(1)

เครื่องพิมพ์ดีดของยาขอบ ข้อความนั้นเขียนด้วยปากกาไวท์บอร์ดสีน้ำเงินลงบนกระดาษวางอยู่ใต้เครื่องสะดุดตาเขาทันทีที่เดินผ่านร้านขายของเก่าแบกะดินภายในตลาดนัดยามค่ำริมแม่น้ำตาปีหลังตัดสินใจว่าจะเดินออกจากโรงแรมมาหาอาหารมื้อค่ำรับประทาน เขาย่อตัวลงนั่งยองๆ ลองกดตัวอักษรบนแป้นทีละคำ คนขายเป็นชายร่างผอมผิวคล้ำกรำแดดมองลอดแว่นมาที่เขาไม่พูดอะไร เขารับรู้ถึงสายตานั้นเงยหน้าขึ้นสบแล้วเอ่ยถาม

อันนี้ของยาขอบที่เป็นนักเขียนจริงๆ หรือครับ เขาต้องการให้คนขายรู้ว่าแม้รูปลักษณ์การแต่งกายของเขาจะดูไม่เหมือนปัญญาชน แต่ค่อนไปทางกุลีแรงงานมากกว่า เขาก็ยังรู้จักยาขอบ หนึ่งในนักเขียนคณะสุภาพบุรุษผู้โด่งดังจากจินตนิยายผู้ชนะสิบทิศ

กระนั้นคนขายก็ยังมองด้วยสายตาแบบเดิมก่อนส่งเสียงตอบ ใช่

เขาจึงถามต่อว่าได้มาจากไหน คนขายตอบว่าได้มาจากโรงรับจำนำ

ที่กรุงเทพฯ หรือ เขาถามต่ออีก

ใช่ คนขายตอบ

เขาก้มลงมองเครื่องพิมพ์ดีดเก่าคร่ำ เขารู้ว่าเครื่องพิมพ์ดีดเก่าๆ แบบนี้ยังหาซื้อได้บนถนนแพร่งสรรพศาสตร์ ซึ่งเขาหรือใครก็ตามสามารถหาซื้อมาแล้วติดป้ายเพิ่มมูลค่าด้วยการบอกว่ามันเป็นทรัพย์สมบัติของบุคคลมีชื่อเสียง และถึงแม้ผู้ซื้อจะพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าไม่ใช่ ร้อยทั้งร้อยก็คงไม่มีใครอยากเสียเวลากลับมาทวงเงินคืน

เท่าไหร่ครับ เขาถามคนขายโดยไม่เงยหน้าได้คำตอบกลับมาในราคาครึ่งหมื่น ซึ่งเท่ากับจำนวนเงินเดือน 2 ใน 3 ของเขาในฐานะพนักงานติดตั้งชั้นวางสินค้าเลยทีเดียว

เขามองเครื่องพิมพ์ดีด จินตนาการภาพตัวเองตั้งแต่เริ่มรู้จักการอ่าน “วรรณกรรม” ในห้องสมุดประชาชนสมัยวัยรุ่นที่การไปโรงเรียนทำให้เขารู้สึกเป็นตัวประหลาด เข้ากับใครไม่ได้ ไม่มีเพื่อน เขาจึงตัดสินใจเลิกไปโรงเรียนแล้วหันไปนั่งรถเมล์ตะลอนไปเรื่อยๆ ก่อนมาจบที่ห้องสมุดประชาชนเพราะเป็นสถานที่เดียวที่ไม่ร้อน ไม่ตั้งคำถาม แม้บรรณารักษ์จะมองด้วยสายตาไม่พอใจ แต่เขาเชื่อว่าบรรณารักษ์คงมองว่าอย่างน้อยเขาก็เข้าห้องสมุด

เริ่มต้นจากการอ่านการ์ตูน แต่ไม่ค่อยมีการ์ตูนประเภทที่เขาชอบ เขาจึงขยับไปอ่านนิยายแปลต่างๆ แล้วจึงไต่ระดับขึ้นไปอ่านนิยายประเภท “วรรณกรรมสร้างสรรค์” ที่มักจะหมายถึงงานแต่งประเภทอ่านยาก ต้องทำความเข้าใจมาก และเขาพบว่าตัวเองชอบการอ่านวรรณกรรมทุกประเภท ก่อนจะบรรลุถึงความตั้งใจที่อยากจะเป็นนักเขียนในตอนอายุ 18 หลังเข้าๆ ออกๆ ห้องสมุดประชาชนตามที่ต่างๆ อยู่เกือบสามปี

ขอบคุณครับ เขาตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากแผงขายของเก่า เดินไปนั่งบนม้านั่งหินริมแม่น้ำตาปี มองสายน้ำที่เรียบนิ่งสู่ความมืดของท้องทะเลที่เห็นเพียงแสงสว่างไกลๆ ของเรือหาปลา ซึ่งบ่งบอกว่า ณ ที่นั้นคือจุดตัดระหว่างเส้นขอบฟ้า

(2)

เบียร์ไหม? เพื่อนร่วมงานเขาเอ่ยปากชวนเมื่อหัวหน้างานบอกให้ทุกคนยุติการรื้อชั้นเหล็กภายในร้านสะดวกซื้อสาขาตัวเมืองสุราษฎร์ธานี เขาตอบตกลง เพื่อนร่วมงานส่วนมากของเขาเรียนจบชั้น ม.ต้น มีสองคนเท่านั้นเรียนถึงชั้นปวส.

แรกๆ มีคำถามบ้างเมื่อเพื่อนร่วมงานเห็นเขาอ่านหนังสือในยามรอเวลาร้านสาขาปิดเพื่อให้ฝ่ายติดตั้งชั้นวางสินค้าได้เข้าไปรื้อชั้นเพื่อจัดวางตำแหน่งชั้นใหม่ตามแผนการตลาดที่ปรับเปลี่ยน แต่หลังจากเขาพิสูจน์ตัวเองว่าแม้จะดูเงียบๆ ไม่กำยำ หรือดื่มเหล้าสูบบุหรี่ เขาก็ใช้แรงกายได้ดี และถ้าหากเพื่อนร่วมงานเหงื่อโทรมเขาก็ต้องทุ่มเทให้มากกว่า จนที่สุดสายตาไม่เป็นมิตรจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นยอมรับ และหากการรื้อชั้นส่วนไหนที่ดูยากเกินกำลังเขา เพื่อนร่วมงานจะรีบเข้ามาช่วย บางคนถึงกับบอกเขาไม่ต้องทำด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อถูกเอ่ยปากชวนเขาจึงไม่ค่อยปฏิเสธ หากเครื่องดื่มนั้นเป็นเบียร์ไม่ใช่เหล้า

ถนนในตัวเมืองสุราษฎร์ธานียามค่ำนั้นเงียบสงบ ไม่ถึงขั้นสงัดเพราะยังมียวดยานสัญจรไปมารวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะเพิ่งมาจากสนามบิน แล้วค้างหนึ่งคืนเพื่อเตรียมตัวไปเกาะสมุยวันพรุ่งนี้

เขามองสายน้ำตาปีขณะที่เพื่อนร่วมงานพูดถึงการไปเที่ยวหญิงขายบริการวันสุดท้ายของการทำงาน เขารับฟังมุกตลกสัปดนโดยไม่เข้าร่วมสนทนา นึกถึงเครื่องพิมพ์ดีดของยาขอบ นักเขียนที่เขารู้จักจากผลงานเรื่องสั้น บันทึกของกุมภวรรณ หาใช่ผู้ชนะสิบทิศอันลือลั่นเรื่องนั้น เขาลุกขึ้นบอกเพื่อนร่วมงานว่าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องซื้อของฝากฝากแฟน เพื่อนร่วมงานออกปากแซวว่ามีแฟนกลับไม่เคยบอก เขายิ้มเฉย อันที่จริงเขายังไม่มี เขาแค่ยกเรื่องแฟนเพราะไม่อยากถูกซักไซ้มาก จากนั้นรีบเดินเลียบริมแม่น้ำกลับไปยังตลาดเมื่อคืน เมื่อไปถึง พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่กำลังทยอยเก็บร้าน เขาวิ่งเหยาะๆ ไปยังร้านขายของเก่าแบกะดิน พ่อค้าร่างผอมคนเดิมกำลังเริ่มเก็บเช่นคนอื่น เขามองหาเครื่องพิมพ์ดีด แต่ไม่เห็น

พ่อค้าเงยหน้าขึ้น เอ่ยบอกก่อนเขาถาม

เครื่องพิมพ์ดีดของยาขอบมีคนซื้อไปแล้วล่ะ เห็นว่าเป็นนักเขียนเหมือนกัน เขาพยักหน้า ทั้งรู้สึกเสียดายและโล่งใจ เงินครึ่งหมื่นสำหรับเขาถือว่ามากโข เขากำลังจะหันหลังแล้วเดินกลับไปโรงแรมเมื่อคนขายเรียกเขาไว้พลางยื่นสิ่งหนึ่งให้ เขาก้มมองหนังสือปกแข็งสภาพเก่า ชื่อบนหน้าปกอ่านได้ว่า จนกว่าเราจะพบกันอีก เขารู้จักศรีบูรพาและเคยอ่านเรื่องข้างหลังภาพ

มีร้อยนึงไหม พ่อค้าถาม เขางุนงงอยู่ครู่ก่อนพยักหน้า พี่ขายให้น้องร้อยนึง จริงๆ ตลาดหนังสือเก่าแพงกว่านี้นะ นี่ฉบับพิมพ์ครั้งแรก เขายื่นธนบัตรให้พ่อค้า รับหนังสือมาแล้วกล่าวขอบคุณ 

(3)

อีกนั่นแหละ ผมก็ไม่รู้ว่าหนังสือที่อยู่ในมือขายกันแพงจริงไหมในตลาดหนังสือเก่า แต่ข้อมูลด้านในระบุปีพิมพ์ พ.ศ.2493 ซึ่งน่าจะเป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 จริง

ผมถือหนังสือกลับไปโรงแรม เพื่อนร่วมงานคงยังนั่งดื่มเพราะขึ้นไปบนห้องลองเคาะประตูแล้วไม่มีใครออกมาเปิด กุญแจห้องอยู่ที่พวกเขา ผมกลับลงมาที่ล็อบบี้ นั่งลงบนโซฟาหนานุ่ม ลูบคลำปกหนังสือ เปิดสุ่มเนื้อหาด้านในเพื่อคะเนความน่าอ่านขึ้นมาหน้าหนึ่ง

“…มวลชนตั้ง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ของประเทศไทยแลนด์ ของประเทศที่เธอชื่นชมในคำแปลว่าประเทศของอิสรชน ต้องอาบเหงื่อทำงานเพียงเพื่อจะมีชีวิตรอดไปวันหนึ่ง และต้องนำรายได้อันมีค่าแทบทั้งหมดนั้น ไปประเคนปรนปรือความสุขสำราญเหลือเฟือของคนส่วนน้อยนิดในเมืองหลวง…”

ผมอ่านข้อความต่อจากนั้นจนจบบท แล้วย้อนกลับไปอ่านข้อความของตัวบทก่อนหน้า จากนั้นจึงเปิดไปอ่านตั้งแต่หน้าแรก กระทั่งหน้าสุดท้ายที่จบลงด้วยประโยค “…นับแต่เขาจากไป ฉันยังไม่พบออสเตรเลียคนใดที่มาชดเชยการจากไปของเขาได้” มกราคม ๒๔๔๓

ผมรู้ว่าศรีบูรพาไม่ได้เขียนเรื่องนี้ในปี พ.ศ.2443 ศรีบูรพาเขียนโดยมองย้อนกลับไปยังอดีตผ่านสายตาของตัวละครที่ชื่อโดโรทีเมื่อห้าสิบปีก่อนหากนับจากปีที่หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2493 ขณะที่ผมนั่งอ่านเรื่องราวของโกเมศและโดโรทีในปีพ.ศ.2549 ซึ่งเท่ากับหนึ่งร้อยหกปีมาแล้ว หากทว่าชีวิตของผม แรงงานธรรมดาๆ ที่ฝันกลางวันถึงวันได้มีผลงานเขียนเป็นที่รู้จัก สร้างชื่อเสียงและรายได้เพื่อยกระดับชีวิตจากชนชั้นล่างไปเป็นชนชั้นกลาง หรือชนชั้นบนของโครงสร้างสังคมโดยที่ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความหมายของความร่ำรวยคือสิ่งใด

เพื่อนร่วมงานกลับจากการนั่งดื่มในสภาพหน้าแดงกร่ำ พวกเขาพากันร้องแปลกใจที่เห็นผมในล็อบบี้ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ากุญแจห้องอยู่ที่เขา

แดง เพื่อนร่วมงานร่างสูงใหญ่ ผู้มักเอ่ยปากชวนดื่ม และมักกุลีกุจอเข้ามาช่วยผมยกชั้นเหล็กแสนหนัก เป็นคนจังหวัดหนึ่งในภาคอีสานยื่นกุญแจห้องให้

ขอโทษทีคุณ ลืมเลย รอตั้งแต่กี่โมงล่ะ ผมสั่นหน้าบอกไม่เป็นไร ยืมคำที่เขาชอบพูดเวลาทำงานเหนื่อยหนักในแต่ละวัน

พรุ่งนี้ก็วันใหม่แล้ว

แดงยิ้ม เขาคงอยากล้มตัวลงนอนเต็มที คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน เมื่อผมไขกุญแจห้อง เพื่อนร่วมงานทั้งหมดก็กรูเข้าไปลงตัวลงนอนบนเตียงผลัดกันผลัก ผลัดกันเตะเพื่อแย่งที่บนเตียงขนาดนอนสองคน ผมเดินไปเก็บหนังสือลงกระเป๋าเสื้อผ้า ดูนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือ นึกถึงใครบางคนที่ผมอยากโทรหาถ้าเพียงแต่ผมรู้เบอร์โทรที่บ้านของเธอ แดงเปิดโทรทัศน์ของโรงแรม

“โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจอะไรวะ” แดงเปรยออกมาดังๆ เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ต่างหลับไปแล้ว ผมขยับไปดูหน้าจอโทรทัศน์ซึ่งปรากฏข้อความตามที่แดงเปรยพร้อมกับเสียงเพลงเคยคุ้นหูมาแต่เด็ก ผมจำชื่อเพลงไม่ได้ เนื้อร้องของเพลงในท่อนที่ดังออกมาจากโทรทัศน์ได้ยินเป็นประโยคว่า “…นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส…”

แดงกดไล่ช่องบนรีโมททีละช่องแล้วพบภาพและเสียงเหมือนกันทุกช่อง ก่อนสบถคำหยาบอวัยวะเพศชายแล้วปิดโทรทัศน์

ผมมองหน้าจอโทรทัศน์ที่สะท้อนเงาของเพื่อนร่วมงานซึ่งนอนหลับเบียดเสียดบนเตียงแล้วมองเงาสะท้อนตัวเองบนกระจกหน้าต่าง ไกลออกไปในความมืดนั้นคือแม่น้ำตาปี ผมเดินไปกดสวิตซ์ไฟ ความมืดห่มคลุมร่างทันที

พรุ่งนี้ก็วันใหม่…ผมนึก ไม่รู้เลยในตอนนั้นว่าเช้าวันต่อมาจะเป็นจุดเริ่มของวังวนปัญหาที่กินเวลายาวนานกว่า 17 ปีเพียงเพื่อให้ทุกปัญหา ทุกความขัดแย้งกลายกลับเสมือนเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น

บางที ผมอดคิดไม่ได้อยู่เสมอๆ หากตัดใจซื้อเครื่องพิมพ์ดีดของยาขอบในคืนวันนั้น ผมจะเล่าอะไร?

ชายคาเรื่องสั้นเป็นกิจกรรมน้ำหมึกโดย ‘คณะเขียน’ ซึ่งเปิดพื้นที่วรรณกรรมมากว่าทศวรรษ ก่อนย้ายตัวเองจากสิ่งพิมพ์มาสู่ออนไลน์ตั้งแต่มกราคม 2022 โดยนักเขียนที่สนใจสามารถส่งประกวดเพื่อคัดเลือกเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของแต่ละเดือนมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ The Isaan Record อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจชายคาเรื่องสั้น

image_pdfimage_print