป็นเหตุให้ราษฎรถูกไล่รื้อ ขับไล่ออกจากที่ดินของตนเอง บางรายถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุก และถูกจับกุมดำเนินคดี
“สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิของชาวบ้าน ที่มีผลมาจากการกำหนดนโยบายของรัฐบาล” นายศักดากล่าว
นอกจากนี้ นายศักดายังกล่าวเสริมอีกว่า จากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศบนเวทีศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2560 ว่าจะคุ้มครอง เคารพ เยียวยา แก้ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนนั้น ฉะนั้นจึงถือว่า ปัญหาที่ราษฎร 4 จังหวัดได้รับ ถือเป็นปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิทำกิน จึงสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการทางปกครอง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จก่อนเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพิกถอนพื้นที่ป่าบางส่วนที่ทับกับพื้นที่ของราษฎร
ส่วนที่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเพิกถอนเขตป่าสงวนฯ นั้น นายศักดากล่าวว่า เป็นเพราะการยกเลิกเขตป่าของรัฐเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี โดยหลังคณะรัฐมนตรีมีมติเพิกถอนเขตป่าสงวนฯ แล้ว กฎกระทรวงต้องออกประกาศให้ยกเลิกเขตป่าของรัฐต่อไป ทั้งนี้ ราษฎรทั้ง 4 จังหวัดได้เสนอเรื่องถึงคณะกรรมการประสานงานแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของสมัชชาเกษตรกร ไปตั้งแต่วันที่ 24 ต.ค. 2560 แล้ว แต่ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานในระดับพื้นที่เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง ราษฎรทั้ง 4 จังหวัดจึงเห็นสมควรให้คณะกรรมการประสานงานแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของสมัชชาเกษตรกรเร่งแก้ไขปัญหาให้ราษฎร
นางสมปอง ยุตกิจ อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ม.11 ต.ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติยอดมน และถูกเจ้าหน้าที่ของสวนป่าพิบูลมังสาหาร องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ขับไล่ออกจากที่ดินของตนเอง กล่าวว่า เดิมครอบครัวของตนอาศัยอยู่ในเมืองลำโดม อ.พิบูลมังสาหาร ต่อมาในปี 2511 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ในสมัยนั้น ได้ก่อสร้างเขื่อนสิรินธรจนเป็นเหตุให้เมืองลำโดมที่มีราษฎรมากกว่า 1,000 ครอบครัว ต้องอพยพขึ้นมาอาศัยอยู่ในป่าตามแนวเขตชายแดนไทย – สปป.ลาว และทำการเกษตรอย่างพอเพียงเรื่อยมา
นางสมปองกล่าวด้วยว่า ต่อมาในปี 2517 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในสมัยนั้น ได้ลงนามออกกฎกระทรวงที่ 707 (พ.ศ.2517) ประกาศให้ป่าที่มีราษฎรอาศัยอยู่เป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยไม่มีการสำรวจและประกาศให้ราษฎรทราบ จึงทำให้ราษฎรขาดสิทธิที่จะครอบครองที่ดิน ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
ทั้งนี้ มาตรา12 ระบุว่า “บุคคลใดอ้างว่ามีสิทธิหรือทำประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติใดอยู่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดป่าสงวนแห่งชาตินั้นใช้บังคับ ให้ยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอท้องที่ภายในกำหนดเก้าสิบวัน นับแต่วันที่กฎกระทรวงนั้นใช้บังคับ ถ้าไม่ยื่นคำร้องภายในเก้าสิบวันดังกล่าวให้ถือว่าสละสิทธิหรือประโยชน์นั้น”
“ในเมื่ออำเภอไม่ได้ประกาศแจ้งให้ราษฎรทราบ ราษฎรจึงไม่ได้ไปยื่นคำร้อง จึงทำให้ขาดสิทธิตามกฎหมาย” นางสมปองกล่าว
นางสมปองเปิดเผยว่า ในปี 2519 อ.อ.ป. ได้ก่อตั้งสวนป่าพิบูลมังสาหาร และเข้าปลูกไม้ยูคาลิปตัสตามเงื่อนไขสัมปทาน อ.อ.ป.จึงได้เริ่มขับไล่ราษฎรออกจากที่ดิน เจ้าหน้าที่ของ อ.อ.ป.ในขณะนั้นได้ข่มขู่ให้ราษฎรสมัครเข้าเป็นสมาชิกปลูกป่าถึงจะมีสิทธิทำกินต่อไปได้
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติยอดมนผู้นี้กล่าวว่า เมื่อปี 2525 รัฐบาลของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ได้ประกาศให้ราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดิน ยื่นแบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษี หรือ แบบ ภ.บ.ท.5 ซึ่งมีราษฎรจำนวนมากได้ไปยื่นแบบ ภ.บ.ท.5 และทำประโยชน์ที่ดินเรื่อยมา โดยในปี 2535 อ.อ.ป. ขยายพื้นที่ปลูกไม้ยูคาลิปตัสจนเต็มพื้นที่กว่า 8,602 ไร่ ตามเนื้อที่ที่ได้สัมปทานมาตั้งแต่ครั้งแรก ทำให้ราษฎรที่เหลือถูกขับไล่ออกจากที่ดิน มีการรวมตัวเรียกร้องให้ อ.อ.ป.คืนที่ดินให้ราษฎรในช่วงต้นปี 2543 และผ่านมากว่า 18 ปี ปัญหานี้ไม่มีความชัดเจนว่าจะแก้ไขอย่างไร
นายโอชิ อรุณราม อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 26 ม.11 ต.กาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน – ห้วยสำราญ จ.สุรินทร์ กล่าวว่า มีการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ ในปี 2536 ทับที่ดินของราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อน ราษฎรมีเอกสารใบแจ้งการครอบครองที่ดิน หรือ สค.1 เป็นหลักฐานยืนยัน แต่เมื่อราษฎรนำเอกสารไปขอออกโฉนดที่ดิน กลับถูกเจ้าหน้าที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ คัดค้านจึงทำให้เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินไม่กล้าที่จะออกโฉนดให้กับราษฎร
นายโอชิกล่าวอีกว่า เมื่อเกิดเป็นปัญหาข้อพิพาทขึ้นมา ราษฎรที่ไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายจึงได้ไปยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่ปี 2540 แต่ก็เป็นเพียงการรับเรื่องร้องเรียน ไม่มีความชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาข้อพิพาทนี้อย่างไร เมื่อปี 2556 ราษฎรได้มายื่นเรื่องที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้เดินทางมาติดตามความคืบหน้ามาตลอดจนปัจจุบันก็ยังไม่มีความชัดเจน
“การประกาศป่าทับที่ชาวบ้าน จะให้ชาวบ้านไปอยู่ตรงไหน แล้วเราจะพึ่งใคร จากการเดินทางติดตามเรื่องจากรัฐบาลก็มีความหวังน้อย” นายโอชิกล่าว
ตัวแทนผู้ได้รับผลกระทบจากการประกาศเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน – ห้วยสำราญ จ.สุรินทร์ ผู้นี้ กล่าวอีกว่า การเดินทางมาติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาที่กรุงเทพฯ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากราษฎรเป็นผู้มีรายได้น้อยไม่มีทุนทรัพย์ ตนจึงขอร้องให้รัฐบาลดูและประชาชนชาวรากหญ้าบ้าง เพราะตราบจนถึงทุกวันนี้ พวกตนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมใดๆ ตนขอให้คณะกรรมการประสานงานแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของสมัชชาเกษตรกร เร่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อเรียกร้องของราษฎร
ภานุภพ ยุตกิจ เป็นผู้เข้าอบรมโครงการอบรมนักข่าวภาคอีสานของเดอะอีสานเรคคอร์ด ประจำปี 2560