ผมเห็นวิญญาณตั้งแต่เด็ก มันไม่ได้น่ากลัวอย่างในละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์ชวนขนหัวลุก คุณเชื่อไหมว่าตอนแรกผมเบิ่งตาตกใจ อกสั่นขวัญกระเจิง แยกแยะไม่ออกไหนคนไหนวิญญาณกันแน่วะ แต่ที่ทำให้สังเกตได้ตอนโตขึ้นมาหน่อย คงดูจากบรรดาเท้าของผีๆ ไม่ใช่สิ ผีไม่มีในโลก ผมกำลังพูดถึงวิญญาณ มันลอยจากพื้นไหม พวกเขาหน้าซีดหรือเปล่า ไอ้ภาพจำแบบว่าหน้าตาเละเทะ บิดเบี้ยวเหยเก ผมยุ่ง ตาขาว เล็บยาว น้ำเลือดน้ำหนองไหลเยิ้ม แหวะ! ไม่ใช่แบบนั้นเลย มันจะเรียกว่าความสามารถพิเศษได้ไหม เป็นหนึ่งในกี่เปอร์เซ็นต์ของโลกหรือ สงสัยไปก็ไม่ทำให้ผมมองไม่เห็นพวกเขา แต่เรื่องนี้ผมไม่เคยบอกเล่าใคร นี่เป็นครั้งแรก

วิญญาณทุกดวงในอีกโลกหนึ่ง ผมคิดว่าคงคล้ายกับโลกที่เราอยู่นี่แหละ พวกเขาเดินสวนทาง ใช้ชีวิตในโลกที่เรียกว่าหลังความตาย แค่เราอาจมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หรือสัมผัสแตะต้องไม่ได้ คล้ายสสารบางอย่าง ผมยืนยันว่าผมเห็น—ผมเห็นจึงนำมาเล่าสู่คุณฟัง ล่าสุดผมไปเล่นดนตรีเปิดหมวกที่ตลาดคนเดินริมโขง เกากีตาร์สลับดีดพิณ สร้างบรรยากาศให้มันครึกครื้นและผ่อนคลาย ทั้งเพลงฮิตในติ๊กต็อก ไทยลูกทุ่ง หมอลำ สากล บางครั้งก็มีแม่ค้าหมูปิ้ง ลูกชิ้นทอด หม่าล่า ไส้กรอกอีสาน ชาเย็น น้ำลำไย ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเกรียบว่าว เดินมาฝากของให้ผมช่วยขายผ่านไมค์ ค่าจ้างคือของกิน รางวัลคือรอยยิ้มและเสียงปรบมือ เบอร์โทรหรือไอดีไลน์ อย่างหลังเผื่อได้พูดคุยกันยามเหงา เป็นเพื่อนปลอบทุกข์ยามผัวเผลอ

ค่ำวันหนึ่งฝนเทกระหน่ำ ถนนคนเดินเปียกแฉะ ผู้คนบางตา คงนั่งกินต้มมาม่าไม่ออกมาเดินซื้อของ ร้านค้าทยอยเก็บร้าน เสียงบ่นอุบปนถอนหายใจ ลมพัดโชย กลิ่นดอกไม้อะไรสักอย่างชวนคัดจมูก ฮัดเช้ย

ผมยังเล่นดนตรีปกติ แค่ไม่ใช้ไมค์กับเครื่องเสียง กลัวไฟดูดตายโหง อาศัยกางร่ม ปูพลาสติกบนพื้นระอุแดดให้สองเท้าย่ำตามจังหวะ มีแสงสีขาวและส้มจากดวงไฟประกอบฉาก ควันปิ้งย่างสร้างอารมณ์และเรียกร้องเสียงโครกครากในท้อง โดยเฉพาะเสียงเคาะกะละมังเมนูยำสารพัด พริกขี้หนูสับ น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำกระเทียมดอง ผงนัว หมูยอ กุ้งตัวโตๆ ลวก ปลาหมึกหั่นเป็นท่อน ต้นหอม ขึ้นฉ่าย มะเขือเทศสีส้ม หอมใหญ่ซอยคลุกเคล้าคุเลคุเล นึกภาพแล้วน้ำลายสอ เบื้องหน้าผมวางหมวกสานปีกกว้างหงายไว้ ในนั้นมีธนบัตรใบละยี่สิบบาทและเศษเหรียญ วันนี้โชคไม่ดี—ไม่เป็นไร เพราะฝน—ฝนนั่นแหละที่ทำให้คนหาค่ำนอนดึกอับโชค กระหน่ำหนักชั่วโมงเดียวแล้วก็หยุดไปดื้อๆ  อย่างกับคนรักผละจากไร้เยื่อใย ผมพอมีค่าเบียร์ไว้ดื่มผ่อนคลายก่อนนอนแล้วแหละ แค่ลดจำนวนกระป๋องลงตามสภาพเงินยับยู่ในหมวก

ระหว่างเก็บเครื่องมือทำมาหากิน ผมหยิบธนบัตรชื้นละอองฝนมานับทีละใบ—ใบไหนเปียกฝนก็เช็ดกับขากางเกงยีนส์ที่ใส่มาแล้วสามวัน ว้าว มีแบงค์ร้อยด้วยโว้ย ในหัวคิดว่าแบ่งส่วนหนึ่งเป็นค่าน้ำมันรถ ค่าเบียร์เย็นๆ ค่าข้าวไข่เจียว และค่าครองชีพบีบรัดจนแทบหายใจไม่คล่องในบางวัน บางสัปดาห์ เดือนชนเดือน อาชีพศิลปินอิสระรายได้ไม่แน่ไม่นอน แต่ผมรัก—รักมาก และไม่คิดจากไปประกอบอาชีพอื่น

ผมเห็นลุงคนหนึ่ง แกนั่งตัวเปียกมะล่อกมะแล่กตรงม้านั่งฝั่งตรงข้าม ผมมองแก แกมองผม หรือมองเงินในมือที่เพิ่งนับเมื่อครู่ผมไม่แน่ใจ ไม่ตัดสิน แต่เอาเถอะ แล้วแกก็ลุกจากเก้าอี้ เดินตรงมา เดินลอยมาต่างหาก ขอเพลง “เดือนเพ็ญ” ได้มั้ย สำเนียงพูดไทยกลางไม่ค่อยชัด แต่ทุกคำที่เปล่งออกจากปากมีกลิ่น—กลิ่นเหม็นเหมือนหนูตาย อาทิตย์หน้านะครับ ผมบอก ขอเพลงเดียว ปิดท้าย อยากฟัง นานๆ ครั้งถึงจะได้ขึ้นมายังจุดนี้ แกพูดช้า น้ำเสียงหงอยๆ ผมฟังผ่านๆ กลิ่นเน่าเหมือนหนูตายทำให้ผมต้องยกหลังนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นสีจมูก ลุงกินอะไรหรือยัง ผมเปลี่ยนเรื่อง ไป—ไปดื่มเบียร์กัน คนละกระป๋องนะ ผมเลี้ยง แกเงยหน้าซีดเซียว ผมยิ้มแหย ในใจนึกสงสาร แต่ไม่ควรตามใจ จังหวะนั้นเห็นใบหน้าเหี่ยวๆ สภาพเหมือนนิ้วมือเวลาแช่ในน้ำนานๆ ใต้คาง ติ่งหู ปลายผมของแกมีเม็ดน้ำสะท้อนแสงไฟหยดติ๋ง

ลุงคนนั้นเดินนำไปก่อน ผมทั้งหิ้ว แบก และลากเครื่องมือทำมาหากินตามไป ไม่ลืมสวมหมวกสานครอบผมทรงสกินเฮด ผมเพิ่งสังเกต ทุกก้าวของคนเดินนำหน้า ยังมีหยดน้ำไหลเป็นทาง หากไม่ได้ตาฝาด

ในมือเราถือเบียร์เย็นเฉียบคนละกระป๋อง มา—มาถ่ายรูปกัน ผมชวน แกส่ายหัว กลางคืนมืดเกินไป กลางวันก็ไม่มีใครมองเห็น ลุงคนนั้นพูด ผมจึงเริ่มชวนคุย ระหว่างเคี้ยวหม่าล่าสลับหมูปิ้งเย็นชืด ลุงเป็นคนที่ไหน ผมถาม หลังกลั้วน้ำขมลงคอ มีความเงียบคั่นกลางรอคำตอบ กบเขียดร้องอ๊บๆ แอ๊บๆ มันคงดีใจที่คืนนี้ฝนฉ่ำ ทำไมลุงคิดนานจัง แค่ถามว่าเป็นคนที่ไหน จังหวะนั้นลุงแกลุกพรวด บอกว่าจำไม่ได้ ผมจำไม่ได้ ก่อนจะเดินดุ่มๆ ลงไปทางบันไดคอนกรีตริมโขง ผมจะคว้าสัมภาระเดินตามก็พะรุงพะรังเหลือเกิน แกจะเปลี่ยนที่นั่งคุยก็ไม่บอก กว่าผมจะเดินตามไปทัน ลุงคนนั้นก็เดินลงแม่น้ำโขง ลอยคอ

ผมอ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า เหลียวมองซ้ายขวา ไม่มี—ไม่มีใครอยู่แถวนั้น ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่าย หน้าจอค้างภาพที่แชะกับลุงคนนั้นเมื่อครู่ ผมยิ่งตกใจเข้าไปอีก ในภาพนั้นมีแค่ผมคนเดียวที่ยกกระป๋องเบียร์ชูในอากาศ

ผมมีดวงตาเห็นวิญญาณตั้งแต่เด็ก สวัสดี ว่าไง แบร่ๆ ผมผวาทุกครี้ง นอนคลุมโปง กรีดร้องราวกับคนเสียสติ ผะ—ผีๆๆๆ ก็ผีมันอยู่ทุกที่ นี่ นั่น โน่น ไม่ใช่สิ วิญญาณต่างหาก ผมหัวจะปวด คงต้องสวดมนต์ สวมสร้อยพระสมเด็จ พกยันต์  คุณว่าเหลือเชื่อไหม แต่พอโตขึ้นมาหน่อย ผมคิดว่าชีวิตต้องทนหรืออยู่กับเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรดี แล้วผมก็คิดถึงลุงคนนั้น ชายร่างท้วม สังเกตจากใบหน้า สีผิว คงจะปนเชื้อสายจีนแน่นอน เดินลงแม่น้ำโขง ร่างหายไปในกระแสความมืดมิด ผมเสียดายที่ล้วงโทรศัพท์ออกมาไม่ทันถ่ายภาพ

อาทิตย์ต่อมา ผมคิดคอนเทนต์ แต่งตัวเป็นลุงคนนั้น พอกหน้าพอกตัวให้ขาววอก เรียกความสนใจให้กับพ่อค้าแม่ค้า คนเดินถนนที่แวะมาเซลฟี่ วัน-ทู-ทรี แชะ แล้วก็จากไป ผมร้อง “เดือนเพ็ญ” เป็นบทเพลงเปิดหมวก หวังว่าเสียงนี้จะเรียกลุงแกให้ขึ้นมานั่งฟัง คราวนี้ผมจะเจาะลึกถึงปูมหลังให้ละเอียดยิบ

ผมหิ้วเบียร์สองกระป๋องเดินมานั่งตรงบันไดที่ยื่นลงไปในแม่น้ำ ใช้นิ้วเปิดกระป๋องดังแป๊ก ไม่ทันยกจรดริมฝีปาก ลุงคนนั้นก็เดินขึ้นมาจากสายน้ำแห่งความมืดมน หนาว แกว่า ผมเห็นร่างนั้นสั่นสะท้าน น้ำหยดติ๋งตรงปลายผม คาง ติ่งหู ชายเสื้อ แกรวบชายเสื้อยืดตรงพุงแล้วบิด ก่อนจะนั่งลงข้างผม ล้วงเบียร์ในถุงโดยไม่ขออนุญาต—ไม่เป็นไร ผมตั้งใจซื้อมาเผื่ออยู่แล้ว คนละกระป๋องพอนะ ผมเตือนตัวเองว่าอย่าติดลม

ฮาย ชื่นใจ คำพูดของแกเรียกรอยยิ้มให้ผม บางทีความสุขก็เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งรับ ไหนบอกเมื่อกี้หนาว ผมสัพยอก แกหันมาจะพูด ผมกลั้นหายใจรอ ไม่อยากดมกลิ่นเหม็นเหมือนหนูหมดลมหายใจที่พร้อมจะพุ่งปะทะจมูก แกเล่าว่า ที่ลุกขึ้นแล้วเดินลงไปตรงนั้น จะไปงมหาบัตรประจำตัว แต่ไม่เจอ อ้าว จังหวะที่แกยกเบียร์ขึ้นซด ผมสังเกตเห็นข้อมือแกมีรอยช้ำ เหมือนถูกอะไรรัดหรือมัด พอสอดส่ายสายตามองไปอีกข้าง ก็เห็นรอยลักษณะเดียวกัน ดีที่แสงจากเสาไฟริมโขงช่วยส่องสว่าง ผมเลยถาม แล้วลุงชื่ออะไร เจอกันสองครั้งยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลย ผมจะได้เรียกถูก ไม่อยากแทนว่าลุงคนนั้น—คนไหน

คนเราทุกคนมีชื่อ แต่ผมจำไม่ได้ แกบอกน้ำเสียงเศร้า จากนั้นก็ลุกพรวด เดินลงแม่น้ำโดยไม่ร่ำลา

วันอาทิตย์สิ้นเดือน ผมถือกีตาร์ลงบันไดคอนกรีต ตั้งกล้องรอ หวังจะเซอร์ไพรซ์แฟนคลับ ใช้บรรยากาศค่ำคืนที่ริมโขงกล่อมคนทำงานหรือนอนดึก ผมไม่ได้ไลฟ์สดนานแล้ว แต่แจ้งเตือนให้ปักหมุดรอล่วงหน้า ตอนนี้มีคนเข้ามาทัก ส่งรูปโบกมือ บ้างขอเพลงรัวๆ ผมคุยกันแฟนเพลงในโลกเสมือน มันเป็นอีกตัวตนหนึ่ง—อีกช่องทางรายได้ ผมแปะเลขบัญชีไว้ด้วย เริ่มเพลง “แสงจันทร์” ของมาลีฮวนน่า “ทะเลใจ” ของคาราบาว แล้วต่อเนื่องไปที่เพลง “เดือนเพ็ญ” ในเวอร์ชั่นนักร้องคนเดียวกัน ก่อนจะร้อง ผมปรับกล้องให้หันไปกลางแม่น้ำ แล้วก็เริ่มดีดกีตาร์ เดือนเพ็ญ สวยเย็นเห็นอร่าม นภาแจ่มนวล…’ ลุงแกค่อยๆ โผล่หัว ไหล่ ลำตัว เอว ขึ้นมาจากสายน้ำแห่งความเงียบงัน แต่ก่อนมันเคยไหลครึกครื้น หากไม่ลดลงและแห้งแล้งหลังถูกกั้น ผมกดซูมไปที่ร่างนั้น แสงจันทร์นวลชวนใจข้า คิดถึงถิ่นที่จากมา…’ ในความมืดหม่นที่มีแสงจากเสาไฟพญานาคส่องสว่าง ลุงคนนั้นเดินขึ้นมา ผมเห็นปลายผม ติ่งหู คาง ชายเสื้อมีน้ำไหล  แต่คราวนี้แกถอดเสื้อยืดออกแล้วม้วนบิด สายตาผมโฟกัสไปที่ร่างท้วมๆ ผิวซีดๆ สะท้อนแสงไฟ ลมเอย ช่วยเป็นสื่อให้…’ ตรงท้องของแกลากขึ้นไปถึงบริเวณหน้าอก พบรอยกรีดยาวที่เย็บไม่สนิท มีน้ำ—น้ำสีขาวๆ ขุ่นๆ พุ่งออกมา

ไม่รู้ว่าคุณเห็นอย่างที่ผมเห็นบ้างหรือเปล่า

ชายคาเรื่องสั้นเป็นกิจกรรมน้ำหมึกโดย ‘คณะเขียน’ ซึ่งเปิดพื้นที่วรรณกรรมมากว่าทศวรรษ ก่อนย้ายตัวเองจากสิ่งพิมพ์มาสู่ออนไลน์ตั้งแต่มกราคม 2022 โดยนักเขียนที่สนใจสามารถส่งประกวดเพื่อคัดเลือกเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของแต่ละเดือนมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ The Isaan Record อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจชายคาเรื่องสั้น

image_pdfimage_print