อุบลราชธานี – เครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบายยื่นหนังสือถึงสำนักงาน คณะกรรการ กกพ. จ.อุบลราชธานี เพื่อให้ส่งหนังสือต่อไปยังคณะกรรมการ กกพ. ที่กรุงเทพฯ ให้ระงับการพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล จ.อำนาจเจริญ ในวันพรุ่งนี้ (17 ต.ค. 61) เนื่องจากการจัดทำรายงานอีไอเอขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่
เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประจำเขต 5 (อุบลราชธานี) เครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย จากพื้นที่ ตำบลเชียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร และพื้นที่ ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ กว่า 300 คน เข้ายื่นหนังสือแถลงการณ์ถึงนายปฏิภาณ แก้วรินขวา ผู้อำนวยการฝ่ายสำนักงาน คณะกรรมการ กกพ. ประจำเขต 5 (อุบลราชธานี) เพื่อขอให้ส่งหนังสือแถลงการณ์ของเครือข่าย เรื่องขอให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานระดับประเทศพิจารณายกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวลขนาด 61 เมกกะวัตต์ ที่คณะกรรมการ กกพ. ระดับประเทศจะประชุมพิจารณาอนุมัติใบอนุญาตในวันที่ 17 ตุลาคม 2561
นายปฏิภาณเป็นผู้รับหนังสือแถลงการณ์ด้วยตนเองและได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานส่งหนังสือแถลงการณ์ของเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบายไปให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่กรุงเทพมหานคร ผ่านทางเครื่องโทรสารตามที่เครือข่ายฯ เรียกร้อง
ทั้งนี้ เครือข่ายฯ คือผู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 61 เมกกะวัตต์ของ บริษัท มิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ (อำนาจเจริญ) จำกัด เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับโรงงานน้ำตาลขนาดกำลังการผลิต 20,000 ตันอ้อยต่อวัน ของบริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด ซึ่งโรงงานทั้งสองแห่งอยู่บริเวณริมลำน้ำเซบาย ซึ่งเป็นลำน้ำที่ประชาชนในพื้นที่ตำบลเชียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร และพื้นที่ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ใช้บริโภคและทำการเกษตร
นางมะลิจิตร เอกตาแสง กรรมการเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย พื้นที่ ตำบลเชียงเพ็ง อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร กล่าวว่า เหตุผลที่เครือข่ายฯ ยื่นหนังสือแถลงการณ์ เนื่องจากเห็นว่า กระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ ที่บริษัทที่ปรึกษาจัดทำเพื่อนำไปประกอบการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งส่งให้สำนักงาน กกพ. เขต 5 แล้วสำนักงาน กกพ. เขต 5 ส่งต่อไปยัง คณะกรรมการ กกพ. ที่กรุงเทพฯ ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากบริษัทฯ ไม่ชี้แจงรายละเอียดของโครงการโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะข้อเสียที่อาจเกิดขึ้น ให้คนในพื้นที่รับรู้ก่อนเปิดเวทีรับฟังความเห็น
“ทำให้ กกพ. เขต 5 อุบลฯ ได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริง ก่อนส่งให้คณะกรรมการ กกพ. ระดับประเทศพิจารณา” นางมะลิจิตรกล่าว นางมะลิจิตรกล่าวอีกว่า เวทีรับฟังความเห็นประกอบการทำรายงานอีไอเอครั้งที่ 1 ช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2559 และครั้งที่ 2 ช่วงเดือนมีนาคม ปี 2560 บริษัทที่ปรึกษาไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้ามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็น โดยประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการมีความกังวลว่า ถ้าโรงไฟฟ้าเข้ามาตั้งในพื้นที่จะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำเสียจากโรงไฟฟ้าอาจไหลลงลำน้ำเซบายและลำน้ำสาขา ซึ่งจะทำให้คนในพื้นที่ไม่สามารถใช้น้ำจากลำน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรได้ และอาจเกิดปัญหาการแย่งน้ำระหว่างโรงไฟฟ้ากับคนในพื้นที่ รวมถึงปัญหาด้านมลพิษทางอากาศ เช่น กลิ่นและฝุ่นละออง จากกระบวนการผลิตของโรงไฟฟ้าต่อประชาชนในรัศมี 5 กิโลเมตรรอบโรงงาน “อยากให้ คณะกรรมการ กกพ. ระดับประเทศ ยกเลิกการพิจารณาออกใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้าในวันพรุ่งนี้ก่อน และให้ กกพ.ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพื้นที่อีกครั้งว่า เหมาะสมกับการสร้างโรงไฟฟ้าหรือไม่” นางมะลิจิตรกล่าว |
กรรมการเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบายผู้นี้กล่าวอีกว่า ที่ดินในตำบลเซียงเพ็งที่ตนอาศัยอยู่เหมาะสมต่อการปลูกข้าว และประชาชนในพื้นที่ก็ทำเกษตรแบบอินทรีย์ ปลอดสารเคมีตามนโยบายของจังหวัดยโสธร หากมีโรงไฟฟ้ามาตั้งในพื้นที่ ตนกังวลว่า หน่วยงานที่รับรองมาตรฐานผลผลิตทางการเกษตรอินทรีย์จะไม่รับรองมาตรฐานผลผลิตให้ และจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ทำเกษตรอินทรีย์เพื่อค้าขาย
นายสิริศักดิ์ สะดวก ที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบายกล่าวว่า เครือข่ายเห็นว่าข้อมูลหลายส่วนเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ที่สำนักงาน กกพ. ประจำเขต 5 จัดทำขึ้นไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริงในพื้นที่ เช่น ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าใกล้ชุมชน ใกล้แหล่งอาหารของชุมชน รวมถึงใกล้แม่น้ำที่ประชาชนใช้อุปโภค บริโภค ซึ่งตามหลักแล้ว ไม่เหมาะสมต่อการสร้างโรงงานทุกชนิด
ที่ปรึกษาเครือข่ายอนุรักษ์ลำน้ำเซบายผู้นี้กล่าวอีกว่า หลังจากยื่นหนังสือแถลงการณ์ที่สำนักงาน กกพ. ประจำเขต 5 แล้ว ตนและเครือข่ายบางส่วนจะเดินทางไปที่คณะกรรมการ กกพ. ที่กรุงเทพฯ เพื่อกดดันให้ยกเลิกการพิจารณาใบอนุญาตก่อสร้างโรงไฟฟ้า และหากในวันพรุ่งนี้ (17 ต.ค. 2561) คณะกรรมการ กกพ. ที่กรุงเทพฯ พิจารณาออกใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ เครือข่ายก็จะยกระดับการเคลื่อนไหวคัดค้านเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายในการฟ้องร้องบริษัทต่อไป