โดย ซาบีน่า ชาห์

23

 

เรื่องที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ว.แต่งตั้ง 250 คน สามารถร่วมโหวตเลือกนายกได้ด้วย และการนับคำแนน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ใหม่นี้ ดิฉันเห็นหลายฝ่ายช่วยกันรณรงค์ให้เห็นกันเยอะแล้วว่ามันไม่เป็นธรรม และคิดว่านี่มันคือการเขียนกติกามาเอาเปรียบกันเห็นๆ และยิ่งเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นหลังจากที่ได้ฟังการดีเบตของแต่ละฝ่ายจากหลายช่องทาง แต่นี่ก็ถือเป็นกลยุทธ์เด็ดที่ฝั่ง คสช. หวังจะให้ประยุทธ์ได้รับเลือกกลับมาเป็นนายกอีกครั้งแน่นอน ไม่ต้องมาหาหลักการทางกฎหมายอะไรมารองรับทั้งนั้น

แม้ว่าทุกคนคงจะเริ่มรับรู้กันมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ดิฉันจะมาวิเคราะห์ให้ดูเป็นตัวเลขกันเลยว่า การเอาเปรียบที่ว่ามันส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน แต่เนื่องจากโพสต์นี้มีการคำนวณเป็นตัวเลขเข้ามาเกี่ยว หลายคนที่ไม่ถนัดตัวเลขอาจจะเข้าใจยากนิดนึง ดังนั้น ดิฉันจึงขอสรุปผลไว้ที่หน้าแรกนี้เลย แต่ไม่ต้องห่วงว่าดิฉันจะโมเมตัวเลขนี้ขึ้นมามั่ว เพราะดิฉันได้บอกวิธีคิดไว้ด้วย สำหรับคนที่อยากจะทำความเข้าใจมากขึ้น (ซึ่งจริงๆ ดิฉันก็อยากให้ทุกคนอ่านนั้นแหล่ะ มันไม่ยากหรอก) แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ มาอ่านเฉพาะตรงนี้ก็พอ

ตัวเลขที่ดิฉันใช้คำนวณจำนวน ส.ส. ทั้งหมดนี้ ดิฉันเอาสถิติมาจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด แต่ปัดเป็นเลขกลมๆ เพื่อที่จะคำนวณได้ง่ายขึ้น และหลังจากการอ่านบทวิเคราะห์ที่ดิฉันเขียนแล้ว ดิฉันก็ขออนุญาตให้คำแนะนำทั้งฝ่ายที่สนับสนุนประยุทธ์และฝ่ายที่ต่อต้านประยุทธ์ว่า ถ้าอยากให้ฝั่งของตัวเองชนะจะต้องทำอย่างไรบ้าง เอาหล่ะ เริ่มล่ะนะ! สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อาจจะยาวหน่อย แต่ก็ต้องอ่าน

การเลือกตั้งปี 2562 ครั้งนี้ มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งประมาณ 52,400,000 คน ตีเอาว่ามีคนมาใช้สิทธิ์เท่ากับครั้งก่อนที่ 75% เท่ากับว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิ์ 39,300,000 คน เลือกตั้งครั้งที่แล้วมีบัตรเสียและผู้งดออกเสียงประมาณ 7.6% แต่เลือกตั้งครั้งนี้ จำนวนบัตรเสียก็น่าจะเพิ่มขึ้น เพราะกฎหมายบ้าบอที่พรรคหนึ่งมีหลายเบอร์จำยาก แล้วก็สับสน ขอตีไปว่าน่าจะมีบัตรเสียสักประมาณ 8% กว่าๆ ก็แล้วกัน เท่ากับว่าจะเหลือคะแนนเสียงที่เลือกผู้สมัครทุกพรรคอยู่ที่ประมาณ 36,000,000 คะแนน (นี้ปัดเศษแล้วนะ) นำคะแนนทั้งหมดนี้ไปหาร 500 ตามจำนวน ส.ส. ทั้งหมด จะเท่ากับ 72,000 คะแนน นั่นหมายความว่า “ทุกๆ 72,000 คะแนน แต่ละพรรคจะมี ส.ส. ได้ 1 คน” และถึงตอนนี้ ขอให้เรายอมรับความจริงที่ว่า ตอนนี้มันไม่มีอะไรเป็นกลางทั้งนั้น เลือกข้างกันไปเลย และคะแนนเสียงจะถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. กลุ่มที่เบื่อประยุทธ์ กลุ่มนี้ก็คงเลือกพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ  หรือ พรรคอนาคตใหม่ เป็นหลัก (เพราะพรรคไทยรักษาชาติโดนศาลสั่งยุบพรรคไปเมื่อวันที่ 7 มี.ค. 62)
  2. กลุ่มที่รักประยุทธ์ กลุ่มนี้คงจะเลือกพรรคพลังประชารัฐ หรือ พรรคประชาธิปัตย์
  3. กลุ่มที่ชอบในตัวบุคคลแต่ละเขตจึงเลือกพรรคอื่นไปเลย

และเมื่อดิฉันไปดูสัดส่วนของคะแนนการเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 2554 ทั้งแบบแบ่งเขต และแบบบัญชีรายชื่อ ก็ยิ่งจะชัดเจนว่า กติกาในการเลือกตั้งปี 2562 นี้ ตั้งใจเขียนมาเพื่อลดคะแนนของฝั่งพรรคเพื่อไทยและนอมินี แต่เพิ่มคะแนนให้กับพรรคฝั่งประยุทธ์แน่นอน และเพื่อให้ความได้เปรียบชัวร์ขึ้นไปอีกก็ยังกำหนดให้จำนวน ส.ส.เขต ลดลง จาก  375 เขต เหลือ 350 เขต แต่ไปเพิ่ม ส.ส.บัญชีรายชื่อ จาก 125 คน ให้เป็น 150 คน อีกด้วย วางแผนได้รัดกุมขนาดนี้มาดูสิว่าผลออกมาจะเป็นไปอย่างที่คนเขียนรัฐธรรมนูญตั้งใจไว้หรือเปล่า

ดิฉันจึงเอาสัดส่วนคะแนนเสียงที่แต่ละฝั่งได้มาจากการเลือกตั้งปี 2554 มาคำนวณโดยใช้กติกาใหม่นี้ (บวกกับปัจจัยเพิ่มเติมนิดหน่อย) มาดูให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่า ผลการคำนวณแต่ละพรรคจะได้ ส.ส. ไปกี่คน (ในกรณีที่ทุกคนที่จากการเลือกครั้งที่แล้วยังเลือกเหมือนเดิม ไร้การเปลี่ยนแปลง ซึ่งดิฉันก็คิดแบบนั้นแหล่ะ ง่ายดี) ขอย้ำว่า นี่เป็นการคำนวณคร่าวๆ จากตัวเลขเดิมในกติกาใหม่

  1. พรรคเพื่อไทย + พรรคเพื่อชาติ + พรรคอนาคตใหม่ = 255 เสียง
  2. พรรคประชาธิปัตย์ + พรรคพลังประชารัฐ = 175 เสียง
  3. พรรคเล็กพรรคน้อย = 70 เสียง

รวม 500 เสียง และหลังจากการเลือกตั้งจบ ถึงจะเป็นชัยชนะของพรรคต่อต้านเผด็จการ แต่นั่นก็เป็นแค่ Episode สุดท้ายของซีซั่นแรกเท่านั้น เพราะ Game of Thai ซีซั่น 2 จะเริ่มขึ้นตอนรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาล และนี่เป็นการวิเคราะห์ที่น่าจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง ถ้าเปิดฉากมาฝ่ายประยุทธ์ในฐานะผู้แพ้ก็จะแสร้งทำทีเป็นให้โอกาสพรรคที่ชนะจัดตั้งรัฐบาลก่อน จะเห็นได้ว่า แม้พรรคฝ่ายต่อต้านเผด็จการจะได้ ส.ส. เกินครึ่งนึงของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าเป็นกติกาตามรัฐธรรมนูญเดิม พวกเขาจะตั้งรัฐบาลแค่ 3 พรรคก็ยังได้ หรืออยากได้ความมั่นคง ก็แค่ไปเชิญพรรคเล็กบางพรรคให้มารวมสัก 300 เสียงก็อยู่แล้ว แต่… เพราะกติการใหม่แบบตั้งใจมาเอาเปรียบ (ดิฉันกล้าพูดแบบนี้) มันต้องใช้เสียงถึง 376 เสียง ถึงจะโหวตเลือกนายกชนะได้ ถ้าว่าพรรคเพื่อไทยในฐานะผู้ชนะการเลือกตั้ง แม้จะไปรวบรวมเสียงจากพรรคเล็กพรรคน้อยมาได้ และต่อให้ล็อบบี้เก่งขนาดที่ว่ารวมพรรคน้อยได้ทั้งหมด ก็จะมีเสียงรวมแค่ 325 เสียง พอตอนยกมือโหวตเลือกนายกก็แพ้แน่นอน เพราะ ส.ว. คงไม่โหวตให้ คราวนี้แหล่ะ บทละครฉากใหญ่ที่ได้เขียนบทมาและซักซ้อมกันมาก็ถึงเวลาออกโรงสักที พรรคที่ได้คะแนนอันดับ 2 อย่างพลังประชารัฐ (หรืออาจจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์) ก็จะอ้างว่า พรรคผู้ชนะไม่สามารถมีเสียงมากพอที่จะเลือกนายกได้ (ก็แน่ละ มันจะพอได้ยังไง ก็เพราะมี ส.ว.  250 คน มาเลือกด้วยไง) ก็จะอ้างสิทธิ์อันชอบธรรม อ้างจารีตประเพณี อ้างรัฐธรรมนูญ อ้างทุกอย่างที่ตัวเองเขียนขึ้นมาเอง ไปรวบรวมพรรคเล็กพรรคน้อยบ้าง เท่านี้พรรคพลังประชารัฐก็จะได้คะแนนเสียงจาก ส.ส. ทั้งหมด 245 เสียง + ส.ว. 250 เสียง ก็จะเลือกประยุทธ์อย่างท่วมท้น ด้วยคะแนน 495 เสียง กลับมาเป็นนายกต่อไปอย่างชอบธรรมตามกฎหมาย (ที่เขียนมาเอง) เพราะฉะนั้น สรุปก็คือ ถ้าอิงจากคะแนนฐานเสียงเดิม ประยุทธ์ก็จะได้กลับมาเป็นนายกต่อไปแน่นอน ฟันธง!

ในฐานะประชาชนคนหนึ่งพอเห็นว่าการเมืองก็คือการแย่งชิงอำนาจ สร้างความได้เปรียบกันแบบไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น เล่นละครตบตา ทั้งๆ ที่รู้ว่าประชาชนก็มองออก ก็คงได้แต่ถอนหายใจว่า แล้วเมื่อไรประเทศจะได้พัฒนากับเขาสักที แต่คราวนี้ต้องยอมรับว่า คนเขียนบทละครเขาเขียนมาดีเกินไป เขียนแบบไม่แคร์อะไรเลย เขียนเพื่อเอาชนะกันเท่านั้น และถึงแม้จะรู้ว่ามันเป็นเกมแห่งอำนาจ เราก็ต้องร่วมเล่นไปกับเขา เพราะถ้าเราบอกว่าเบื่อการเมือง ไม่อยากเล่น ไม่ยอมไปใช้สิทธิ์ใช้เสียง พวกเขาก็จะยิ่งไม่เห็นค่าของเรา พวกเขาก็จะยิ่งคิดว่าประชาชนควบคุมง่าย แล้วคราวนี้พวกเขาก็จะเริงอำนาจกันไปใหญ่ แล้วผลกรรมจะตกอยู่กับใคร ถ้าไม่ใช่่ประชาชน…

image_pdfimage_print